316.แสงสว่างแรกในชีวิต

 

เราทุกคนเข้ามาปฏิบัติธรรมด้วยหัวใจอันหนึ่ง ก็คือ เราจะไปสู่อิสรภาพ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราทุกคนน่าจะคิดเหมือนกัน

แต่อิสรภาพนั้น จะต้องเกิดขึ้นตั้งแต่ขณะนี้ ถ้าเราเข้าใจเรื่องนี้ไม่ได้ เราไม่สามารถจะปฏิบัติธรรมได้อย่างแท้จริง

อิสรภาพตั้งแต่ขณะนี้ หมายความว่า ชีวิตนี้มีอิสระ ที่จะศึกษาสิ่งที่เกิดขึ้นในจิตใจ โดยไม่มีเงื่อนไข ข้อจำกัด ความคิด ความรู้ สิ่งดี ๆ ทั้งหลาย ที่สั่งสมมา การตัดสินให้คุณค่า ว่าอะไรควรจะเป็นยังไง

#ความไม่หลงเหลือสิ่งที่สั่งสมมาทั้งหมดนี้ จึงจะมีความสามารถที่จะมีอิสรภาพในการรู้ ตั้งแต่ขณะนี้

มีอิสรภาพในการศึกษาสิ่งที่เป็นอยู่อย่างเปิดกว้าง ตั้งแต่ขณะนี้

อิสรภาพไม่ใช่ไปรอเอาข้างหน้า มันต้องมีตั้งแต่เดี๋ยวนี้

ศาสนาในความหมายของพวกเรา คือ ดี ไม่ใช่จริง

ศาสนาในความหมายของพวกเรา คือ ความเชื่อ ไม่ใช่สัมมาทิฏฐิ

เพราะฉะนั้น การปฏิบัติธรรมจึงเป็นของเสมือนในทุกวันนี้

ผมพูดถึงอิสรภาพตั้งแต่ขณะนี้

อิสรภาพนั้น คือ จะต้องไม่หลงเหลือข้อมูล ความจำทุกอย่าง เกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม ที่เราเคยเรียนมา เคยฟังมาทั้งหมด เราทำได้ไหม?

เมื่อสมองไม่หลงเหลือสิ่งเหล่านั้น และเราลงลึกกับชีวิตตัวเอง เราจะเห็นว่ามันเหลือแต่ชีวิตล้วน ๆ ชีวิตจริง ๆ ความเป็นไปของมันจริง ๆ กระทบกระเทือนจริง ๆ ปรุงแต่งเละเทะจริง ๆ กุศล อกุศลจริง ๆ กิเลส ความอยาก โทสะ ราคะ ทุกอย่างนี้ จะเกิดขึ้นจริง ๆ

และเมื่อไม่หลงเหลือความรู้ การตัดสิน…นึกออกมั้ยว่าเราตัดสินจากความรู้ จากสิ่งที่สังคมสอนเรา พ่อแม่สอนเรา ครูบาอาจารย์สอนเรา ในเชิงของศีลธรรม ความดี หรือการปฏิบัติที่ถูกต้อง หรือการปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านี้ยังไงถึงจะถูก ไม่มีทั้งหมดนี้

แล้วเผชิญกับมันจริง ๆ รู้จักมันจริง ๆ รู้จักหน้าค่าตามันจริง ๆ รู้จักว่ามันมาจากไหนจริง ๆ รู้จักว่ามันเป็นไปยังไงจริง ๆ โดยที่ไม่มีสิ่งเหล่านั้นเข้ามาแทรกแซงขัดขวาง ในการที่จะรู้จักสิ่งเหล่านั้นตามความเป็นจริง

