286.มันต้องผลิบานขึ้นมาจากชีวิต

 

ก่อนที่เราจะเริ่มฟังธรรม เราต้องรู้จักการฟังที่ไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูลในอดีต ไม่เกี่ยวกับการเปรียบเทียบ ฟังเหมือนไม่เคยรู้มาก่อนเลย เป็นหนึ่งเดียวกับเสียงนั้น ความเป็นหนึ่งเดียวกับเสียงนั้นคือ ขณะที่ความคิดเข้าไปไม่ได้ เหลือแค่ฟังล้วนๆ

และเรามาฟังธรรมไม่ใช่เพื่อที่จะได้รับวิธีปฏิบัติธรรม พวกเรามีวิธีปฏิบัติธรรมกันเยอะมากแล้ว แต่เรามาเพื่อจะเข้าใจว่าวิธีปฏิบัติธรรมนั้นจะต้องผลิบานขึ้นมาจากชีวิตแห่งอริยสัจ 4 เท่านั้น

เพราะถ้าวิธีปฏิบัติธรรมนั้นไม่ได้ผลิบานขึ้นมาจากชีวิตที่แท้จริง เราจะเป็นแค่คนที่รับวิธีปฏิบัติธรรมไป และใช้ความคิดกับวิธีปฏิบัติธรรมนั้นว่าจะต้องทำอย่างไร

และชีวิตหลังจากนั้นของเราก็กลายเป็นแค่วิธีปฏิบัติธรรม กลายเป็นแค่ชีวิตภายใต้ความคิด ภายใต้ภาพอันหนึ่งที่เราวาดเอาไว้ว่านี่คือวิธีปฏิบัติธรรม และนั่นคืออดีต…เราใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อดีต

นี่คือทั้งหมดของการที่ใครสักคนหนึ่งต้องการปฏิบัติธรรม แล้วก็เข้ามา “ขอวิธีปฏิบัติธรรม…ไปทำ” เราจะได้ชีวิตแบบนั้น ชีวิตเดิม ชีวิตภายใต้ความคิด

เราไม่เพียงอยู่แต่ในอดีต…เมื่อเราวาดภาพของวิธีปฏิบัติธรรมเสร็จเรียบร้อย นั่นหมายถึงมันมีอนาคตอยู่ด้วย อนาคตเราจะได้รับบางสิ่งจากวิธีปฏิบัติธรรมแบบนี้

เพราะฉะนั้น ชีวิตของเราเป็นได้แค่อดีตและอนาคต ไม่เคยที่จะรู้จักคำว่าปัจจุบันเลย

แต่ทีนี้เมื่อทุกคนเริ่มรู้จักว่า “ปัจจุบันนั้นคือเส้นทาง” และแล้วมันก็ได้กลายเป็นวิธีอีกครั้งหนึ่ง… “เรา” จะอยู่กับปัจจุบัน

แต่ “เรา” คืออดีต

ความรู้สึกของความเป็นเรานั่นคืออดีต ความรู้สึกของความเป็นเราคือความคิด และมันคืออดีต ฉะนั้น เราจะอยู่กับปัจจุบันจึงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่เรารู้สึกว่าเป็นไปได้เพราะเราเคยชินกับการอยู่ในอดีตอยู่แล้ว

 

เราอยู่กับปัจจุบัน หรือ ชีวิตนั้นเป็นปัจจุบัน?

เราสามารถจะแยก 2 สิ่งนี้ว่ามันต่างกันได้ไหม?

ชีวิตที่เป็นปัจจุบันนั้นเป็นชีวิตที่ความคิดเข้าไปไม่ถึง นั่นหมายถึงว่ามันไม่มีการตัดสิน มันไม่มีการให้ค่า ไม่มีการให้ความหมาย ไม่มีที่หมายใดๆหลงเหลืออยู่ มันจึงพ้นไปจากถูกผิดดีชั่ว อยู่พ้นไปจากการคอยประเมินทบทวนตัวเอง

เราชอบประเมินหรือทบทวนตัวเองว่า ตอนนี้เราทำถูกไหม? ตอนนี้เราดีหรือยัง? ก้าวหน้าไหม? ดีกว่าเดิมหรือยัง?

