เห็นโลกเป็นของว่าง

การเห็นโลกเป็นของว่างเปล่าได้อย่างแท้จริงนั้น จิตใจจะต้องเข้าสู่ความเป็นกลาง ซึ่งความเป็นกลางนี้มาจากการฝึกที่จะรู้สึกตัว พ้นออกจากโลกของความคิดปรุงแต่ง และเห็นหรือรู้จักใจที่อยู่ในสภาพปกติอยู่

เราอาจจะเรียกว่าเป็นกลางด้วยปัญญาก็ได้ เพราะปัญญานั้นเองเกิดมาจากการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ของ สติ สมาธิ จนถูกพัฒนาขึ้นมาเป็นปัญญาในที่สุด

 

และทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่ว่า สติ หรือสมาธิ จะถูกพัฒนาขึ้นมาเอง จากความรู้สึกตัวที่ได้กล่าวแล้วข้างต้น


.
.
.

มาถึงปัญหาที่สำคัญอย่างหนึ่งของนักปฏิบัติ ที่ให้ความสนใจใน #การพิจารณากายและใจ

การที่เราเข้าไปพิจารณาร่างกาย จิตใจ จนอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ นั่นเราได้ตกเข้าไปอยู่ในโลกของความคิดเรียบร้อยแล้ว

โลกของความคิดนั้น จะพาเราติดอยู่ในโลก เพียงแต่โลกนั้นเป็นโลกใบใหม่ ที่เรียกว่า #”โลกของการเป็นนักปฏิบัติธรรม” นั่นหมายความว่า เราแค่เปลี่ยนจากโลกหนึ่งไปสู่อีกโลกหนึ่ง แต่เรายังไม่เริ่มต้นที่จะพ้นโลกเลย

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การพิจารณาที่พานักปฏิบัติทั้งหลายเข้าไปติดอยู่ จนบางคนคิดว่าตนเองบรรลุธรรมแล้ว

นั่นคือการพิจารณาสิ่งต่างๆอย่างมีเป้าหมาย เช่น ต้องการจะเริ่มพิจารณาอาการต่างๆทางร่างกายและจิตใจ เพื่อจะเข้าใจว่าสิ่งต่างๆนั้นว่างจากตัวตน

การตั้งเป้าหมายล่วงหน้าในใจเช่นนี้ เรากำลังถูกตัณหา ความอยาก ความต้องการ ความคาดหวัง ว่าเรากำลังจะได้ความรู้แบบที่เราตั้งไว้ และนั่นแหละครับคือกับดักตัวฉกาจที่พาเราติดอยู่ในโลกของตัวตน บุคคล เรา เขา

แม้ว่าเราจะบอกว่าเราแค่เห็นอาการ แค่รู้สึก แต่มันรู้ภายใต้ความมืด ภายใต้ตัวตนที่ตั้งท่าไปเรียบร้อยแล้ว

และเมื่อเราคอยพิจารณาแบบนี้มากเข้าๆ ในที่สุดเราจะเชื่ออย่างสนิทใจ ว่าโลกนี้ว่างจากตัวตน บุคคล เรา เขา และนั่นคือที่มาของการสะกดจิตตัวเองให้ยอมรับ และ #เชื่อในทฤษฎีแห่งความไม่มีตัวตนโดยสมบูรณ์

ทีนี้อันตรายก็เริ่มมาถึง เพราะเรากำลังโดนความเชื่ออันใหญ่ โดนความมืดสีขาวก้อนโต ที่ตรงตามทฤษฎีแห่งความไม่มีตัวตนทั้งหมดครอบงำ ปิดบัง การเข้าถึงความจริงเอาไว้
.
.
.
ความเข้าใจในการเห็นโลกเป็นของว่างนั้น มันมีกระบวนการของมันอยู่ และแน่นอน มันไม่ใช่กระบวนการของความคิด

แต่มันคือกระบวนการตามธรรมชาติของการเข้าไปประจักษ์แจ้งความจริง ผ่านความรู้สึกตัวที่ไม่มีสิ่งใดๆเคลือบแฝง ที่หลวงพ่อเทียนท่านว่า ความรู้สึกตัวล้วนๆ ถ้วนๆ

