พ้นออกจากโลกของความคิดปรุงแต่ง

ในการปฏิบัติธรรม เมื่ออะไรผ่านมา ผ่านไป แล้วเรายังคอยเข้าไปจัดการ แทรกแซง นั่นแปลว่าเรายังเห็นเฉยๆไม่ได้

ถ้าเราเห็นเฉยๆไม่ได้ แปลว่าจิตใจเรายังเต็มไปด้วยความผิดปกติ เป็นจิตที่เต็มด้วยความมืดของอวิชชา กิเลส ตัณหา อุปาทาน

และถ้าเรายังคงทำแบบนี้ต่อไป นั่นแปลว่าเรายังไม่ได้เริ่มปฏิบัติธรรมเลย

 

หลายท่านเริ่มมาปฏิบัติธรรมด้วยการเข้าไป พยายามแยกแยะ พอเห็นสภาวะอะไรเกิดขึ้นมา ก็เข้าไปคิด เข้าไปตัดสิน ลงความเห็น ว่าดี ไม่ดี ต่อสภาวะตรงหน้าทันที

พอเห็นว่าดี เราก็จะเอา พอเห็นว่าไม่ดี เราก็จะผลักออก กริยาเช่นนั้น แปลว่า การเห็นนั้น มันไม่ใช่การเห็นเฉยๆ 

บางท่านอาจจะคิดว่า เรายังเห็นเฉยๆไม่ได้ เพราะเรายังไม่บรรลุธรรม

 

ผมขอยืนยันตรงนี้ว่า สภาวะใดๆที่ผ่านเข้ามาในจิตในใจ เราสามารถเห็นเฉยๆได้ทันทีในทุกขณะจิต ที่ว่างจากความมีเรา มันเป็นจิตใจที่เต็มไปด้วยความปกติอยู่

 

ดังนั้นกิริยา ต้องการเอาเข้า หรือผลักออก หรือแม้กระทั่งความต้องการให้มันคงอยู่ เหล่านี้ เกิดขึ้นได้ เพราะความคิดตัดสินแบ่งแยก และมีตัณหาพอใจ ไม่พอใจ ในสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า จนสุดท้าย เราจึงต้องเข้าไปจัดการมัน

 

แทนที่จะมีแต่การ “รู้อย่างที่มันเป็น” เรากลับพยายาม เข้าไปจัดการอะไรบางอย่าง

จัดการให้มันเป็นไปอย่างที่เราคิดว่า มันควรจะเป็น ตามหนังสือ ตามตำรา ที่เราเรียนมา ท่องมา

การที่เราเข้าไปจัดการ กับสภาวะธรรม ไม่ว่าด้วยกิริยาแบบไหน นั่นแปลว่าจิตใจกำลังเต็มไปด้วยอัตตาตัวตน ตัวเรา

และขณะที่กำลังจัดการอะไรๆนั้น มิจฉาทิฏฐิกำลังก่อตัวสัมทับแน่นหนาขึ้นภายในจิตว่า “มีเราจริงๆ” เราจัดการอะไรๆได้

 

เราปฏิบัติธรรม ด้วยความหวังจะเข้าถึง ความเห็นถูก ว่าแท้จริง ทุกสิ่งเป็นอนัตตา เปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัย ไม่มีคน ไม่มีใคร อยู่จริง

ไม่เว้นแม้แต่ กุศล และอกุศล ก็ล้วนเกิดดับไปตามเหตุตามปัจจัยเช่นกัน คือ เมื่อมีเหตุก็เกิดขึ้น หมดเหตุก็ดับไป

 

ดังนั้น ถ้าเรามัวเข้าไปจัดการสิ่งทั้งสองนี้อยู่ตลอด แล้วเมื่อไหร่เราจะมีโอกาสได้เห็นธรรมชาติที่แท้จริงของการเกิดดับเสียที

 

การที่เรายังเชื่อว่าเราจัดการอะไรๆได้ นั่นหมายความว่า เราจะไม่มีวันเข้าถึงสัมมาทิฏฐิได้เลย

 

เมื่อเราเห็นว่านี่เป็นอกุศล เราก็พยายามจะละมัน ให้เร็วที่สุด ดังนั้นตั้งแต่เริ่มปฏิบัติ จิตใจก็เต็มเปี่ยมไปด้วยมิจฉาทิฏฐิที่ว่า “มีตัวเรา” คอยจัดการอะไรๆได้ เรียบร้อยแล้ว

เมื่อเป็นอย่างนั้น แล้วขณะจิตไหน จึงจะมีโอกาสได้เข้าถึงสภาพเดิมแท้ของ “ความไม่มีเรา” จริงๆเสียที

 

เมื่อเริ่มต้นด้วย”ความมีเรา” การปฏิบัติจึงเต็มไปด้วยความมืด ถึงแม้ว่ากิจที่เหลือจะทำถูกก็ตาม แต่ถ้าลองจุดเริ่มต้นก็ผิดเสียแล้ว แล้วที่เหลือจะเรียกถูกได้อย่างไร

เหมือนถ้าเรากลัดกระดุมเม็ดแรกผิด เม็ดต่อไปแม้ว่าเราจะสามารถกลัดเข้ารังดุมได้ แต่ทั้งหมดมันก็ยังคงผิดอยู่ดี

 

ความเป็นพุทธะ หรือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน นั้น คือความเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ คือการกลับสู่ความเป็นเอกภาพเดียวกัน กลับสู่ธรรมชาติเดิมแท้ ที่อยู่เหนือการแบ่งแยก

 

เป็นการเข้าถึง “ตถตา หรือความเป็นเช่นนั้นเอง

 

ถ้าเรามัวแบ่งแยกสรรพสิ่งอยู่ แล้วเราจะกลับสู่ความเป็นเอกภาพได้อย่างไร

 

พุทธะ คือ ผู้ที่ตื่นรู้ อยู่เหนือการตัดสิน แบ่งแยก อยู่ในสภาพเหนือดีเหนือชั่ว เหนือบุญเหนือบาป

 

ดังนั้นนักปฏิบัติทั้งหลาย จงอย่าติดอยู่กับวิถีความเชื่อใดๆที่ยังพาท่านติดอยู่ในโลกของความคิดปรุงแต่ง โลกของอัตตาตัวตน

จงออกมา และเริ่มเดินทางเข้าสู่ความเป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่ง ด้วยก้าวย่างที่สำคัญคือ การพ้นออกจากโลกของความคิดปรุงแต่งทั้งปวง

แล้วเราจะได้พบพระพุทธเจ้า พบความพ้นทุกข์ที่แท้จริง ในทันที

 

Camouflage