ทำไมเราทำแบบนั้น? เพราะเราไม่เข้าใจว่าอะไรคือการปฏิบัติธรรม เราเข้าใจแต่เรื่องของวิชาพัฒนาตัวเอง เราแค่เป็นคนที่ต้องการจะดีกว่านี้แค่นั้น

เมื่อเราฟังว่า “ชีวิตที่เป็นปัจจุบัน ไม่ใช่เราอยู่กับปัจจุบัน” …เราค้นพบชีวิตที่เป็นปัจจุบันนั้นไหม?

เมื่อเราได้รับคำสอนนี้ไป เราจะทำยังไง? เราจะหาทางทำไหม? เราจะคิดไหมว่าจะทำยังไงดีที่จะเป็นปัจจุบัน? หรือแม้กระทั่งที่ผมบอกว่าเราจะค้นพบชีวิตที่เป็นปัจจุบัน…เราจะทำยังไงดี ?

เราอยู่ในวงจรนั้นใช่ไหม? เราจะหาวิธี เราจะทำทุกอย่างเพื่อจะให้ชีวิตนี้เป็นปัจจุบัน เพราะเราอยากนิพพาน เราอยากเป็นพระอรหันต์ เราเห็นโครงสร้างทั้งหมดของชีวิตของความเป็นเราไหม? เราทำแบบนั้น

อย่าลืมที่ผมบอกว่า เรามาที่นี่ไม่ใช่เพื่อจะมารับวิธีปฏิบัติธรรม แต่มาเพื่อจะเข้าใจว่าอะไรคือการปฏิบัติธรรม

 

คำสอนง่ายๆ คำว่าปัจจุบัน คำว่าพ้นจากความปรุงแต่งทั้งปวง มันต้องผลิบานขึ้นมาจากชีวิตที่เป็นอริยสัจ 4 ของเราเอง เราทุกคนฟังเหมือนกัน…ปัจจุบัน…พ้นจากความปรุงแต่ง…รู้สึกตัว และเราทุกคน “เอาไปทำ” มันไม่ได้เกิดขึ้นในชีวิตของเราเอง

เพราะฉะนั้น ความเข้าใจในวิธีปฏิบัติธรรมที่เราถูกสอนมาว่ามันเป็นหัวใจ มันลัด มันสั้นที่สุด มันต้องใช้ชีวิตของเราที่จะเข้าใจมัน ไม่ใช่ใช้ความคิด

 

ที่เราปฏิบัติธรรมผิดกันทุกวันนี้ ก็เพราะว่าเรามานั่งเพื่อจะรับวิธีปฏิบัติธรรม แล้วก็เอาไปทำ เราไม่เคยให้มันเบ่งบานขึ้นมาจากชีวิตนี้ ชีวิตนี้เหมือนดิน ดอกไม้หรือดอกบัวจะต้องเบ่งบานขึ้นมาจากดินนี้

เราต้องใช้ทั้งชีวิตนี้ที่จะเข้าใจวิธีปฏิบัติธรรมที่ถูกสอนกันมา

 

เพราะฉะนั้น การฟังธรรมไม่ใช่การฟังเพื่อความเพลิดเพลิน หรือมีความรู้สึกว่าเราได้รับความรู้ที่ดูเหนือๆ ดูเจ๋งๆ แต่เป็นการฟังเพื่อจะปลุกเร้าให้ทุกคนตื่นขึ้นมา ตื่นออกมาจากชีวิตเก่าๆ ตื่นออกมาจากการใช้ชีวิตตามความคิด แล้วใช้ชีวิตใหม่…

…ชีวิตที่แท้จริง

…ชีวิตที่ความคิดเข้าไปไม่ถึง

…ชีวิตที่ไม่มีใครได้รับอะไรทั้งนั้น

 

ชีวิตที่ไม่มีใครได้รับอะไรทั้งนั้นเป็นประโยคที่สำคัญมาก ผมอยากให้เราลองพิจารณาถามตัวเองว่า ทุกวันนี้ที่เราปฏิบัติธรรม เรามีความรู้สึกอยู่เนืองๆ ว่าเราจะดีกว่านี้ใช่ไหม? เราจะใจเย็นกว่านี้ เราจะไม่โกรธ หรือเราจะมีนิสัยต่างๆที่ดีขึ้น…ดีกว่าที่เราเป็นอยู่นี้ เราหลงเหลือไอเดียแบบนั้นใช่ไหม? เราหลงเหลือว่าการปฏิบัติธรรมจะช่วยเราแบบนั้นใช่ไหม?

