แจ่มแจ้งต่อชีวิต

ชีวิตจะเป็นจริงได้ นั่นหมายถึงว่า เราลงลึกกับทุกเรื่องที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตนี้ แล้วค้นพบว่าสิ่งนั้นคืออะไรกันแน่
สิ่งนั้นมีแก่นสาร จนให้เราเชื่อจริงๆ มั้ย หรือจริงๆ สิ่งนั้นไม่มีแก่นสาร แล้วถ้าไม่มี เราจะเชื่อทำไม
กระบวนการเหล่านี้ คือการปลดแอกชีวิตเก่า แล้วให้ชีวิตนี้กลายเป็นความสว่างไสวด้วยตัวของมันเอง
ชีวิตนี้นั้นสว่างไสวอยู่แล้ว เราทุกคนมีความสว่างนั้นอยู่แล้ว และมันไม่ใช่การปฏิบัติให้สว่าง แต่มันมีอยู่แล้ว เราต้องเข้าใจเรื่องนี้
แต่มันถูกปกคลุมไปด้วยความเชื่อทั้งหลาย ความไร้แก่นสารทั้งหลาย ไอเดียทั้งหลาย การตัดสินให้คุณค่าในทางถูกผิดดีชั่วทั้งหลาย ทั้งหมดนั้นปิดบังแสงสว่างของชีวิตนี้ จนเราไม่รู้ว่าชีวิตนี้เป็นแสงสว่างอยู่แล้ว
เมื่อเราพูดถึงว่า ชีวิตนี้มีความทุกข์ หรือเราทุกข์ ก็เพราะเราไม่เคยถอยกลับมาเข้าใจว่า มีอะไรบ้างที่ครอบงำเราอยู่ ทั้งหมดที่ผมพูดถึง ในทางภาษาธรรมะเรียกว่า “อวิชชา”
ถ้าเราถอยกลับมาเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมพูดถึง ว่ามันครอบงำชีวิตเรายังไง นั่นแปลว่าเรากำลังเข้าใจอวิชชา
แล้วเราจะเข้าใจว่า ความแจ่มแจ้งในอวิชชานี้เอง หรือที่พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า…
…แจ่มแจ้งในกองทุกข์นี้
…มันคือการละสมุทัย
…มันคือการแจ้งนิโรธ
…และมันคือการเจริญมรรค
และนั่นหมายความว่า ความแจ่มแจ้งในอวิชชา หรือความครอบงำ หรือทุกข์นี่เอง คือการทำลายอวิชชา
และเมื่ออวิชชาหายไป เราจะได้ใช้ชีวิตจริงๆ
ชีวิตจริงๆ นั้นเป็นยังไง? เป็นชีวิตที่ธรรมดาที่สุด มีทุกอย่างเหมือนเดิม หายไปแค่อวิชชา
อวิชชาจะหายไปได้ยังไง?
คือความแจ่มแจ้งในอวิชชา
คือแจ่มแจ้งในทุกข์นี้
แจ่มแจ้งในโครงสร้างทุกอย่างของชีวิต
แล้วมันจะเป็นความดับทุกข์
ความดับทุกข์นั้นก็คือ
ความดับอวิชชานั่นแหละ
และความแจ่มแจ้งนั้นก็คือ มรรค
เพราะฉะนั้น โดยสรุปคือ ถ้าเราเข้าใจทั้งหมดของชีวิตแบบที่ผมบอกนี้ ไม่มีอะไรที่เราจะต้องทำ นอกจากความแจ่มแจ้งต่อชีวิตนี้ แค่นั้น
แล้วอย่าลืมหัวใจที่ผมบอกว่า ความแจ่มแจ้งต่อชีวิตนี้ มันคือสัญชาติญาณ เลือดเนื้อ มันคือชีวิตนี้อยู่แล้ว โดยที่ไม่ต้องมีใครบอกเราว่าต้องทำแบบนี้
ถ้าเรารู้สึกแบบนั้นได้จริงๆ และถ้าแม้แต่พระพุทธเจ้ามาบอกเราว่า ทำแบบนี้ผิด แล้วเราเลิกทำไม่ได้ นั่นคือ มันเป็นชีวิตที่ผมบอกจริงๆ และนั่นคือการปฏิบัติธรรมที่แท้จริง
Camouflage
31-12-2565