เราฟังผมแล้ว เราต้องลองทำดู ลองมีชีวิตที่อิสรภาพแบบนั้นดู

เราอย่ามัวไปนั่งคิดว่า อ้าว ตายแล้ว ถ้าอย่างนั้น ที่เขาสอนมาทั้งหมด มันก็ไม่ใช่ มันก็ไม่ถูก แล้วมันจะใช่แบบที่อาจารย์พูดหรือ? แล้วที่เขาสอนกันมาแบบนั้น มันแปลว่าอะไร? มีอะไรอีกมากมาย ที่เราจะคิดไปเรื่อย ๆ หยุดคิดแบบนั้นก่อน ลองทำดู มันง่ายกว่า

ถ้ามัวแต่คิด หาถูก หาผิด อยากให้คนอื่น หรือสิ่งที่เราเคยเชื่อไม่ผิดพลาดเลย มันไม่มีวัน จะได้ความจริงอะไรเลย เพราะหัวใจของเรานั้น แค่ต้องการให้ทุกอย่างถูก แค่นั้น

หัวใจที่พยายามจะคิดแต่เรื่องแบบนั้น คือหัวใจที่เลือกข้าง แบ่งข้าง หรือแม้กระทั่งเป็นนางสาวไทย อยากให้ทุกสิ่งดีทั้งหมด ทิ้งหัวใจแบบนั้นไป และใช้หัวใจที่เป็นจริง

#หัวใจที่เป็นจริงนั้น อยู่เหนือถูก เหนือผิด เหนือดี เหนือชั่ว เหนือการตัดสินแบ่งแยก เป็นหัวใจที่กล้าแกร่ง ที่จะเผชิญความจริง อย่างแท้จริง

การมีหัวใจนี้เท่านั้น ที่จะทำให้ชีวิตที่มีอยู่ในทุกวันนี้ของเรา เป็นจริงขึ้นมาได้

ไม่ใช่ชีวิตที่เป็นโลกเสมือน แล้วก็พยายามปฏิบัติธรรมที่เป็นของเสมือน และสุดท้าย เราก็ไม่พบอะไรที่เป็นความจริงทั้งสิ้น

และเมื่อหัวใจของเรา เริ่มรู้จักชีวิตที่เป็นอิสรภาพตั้งแต่ขณะนี้แบบที่ผมบอก เราจะพบว่า นั่นคือแสงสว่างแรกในชีวิตของเรา

และทันทีที่แสงสว่างแรกในชีวิตของเราได้เกิดขึ้น การเห็นชีวิตนี้ตามความเป็นจริงก็เกิดขึ้นทันที พร้อมกัน

และการเห็นชีวิตตามความเป็นจริงนั้น คือ “อริยสัจ 4”

และนี่คือที่มาของความหมายว่า ทำไม “สัมมาทิฏฐิ” ถึงแปลว่า การรู้อริยสัจ 4

เพราะสัมมาทิฏฐินั้น คือแสงสว่างแรก คืออิสรภาพ

และทันทีที่หัวใจของมนุษย์ทุกคนมีอิสรภาพ การรู้แจ้งในอริยสัจ 4 ก็จะเกิดขึ้น

เราฟังเรื่องของการพ้นจากความปรุงแต่ง เราก็ไปเข้าใจว่าคือ การไม่คิด

แต่การพ้นจากความปรุงแต่ง คือหมายความว่า ชีวิตจริง ๆ นี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมาก็ตาม จะไม่ถูกความครอบงำของความรู้ทั้งหลายที่เราสั่งสมมาตั้งแต่เด็กจนโต ไม่ว่าสิ่งนั้นจะคือความรู้ในเชิงศีลธรรม ถูก ผิด การปฏิบัติธรรม หรืออะไรก็ตามที่สังคมสอนเรามา ไม่มีสิ่งเหล่านั้น ที่จะเข้ามาปรุงแต่งความเป็นจริงในขณะนี้ของชีวิตที่กำลังเกิดขึ้น นี่เรียกว่า #การพ้นจากความปรุงแต่ง

