342.อกาลิโก

 

การเกิดมาของชีวิตของมนุษย์คนหนึ่ง มันหมายความว่าอะไร?

เราคิดแต่ในทำนองที่ว่า เราเกิดมา ทุกข์เหลือเกิน และใครที่จะช่วยเรา ให้พ้นทุกข์นี้ได้

เราเองไม่รู้ด้วยซ้ำว่า วิธีคิดทั้งหมดนี้ คือ ระยะทาง และกาลเวลา และเป็นมิจฉาทิฏฐิ

นี่คือวิธีคิดเบื้องแรกของมนุษย์เราทุกคน

แต่มันไม่ใช่แค่เราคิดคนเดียว คนอื่นก็คิดเหมือนกัน

และมีคนหาวิธีการต่าง ๆ ที่จะพ้นทุกข์ ตั้งแต่การสร้างความบันเทิงในโลก จนมาถึงสร้างวิธีปฏิบัติธรรม นำเสนอให้กับบุคคลที่คิดเหมือน ๆ กัน

โดยที่ไม่มีใครเห็นเลยว่า โครงสร้างทั้งหมดของการคิดแบบนี้ อยู่ภายใต้ระยะทาง และกาลเวลา

ไม่ว่าผู้แนะนำ ผู้สอน จะพาคนคนนั้นไปถึงไหนก็ตาม ถึงที่ที่ทุกคนต้องการ หรือไม่ว่าจะมีคุณสมบัติอะไรก็ตาม ที่เรียกว่า “พ้นทุกข์” มันก็ยังเป็นมิจฉาทิฐิเหมือนเดิม

แต่เรานิยมกัน ที่จะถามว่า เดี๋ยวนี้เรายังเป็นอย่างนั้นอยู่มั้ย เดี๋ยวนี้เรายังมีนั่นอยู่มั้ย เดี๋ยวนี้เรายังกระเทือนมั้ย เดี๋ยวนี้ตัวตนเราหมดไปหรือยัง?

เราสนใจแค่ผลลัพธ์ซักอย่างหนึ่ง ที่กำลังบอกเราว่า ตัวเราเอง หรืออาจารย์ของเรา ไปถึงไหนแล้ว จบหรือยัง?

เราสนใจแต่เรื่องของผลลัพธ์แบบนั้น โดยที่เราไม่เคยเห็นโครงสร้างของวิธีคิดของคนเหล่านั้น ว่ามันยังอยู่ภายใต้มิจฉาทิฏฐิเหมือนเดิม

อย่าลืมที่ผมบอกว่า ธรรมะเป็นอกาลิโก มันไม่เกี่ยวข้องกับกาลเวลา

มันไม่ใช่การประเมิน ตัดสิน โดยใช้ผลลัพธ์เป็นตัวตั้ง เป็นตัวหลัก

เพราะนั่นคือ วิธีคิดของโครงสร้างของกาลเวลา และอัตตาที่เป็นผู้ได้รับผลลัพธ์เหล่านั้น

การเปลี่ยนผ่านที่แท้จริง ไม่เกี่ยวข้องกับกาลเวลา

ขณะของชีวิตที่ไปพ้นจากกาลเวลา นั่นคือการเปลี่ยนผ่านอย่างฉับพลัน นั่นคือการเปลี่ยนผ่านที่แท้จริง

มันคือคำสอนที่เราเคยได้ยินได้ฟังมาตลอด คือคำว่า “ปัจจุบัน” …ปัจจุบันที่ไม่ใช่เวลา

ปัจจุบันนี้หมายถึง ความสามารถในการเป็นอยู่ อย่างสมบูรณ์ที่สุดกับขณะนี้

ไม่ว่าขณะนี้จะเป็นความสงบ ความเงียบ หรือจะเป็นความโกรธ ความโลภ กิเลสพันห้า ตัณหาร้อยแปด อะไรก็ได้

ปัจจุบัน คือ ชีวิตที่มีความเป็นอยู่อย่างสมบูรณ์กับสิ่งเหล่านั้น ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ทั้งหมด

โดยไม่มีขณะของมิจฉาทิฏฐิที่อยากจะเปลี่ยนแปลง ไม่อยากเป็นแบบนี้ อยากเป็นแบบนั้น

ไม่มีขณะของมิจฉาทิฏฐิ ที่มักจะสร้างระยะทางและกาลเวลาให้เกิดขึ้น เข้ามาเกี่ยวข้องกับขณะนี้

นี่คือ “ปัจจุบัน

และเมื่อไม่มีมิจฉาทิฏฐิ ที่อยากจะเปลี่ยนผ่าน เปลี่ยนแปลงมัน นัยยะนั่นหมายถึง “ความไม่มีเรา

ชีวิตที่เป็นความจริงสูงสุด คือชีวิตที่ของคู่ ไม่สามารถจะมีน้ำหนักเข้ามาภายในจิตใจได้อีกต่อไป

ชีวิตจึงมีความสามารถที่จะเลื่อนไหลไปตามธรรมชาติ ด้วยความมีอิสรภาพสูงสุด ไร้ขีดจำกัดของมิจฉาทิฏฐิในเชิงของคู่

มันไม่ใช่ความหมายของคนคนนึงนิพพานแล้ว เป็นพระอรหันต์แล้ว ไม่มาเกิดอีกแล้ว

นั่นเป็นเรื่องที่จะเรียกว่า มิจฉาทิฏฐิก็ได้ หรือจะเรียกว่า เป็นการใช้สมมติในการสอนคนก็ได้ แต่ถ้าเราเข้าใจผิด มันจะกลายเป็นมิจฉาทิฏฐิ

มันเป็นแค่การที่สิ่งมีชีวิตนี้ ถูกปลดปล่อยจากมิจฉาทิฏฐิ และมีอิสรภาพ ตามธรรมชาติที่มันเป็น แค่นั้น

Camouflage
02-09-2566

ฟังธรรม https://youtu.be/-eUl3A0yJUE