นั่นคือถนนอีกเส้นนึง นั่นไม่ใช่การปฏิบัติธรรม นั่นคือการพัฒนาตัวเอง คือการปรับปรุงตัวเอง

การพัฒนาตัวเอง หรือปรับปรุงตัวเองให้ดีกว่านี้ นั่นคือการขยายความยิ่งใหญ่ของอัตตาให้กว้างใหญ่ไพศาลขึ้น อัตตามันหลอกเราแบบนั้น

เวลาความโกรธเกิดขึ้น ความไม่พอใจเกิดขึ้น เราจะรู้สึกทันทีว่า เราไม่ควรโกรธแบบนี้ ทำไมเราโกรธขนาดนี้ นี่เราปฏิบัติธรรม ขนาดนี้แล้ว…ยังเป็นขนาดนี้เลยหรือ? ทำไมมีคำพูดเหล่านั้นกับตัวเอง…เข้าใจไหม?

เพราะว่าลึกๆ ของเรานั้น เราคิดว่าเราจะดีกว่านี้ เราเข้าใจรากเหง้าของความเป็นเราไหม? เราเข้าใจการลวงหลอกของอัตตาว่ามันเก่งขนาดไหนไหม?

เพราะข้อมูลต่างๆกำลังบอกเราว่า ถ้าเราปฏิบัติธรรมแล้ว สติเราจะเร็วขึ้น เราจะเห็นสภาวะไวขึ้น แล้วเราจะไม่โกรธ และถ้าเราเป็นพระอนาคามี เราจะไม่มีความโกรธ สิ่งต่างๆบอกเรา…ทำให้เรารู้สึกว่าเรายังไม่ดี

เพราะฉะนั้น ลึกที่สุดของหัวใจของเรา ทุกวันนี้ที่เราปฏิบัติธรรม เราเป็นเพียงแค่คนที่ต้องการพัฒนาตัวเองให้ดีกว่านี้แค่นั้น แต่ใช้ทฤษฎีของพระพุทธเจ้าเข้ามาช่วยให้การพัฒนาปรับปรุงตัวเองนั้นเป็นไปได้ดียิ่งขึ้น แต่ทั้งหมดนั่นคือเรื่องของอัตตา การปฏิบัติธรรมที่แท้จริงนั้นไม่มีเรา เราต้องเข้าใจเรื่องนี้

 

เมื่อความโกรธเกิดขึ้น บางคนทำยังไง? …เรากลับมารู้สึกตัว เราทำแบบนั้นเพราะอะไร? เราตัดสินใจไปแล้วใช่ไหมว่าความโกรธนั้นเป็นสิ่งไม่ดี…ความรู้สึกตัวนี้ดีกว่า? เราแยกเราออกมาคนนึงที่จะเลือกสิ่งที่ดีกว่า ไม่เอาสิ่งที่ไม่ดี

เราทำแบบนั้น เพราะเราไม่เข้าใจความหมายของความรู้สึกตัว

ความรู้สึกตัวคือความเป็นทั้งหมดของชีวิตนี้ ไม่มีอะไรเล็ดลอดไปจากความรู้สึกตัวได้เลย ไม่มีการตัดสินและแบ่งแยกสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในความรู้สึกตัวนี้ ไม่มีใครสักคนนึงแยกจากอะไร

เมื่อไม่มีใครสักคนนึงแยกจากอะไร นั่นคือปัจจุบัน ปัจจุบันที่เราไม่ได้ทำขึ้นมา ปัจจุบันนั้นไม่มีเวลา ไม่มีเคลื่อนไปไหน

เมื่อความโกรธเกิดขึ้น เราเปลี่ยนมาเป็นรู้สึกตัวแทน นี่คือการเคลื่อน นี่คือเวลา การเคลื่อนและเวลาคือความทุกข์ ทั้งหมดคือความทุกข์

