ทำลายอันนี้เพื่อจะไปเป็นอันนั้น

เราต้องเข้าใจเรื่องของไอเดีย เช่น ถ้าอยู่กับปัจจุบัน เราจะรู้สึกไม่เข้าไปเป็น รู้สึกไม่โกรธ ไม่ตัดสิน การอยู่กับปัจจุบันมีอย่างนั้นได้จริง แต่เราทุกคนต้องไม่มีเกณฑ์นั้นในใจ

การอยู่กับปัจจุบันหมายถึงว่า ชีวิตนี้ขณะนี้กำลังเกิดอะไรขึ้นก็ได้ เป็นความสุขก็ได้ เป็นความทุกข์ก็ได้ เป็นเราสุขก็ได้ เป็นเราทุกข์ก็ได้ แต่มีความรับรู้อันหนึ่งที่เป็นอยู่กับมันอย่างสมบูรณ์ โดยที่ไม่มีไอเดียเข้ามาแทรกว่า การเป็นอย่างนี้มันไม่ถูกแล้ว มันผิดแล้วนะ หรือมันไม่ใช่ปัจจุบันรึเปล่า

ไอเดียจะคอยแทรกแซงความจริงที่เป็นจริงในขณะนี้ ความรู้ในเชิงของการที่เรารู้สึกว่าถ้าทำแบบนี้ได้ มันจะรู้สึกดีแบบนั้น มันจะเป็นแบบนั้น ความรู้เหล่านั้นจะหลอกให้หลุดออกจากปัจจุบันจริงๆ
….

จิตดวงนี้หรือความรับรู้ที่ผมพูดถึงนี้ รับรู้ทุกประสบการณ์อย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่ามันจะเป็นอัตตาหรือไม่ใช่อัตตา

แต่ความความหลงคือหมายความว่า เมื่ออัตตาครอบงำชีวิตนี้แล้ว ไม่มีความรับรู้ว่ามันคืออัตตา แต่ใช้อัตตานั้นในการดำเนินชีวิตไปเลย หรือใช้อัตตาในการปฏิบัติธรรมไปเลย แล้วเชื่อว่านั่นคือจริง

ความรับรู้นี้ไม่สามารถที่จะแบ่งแยกว่า ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจากอัตตา กับ ประสบการณ์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากอัตตา แบบไหนดีกว่าแบบไหน ทุกอย่างเท่ากันในฐานะเป็นแค่ประสบการณ์ และความไม่หลงอยู่ที่นี่

ความไม่หลง…ไม่ใช่เปลี่ยนจากอัตตาเป็นไม่มีอัตตา ไม่ใช่เรื่องแบบนั้น

จากอัตตาเป็นไม่มีอัตตา นั่นเป็นความหลงอีกแบบหนึ่ง

แต่ความไม่หลงคือ บนนี้ (เหนือทั้งมีอัตตาและไม่มีอัตตา)

ทุกประสบการณ์จากอะไรก็ตามที่มีอยู่ในจิตนี้ ที่แสดงออกมา ทุกประสบการณ์นั้นคือของขวัญอันล้ำค่าของชีวิต เท่ากันในฐานะมันเป็นประสบการณ์ของความรับรู้นี้

คำพูดมันมีข้อจำกัดมาก มันมักจะสร้างเงื่อนไขของการที่ว่า มันควรจะเป็นยังไง และไม่ควรจะเป็นยังไง การพูดมันเป็นแบบนั้นมันมักจะชอบเป็นเงื่อนไขโดยอัตโนมัติ

สมมติมีคำสอนว่า ถ้ามันตัดสินไปแล้ว ก็ไม่เป็นไร ก็ผ่านไป แต่คำพูดนี้ก็อาจจะสั้นไป ผมก็จะเสริมว่า ถ้ามีการตัดสินไปแล้ว การตัดสินนั้นจะให้บรรยากาศของอารมณ์ความรู้สึกอย่างหนึ่งเกิดขึ้น และเราเป็นอยู่กับอารมณ์ความรู้สึกนั้นอย่างสมบูรณ์

สมมติถ้าการตัดสินนั้นสร้างโทสะ มันเหมือนกับว่าตอนนี้เราอยู่ที่นี่ แล้วเราก็เดินออกไปตากแดดข้างนอก 5 นาที การตัดสินนั้นเปรียบเสมือน 5 นาทีที่เราเดินออกไปตากแดดข้างนอก แล้วเราก็เริ่มรู้สึกร้อน การที่เรามีประสบการณ์ว่าตอนนี้อากาศไม่ร้อน กับ 5 นาทีที่เราเดินออกไปรับประสบการณ์จากความร้อน เราจะไม่สามารถบอกได้ว่าที่นี่ถูก ที่นั่นผิด แต่ชีวิตนี้สมมติว่าพอดีมีคนมาส่งของ เราต้องเดินออกไป แล้วต้องโดนแดด แล้วมันร้อน ชีวิตจริงๆ คือ การรับรู้ประสบการณ์ในแต่ละกิจกรรมที่มันเกิดขึ้น อันนี้เป็นตัวอย่างในทางร่างกาย