ขันธ์ 5 นี้ มันจะทำอะไรของมันก็ได้ มันกระทบ กระเทือน เป็นแบบไหนก็ได้ แต่ไม่มีความปรุงแต่งมันอีกทีนึง นี่เรียกว่าพ้นจากความปรุงแต่ง

และเมื่อไม่มีไอเดียใด ๆ ต่อสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ การเห็นตามความเป็นจริง หรือการศึกษาสิ่ง ๆ นี้ ซึ่งภาษาพระพุทธเจ้าเรียกว่า “การรู้ทุกข์” มันจึงเกิดขึ้นได้

แต่กระบวนการเรียนการสอนของเราทุกวันนี้ คือ เก็บความรู้ให้เต็ม และคอยเอามาใช้กับชีวิตนี้

มีอกุศลเกิดขึ้น ไม่ควรจะเกิดขึ้น ทำยังไงกับมันดี? เปิดตำรา หาคลิปฟัง ทำสมาธิ ทั้งหมดนี้คือความปรุงแต่ง คือการที่ไม่สามารถเห็นอะไรตามความเป็นจริงได้เลย

แต่เราเชื่อ ทำไมเราเชื่อ?

สิ่งที่ผมถามเหล่านี้ มันควรจะเกิดขึ้นในชีวิตของเราเอง ไม่ใช่รอผมถาม

ถ้าเราเชื่อ เราต้องถามตัวเองว่า เอ๊ะ ทำไมเราเชื่อสิ่งเหล่านี้? เราต้องตอบตัวเองได้ว่า อ๋อ เพราะเราอยากได้ดี เราอยากประสบความสำเร็จ เราอยากพ้นทุกข์ เราอยากนิพพาน เราอยากเป็นพระโสดาบัน เราอยากเป็นพระอรหันต์ เราอยากเป็นเหมือนคนที่เขาพูดแบบนี้ เพราะเราเชื่อว่าเขาเป็นพระอรหันต์

เห็นกระบวนการเหล่านี้ทั้งหมด เห็นกระบวนการคิดของอัตตา ว่ามันคิดอย่างนี้ มันมีวิธีคิดอย่างนี้ มันมีวิธีพูดแบบนี้ มันมีวิธีหลอกตัวเอง ที่ทำให้ตัวเองคล้อยตามกับสิ่งต่าง ๆ แบบนี้ นี่คือการเห็นชีวิตนี้ตามความเป็นจริง นี่เป็นตัวอย่างเล็ก ๆ ที่ผมให้ตัวอย่างไว้

กระบวนการเห็นชีวิตแบบนี้ ต้องเกิดขึ้นกับเราทั้งวี่ทั้งวัน

แล้วถ้าเรามีกระบวนการที่จะเห็นชีวิตตัวเองแบบนี้อย่างละเอียด อย่างแท้จริง สิ่งที่เราจะค้นพบมากขึ้นเรื่อย ๆ คือ ชีวิตของเราตั้งแต่อดีตจนมาถึงขณะนี้ ไม่เคยมีเวลาไหนเลยที่เป็นจริง เราแค่อยู่ในไอเดีย ๆ หนึ่ง ที่คอยควบคุมชีวิตนี้อยู่ตลอดเวลา

เราอาจจะค้นพบว่า อุ๊ย เราอยู่ภายใต้ไอเดียนี้ เราจะค้นพบไปเรื่อยๆ ค้นพบไปเรื่อยๆ เราจะพบว่า เรานี่มันบ้าจริง ๆ เราอยู่ภายใต้ทุกไอเดียอย่างเหลือเชื่อ และเราก็คิดว่าชีวิตของเรานี้เป็นจริง และเราก็กำลังปฏิบัติธรรมอยู่ เราจะค้นพบว่า ไม่น่าเชื่อว่าเราจะเป็นคนแบบนี้ได้

#Camouflage
12-11-2565

ฟังธรรม : https://youtu.be/1m9oXHXWN7Y

ดาวน์โหลด mp3 : https://mcdn.podbean.com/mf/download/8m49xw/316.mp3