เพราะฉะนั้น ชีวิตเป็นการรับรู้ที่ไม่มีการเลือก ชีวิตเป็นความรับรู้ ไม่ใช่เรารับรู้ มันมีความรับรู้อยู่แล้ว เป็นความรับรู้ที่ไม่มีการเลือก ไม่มีการตัดสินว่านั่นไม่ดี นี่ดีกว่า ไม่ใช่การพัฒนา ไม่ใช่การปรับปรุง ไม่ใช่เราจะดีกว่านี้

แต่คือการเป็นอยู่กับทุกขณะไม่ว่าสิ่งนั้นจะคืออะไรตาม อยู่กับมันอย่างศิโรราบ อยู่กับมันโดยไม่คิดจะเปลี่ยนแปลง แก้ไข จัดการ หรือทำอะไรบางอย่าง

และคำตอบจะอยู่ที่นั่น ทางออกจะอยู่ที่นั่น ความจริงอยู่ที่นั่น

เราเรียนรู้ว่ามีความจริงหลายอย่าง เช่น ไตรลักษณ์ โลกนี้ว่างจากความเป็นสัตว์ ตัวตน บุคคลเราเขา มันเป็นเช่นนั้นเอง เป็นไปตามเหตุและปัจจัย ความจริงเหล่านี้จะเปิดเผยออกมา มันอยู่ที่นั่นอยู่แล้ว ไม่ใช่การคิด

เพราะฉะนั้น อย่าพยายามจะทำอะไร อย่าพยายามจะเห็นความจริงตามทฤษฎีที่เราเรียนมา ว่าต้องเห็นแบบนี้ถึงจะจริง เห็นแบบนั้นถึงจะจริง อยู่เฉยๆ…แค่อยู่เฉยๆ แล้วความจริงจะเปิดเผยออกมาไม่ว่ามันจะคืออะไรก็ตาม มันจะไม่ใช่แค่อย่างเดียวที่เราพยายามจะเห็น มันจะเปิดเผยทุกอย่าง

ความจริงนั้นไม่ใช่เราสักคนนึงกำลังกำหนดทิศทางให้มัน มันต้องไม่มีเรา ความจริงถึงจะเกิดขึ้น

เพราะฉะนั้น การปฏิบัติธรรมนั้นเริ่มจากความบริสุทธิ์ที่สุด แล้วก็จบที่ความบริสุทธิ์ที่สุดเหมือนกัน ไม่ใช่เริ่มจากตัณหาของใครสักคนนึงที่อยากจะบริสุทธิ์ หรือเริ่มจากใครสักคนนึงที่อยากจะเห็นความจริง

มันไม่มีใครคนนั้นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เราต้องเข้าใจเรื่องนี้ แต่มันมีเมื่อเราคิด มันมีเมื่อข้อมูลต่างๆที่เราเรียนมา จำมา ถูกบอกเล่าสืบต่อกันมา และสร้างเราขึ้นมาเป็นระยะๆ “เรา”ไม่ได้มีอยู่ตลอด

 

เพราะฉะนั้น การค้นพบชีวิตที่เป็นการปฏิบัติธรรมเหมือนเราค้นพบขุมทรัพย์ของชีวิตนี้ แต่การพยายามใช้ชีวิตนี้ปฏิบัติธรรมตามวิธีปฏิบัติธรรม เราสามารถทำได้เลย เพราะเราเก่งทางด้านการทำตามความคิดอยู่แล้ว

แต่การค้นพบชีวิตที่เป็นการปฏิบัติธรรม ค้นพบชีวิตที่เป็นปัจจุบัน ค้นพบชีวิตที่ไม่ทำอะไร…

…เราต้องใช้เวลา

…อาศัยความเป็นทั้งหมดของชีวิตนี้

…อาศัยความทุกข์ในชีวิตนี้

…อาศัยความสุขในชีวิตนี้

ไม่ว่าเราได้รับความสุข หรือเราได้รับความทุกข์ เราจะดิ้นรนไปทุกทาง เมื่อเราได้รับความสุข เราจะรักษามันไว้ เราอยากคงสภาพมันไว้ หรือเราอยากจะสุขไปมากกว่านี้

เมื่อเราได้รับความทุกข์ เราอยากจะหนีมัน เราอยากจะทำให้มันจบๆไป เราจะหาทุกวิธีการ เช่น ช่างมันเถอะ ปล่อยวาง คิดบวก เอาข้อธรรมมาพิจารณาเพื่อที่จะปล่อยวางมันได้