ผมจะพูดเสมอว่า เรามีเพียง “หน้าที่” ไม่กี่อย่างที่จะต้องทำ เหมือนเราหายใจ เราไม่ต้องคาดหวังว่าเรากำลังจะได้อะไรจากการหายใจ

เราแค่รู้ว่าเรามีหน้าที่ต้องหายใจ…แค่นั้น แล้วผลต่างๆ เช่นร่างกายอยู่ได้ อวัยวะต่างๆทำงานได้ มีชีวิตต่อไปได้ เหล่านี้เป็นผลที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ

เรามีหน้าที่…เพียงแค่รู้สึกตัว พ้นออกจากโลกของความคิด ฝึกที่จะให้จิตใจรู้จักความปกตินี้ แล้วความจริงทั้งหลายจะเผยตัวออกมาเอง พร้อมกันนั้นกระบวนการประจักษ์แจ้งความจริงก็ทำงานของมันไปด้วยตามกระบวนการของธรรมชาติ ของเหตุปัจจัย ด้วยตัวมันเองเช่นกัน

#มันจะเป็นเอง ไม่ต้องไปพิจารณาชี้นำอะไร แต่ถ้าจำเป็นต้องทำจริงๆ ให้รู้ว่าเป็นเพียงแค่อุบาย แต่ไม่ใช่หนทาง
.
.
.

การเห็นโลกนี้เป็นของว่างอย่างแท้จริง ผู้ที่เห็นจริงนั้น จะเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในจิตใจเสมือนหนึ่งตัวเองเป็นคนใหม่

ความทุกข์ทั้งหลายจะมลายหายไปอย่างใม่น่าเชื่อ ความเบากายเบาใจ #อย่างเป็นธรรมชาติจะเกิดขึ้น โดยไม่มีการประคองรักษาใดๆทั้งสิ้น

ดังพระสูตรที่ท่านกล่าวไว้ว่า

ภิกษุ ท. ! เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนี้
ว่าอย่างไร : ฝุ่นนิดหนึ่ง ที่เราช้อนขึ้นด้วยปลายเล็บนี้ กับมหาปฐพีนี้ ข้างไหนจะมากกว่ากัน ?
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! มหาปฐพีนั่นแหละ เป็นดินที่มากกว่า
ฝุ่นนิดหนึ่งเท่าที่ทรงช้อนขึ้นด้วยปลายพระนขานี้ เป็นของมีประมาณน้อย
ฝุ่นนั้น เมื่อนำไปเทียบกับมหาปฐพี ย่อมไม่ถึงซึ่งการคำนวณได้ เปรียบเทียบได้ ไม่เข้าถึงแม้ซึ่งกะละภาค”
ภิกษุ ท. ! อุปมานี้ฉันใด อุปไมยก็ฉันนั้น : สำหรับอริยสาวกผู้ถึงพร้อมด้วย (สัมมา) ทิฏฐิ รู้พร้อมเฉพาะแล้ว, ความทุกข์ของท่านส่วนที่สิ้นไปแล้ว หมดไปแล้วย่อมมีมากกว่า; ความทุกข์ที่ยังเหลืออยู่ มีประมาณน้อย :
เมื่อนำเข้าไปเทียบกับกองทุกข์ที่สิ้นไปแล้ว หมดไปแล้วในกาลก่อน ย่อมไม่ถึงซึ่งการคำนวณได้เปรียบเทียบได้
ไม่เข้าถึงแม้ซึ่งกะละภาค นั่นคือความทุกข์ของโสดาบัน

โดยสรุปคือ พระโสดาบันนั้นมีความทุกข์เหลือน้อยขนาดฝุ่นติดปลายเล็บ เมื่อเทียบกับฝุ่นในปฐพี

ดังนั้น ผลลัพธ์จากจิตใจที่มีความเปลี่ยนแปลง ภายหลังที่ได้เห็นความจริงสูงสุด หรือเข้าถึงมหาสุญญตา ทะเลแห่งความว่างนั้น จะเป็นตัวบ่งบอกว่าการเห็นโลกเป็นของว่างของเรานั้น เป็นการเห็นจริง หรือกำลังสะกดจิตตัวเองอยู่

หากเรายังไม่สามารถพ้นจากการสะกดจิตตัวเองได้ นั่นเท่ากับเรายังไม่ได้เริ่มออกเดินทางเลย

Camouflage