แต่ทางจิตใจ อัตตาตัดสินบางสิ่งบางอย่างแล้วโทสะเกิดขึ้น ผมพูดเปรียบเปรยว่า เราคือความรับรู้ หรือธาตุรู้ มันไม่รู้เรื่องอะไร มันแค่รับรู้ประสบการณ์แห่งความร้อนของอัตตาที่ตัดสินแค่นั้น อัตตามีหน้าที่ทำแบบนั้น

ที่ผมเคยบอกว่า มันไม่ใช่ว่าเราไม่รู้อะไรถูก ไม่รู้อะไรผิด ไม่ใช่ไม่รู้เรื่องอะไรดีอะไรชั่ว แต่ความรู้ของเรานั้นคือ สิ่งเหล่านั้นเป็นของในโลกและเป็นสิ่งกลวงๆ ที่ไม่มีสาระเท่าไหร่ มันขึ้นอยู่กับความคิดของคนที่จะบอกว่าสิ่งนี้ถูกหรือผิด หรือดีหรือชั่ว ในแต่ละยุคแต่ละสมัยซึ่งไม่เหมือนกัน

เพราะฉะนั้น การตัดสินในระบบของสมอง หรือในระบบของอัตตาก็ตามที ที่มีความรู้ในอดีต การอยู่ในสังคมนี้มา มันยังทำหน้าที่ของมัน เข้าใจไหม ถ้ามันไม่ทำหน้าที่ของมัน เราจะต้องเป็นคนติงต๊อง เราจะไม่รู้เรื่องอะไรเลยสักอย่างในโลกนี้ เราจะไม่รู้ทันใครเลย เราจะไม่สามารถดำเนินชีวิตอย่างชาญฉลาดในโลกได้เลย เราจะโดนหลอกง่ายๆ อะไรแบบนี้

แต่เรารู้ว่าทั้งหมดนั้นเป็นเกมส์ เป็นละคร รู้ว่ามันทำอย่างนี้ แค่นั้น เข้าใจมั้ย

นึกออกมั้ย???
เราคิดถึงเรื่องของความที่ไม่มีอัตตานั้น ตรงข้ามกับการที่มีอัตตา
ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องนั้น

แต่ชาวพุทธ หรือนักปฏิบัติธรรมเราคิดเรื่องแบบนั้นจริงๆ คือ ทำลายอันนี้เพื่อจะไปเป็นอันนั้น

แต่จริงๆแล้ว

…เราแค่รู้จักทุกสิ่งที่มีอยู่แค่นั้นเอง รู้จักทุกสิ่งที่มีอยู่ว่ามันทำงานยังไง มันสร้างอะไร มันสร้างผลผลิตอะไรออกมา สร้างความรู้สึกหรืออารมณ์อะไร

…เป็นการมีชีวิตที่ไม่แบ่งแยกอย่างแท้จริง ซึ่งหมายความว่าไม่แบ่งแยกกับอะไรๆก็ตามที่มีอยู่ในชีวิตนี้ มันกำลังเป็นแบบนี้

…รับรู้มันอย่างเต็มเปี่ยม เช่น ถ้าอัตตาตัดสิน สร้างอารมณ์ สร้างโทสะ สร้างความไม่ดีต่างๆนานา มันทำแบบนั้น รับรู้กระบวนการทั้งหมดของมัน รับรู้ความรู้สึกและอารมณ์ทั้งหมดที่มันสร้างขึ้น

…ผ่านประสบการณ์นั้น ด้วยหัวใจที่ไม่มีความรู้สึกว่าอัตตาไม่ดี หรืออารมณ์นี้มันเป็นสิ่งเลวร้าย แต่เป็นแค่การผ่านประสบการณ์นั้น

เหมือนเราเอาเท้าเหยียบดินเลอะเทอะ เล่นอยู่บนสนามหญ้าบนพื้นทราย แล้วเราก็สกปรก พ่อแม่ก็บอกว่าไปอาบน้ำก่อนขึ้นรถ จะได้สะอาด รถจะได้ไม่เลอะ แต่สำหรับเด็กทั้งหมดนั้นคือความสนุก

สมมติอัตตาเปรียบเหมือนของสกปรกบนพื้นทรายที่เราเหยียบติดเท้า ติดมือ ติดหน้ามา แล้วเราก็ต้องไปล้างออกก่อนที่เราจะขึ้นรถกลับบ้าน

แต่เด็กไม่มีความรู้สึกอะไรแบบนั้น สำหรับเด็กคือทั้งหมดเค้ารับรู้อย่างเต็มที่และสนุกกับมัน อาบน้ำเค้าก็สนุก เลอะเค้าก็สนุกเหมือนเดิม นี่คือหัวใจของการปฏิบัติธรรม

Camouflage
06-08-2565