เพราะฉะนั้น ที่เรากำลังปฏิบัติธรรมอยู่ทั้งหมด ลองสังเกต ลองถามตัวเองดู ลองพิจารณาย้อนกลับไป จริงๆแล้วเรากำลังหนีทุกข์อยู่ใช่ไหม? เรากำลังทำทุกอย่างเพื่อจะหนีความทุกข์แค่นั้น แม้กระทั่งเราพยายามจะเห็นตามความเป็นจริง ก็เพื่อจะหนีมันใช่ไหม? มีเราคนนึงกำลังจะหนีมันใช่ไหม? นี่เป็นคำถามที่เราต้องถามตัวเองในทุกครั้งที่ความทุกข์เกิดขึ้น

เราใช้ทั้งชีวิตที่จะพิจารณาสิ่งที่เรากระทำต่อความสุขและความทุกข์ ว่าเราทำอะไรลงไปบ้าง? กำลังเกิดอะไรขึ้นบ้างเมื่อความสุขและความทุกข์เกิดขึ้นในขณะนี้?

เราเห็นความดิ้นรนที่เกิดขึ้นทั้งหมดของเราขณะนี้ไหม? และความดิ้นรนที่เรากำลังจะทำอะไรบางอย่าง ไม่ว่ามันจะดูดีแค่ไหนก็ตาม…ที่เหมือนการปฏิบัติธรรมเลยก็ตาม เบื้องหลังจริงๆแล้วเรากำลังหนีใช่ไหม?

และถ้าเราพบว่ามันเป็นอย่างนั้น และเรารู้ว่ามันไม่ใช่ เราจะทำยังไง? เราจะทำยังไงดี?

ผมบอกว่าเราต้องใช้ทั้งชีวิต เพราะว่ามนุษย์เรานั้นดื้อ เราพยายามหาทาง หาช่อง เหมือนทนายหาช่องโหว่ทางกฎหมาย เราพยายามทำแบบนั้น มันเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ที่ทำแบบนั้น เราเห็นไหม?

 

จนกว่าความพยายามทั้งหมดจะสิ้นสุดลงไป และชีวิตนั้นจะหยุด ซึ่งไม่ใช่วิธีปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ทางลัดที่นำไปสู่การปฏิบัติธรรมให้เร็วกว่านี้ แต่ชีวิตนั้นหยุดด้วยการผ่านชีวิตแห่งอริยสัจ 4 นี้ด้วยตัวเราเอง แล้วเราจะเข้าใจคำว่าหยุด คำว่าพ้นจากความปรุงแต่งทั้งปวง คำว่ารู้สึกตัว คำว่าปกติ

และเมื่อชีวิตหยุดอย่างศิโรราบ จะเป็นแค่ความดำรงอยู่กับความเป็นทั้งหมดที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ โดยไม่มีใครจะตัดสินให้คุณค่า ว่ามันดีหรือไม่ดียังไงกับภาวะที่กำลังเป็นอยู่นี้ และนั่นคือขณะแห่งชีวิตที่ความคิดเข้าไปไม่ถึง นั่นคือขณะแห่งความจริงสูงสุด ความจริงสูงสุดไม่ได้อยู่ข้างหน้า ความจริงคือขณะนี้ ที่กำลังเป็นอยู่ขณะนี้

แต่เราเข้าใจว่าความจริงมันต้องดีเท่านั้น ความจริงคือ สงบ สุข ว่าง นั่นคือความจริงของความคิดของเรา แต่จริงๆมันไม่ใช่ นั่นคือสิ่งที่เราอยากจะเป็นเฉยๆ มันอยู่ในอนาคต มันไม่จริง

ผมถึงบอกว่า เราต้องรู้จักว่าอะไรคือจริง

เพราะฉะนั้น คำถามหลายคำถามที่ผมถามไปในวันนี้ เราต้องเอาไปถามตัวเองบ่อยๆ ถ้าจำไม่ได้ ก็ฟังอีกรอบ

 

Camouflage

16-01-2565

 

ฟังธรรม : https://youtu.be/r8LbAJeM1VY

ดาวน์โหลด mp3 : https://mcdn.podbean.com/mf/download/7qg55i/286.mp3