295.ทัศนะอันบิดเบี้ยว

 

ลึกที่สุดของเราไม่ว่าวิธีไหนที่เราทำ ความหวังสุดท้ายของเราก็คือ
…ต้องการที่จะทำลายมัน
…หรือต้องการที่จะไม่มีมัน
…ต้องการที่จะดับมัน
แล้วเราจะได้ไม่ทุกข์ซักทีนึง

เพราะฉะนั้น ลึกที่สุดของมนุษย์เรา ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ล้วนสนองอัตตาตัวตนของตัวเองทั้งนั้น

และเราถูกสอนให้มีทัศนะต่อสิ่งหนึ่งดี สิ่งหนึ่งชั่วร้าย สิ่งหนึ่งถูก สิ่งหนึ่งผิด และเมื่อเรามีทัศนะแห่งการแบ่งแยกแบบนั้น ที่เหลือทั้งหมดของชีวิตเรา จะไปในทิศทางนั้น และไปในทิศทางที่ผิดพลาด

เราไม่เคยที่จะรู้จักโลกนี้ตามความเป็นจริง เราไม่เคยที่จะรู้จักและเข้าใจสิ่งต่างๆ รวมทั้งชีวิตนี้ตามความเป็นจริง

เราไม่เคยลงลึกกับสรรพสิ่งรอบตัวและสิ่งที่เรียกว่า “ตัวเรา” โดยที่ไม่มีทัศนะอันบิดเบี้ยวคอยชี้นำอยู่ข้างหลัง

เราไม่เคยที่จะเปล่าเปลือยล่อนจ้อนที่จะเห็นชีวิตนี้…โลกนี้…ทุกสิ่งทุกอย่าง เห็นมันอย่างแท้จริง เราไม่เคยมีความสามารถนั้นเลย

หลวงพ่อสุเมโธท่านเล่าว่า ช่วงนี้ท่านเจอเรื่องเกี่ยวกับคนตายเยอะ ท่านไม่รู้สึกอะไรเลยไหม? ท่านบอกว่าท่านรู้สึก ท่านมี Feeling ไม่ใช่เป็นผีตายซากที่ไม่รู้สึกอะไรเลย

ท่านบอกว่าความรู้สึกเสียใจก็เป็นอย่างนั้น
นี่คือความสัมพันธ์ต่อมัน คือมันก็เป็นแค่ความรู้สึก

แต่เราคิดอะไร? เราคิดว่า อ๋อ…มันจะไม่มีอารมณ์ ความรู้สึก
ถ้ามันไม่มี..เราจะได้ไม่ทุกข์

เราไม่เข้าใจว่า เมื่อมันไม่มีเราแล้ว! มันจะมีอารมณ์อะไร มันก็เรื่องของมัน

ความเชื่อของพวกเราคือ คิดว่าอารมณ์เสียใจเป็นอารมณ์ของโทสะ เป็นอารมณ์ของทุกข์ มันต้องไม่มี…ถึงจะถูก

เห็นมั้ยว่าชีวิตเราผิดธรรมชาติขนาดไหน เราดัดแปลงตัวเอง ฝึกตัวเองให้มันผิดธรรมชาติ แล้วเราก็นึกว่าเรากำลังทำได้ถูกเลย ตามหนังสือ ตามสิ่งที่เราได้ยินได้ฟังมานานแสนนาน

เพราะฉะนั้น ผมถึงบอกว่าเราไม่เคยจะค้นพบความจริงอะไรด้วยตัวเอง เราเชื่อแล้วเราก็จะทำให้ได้แบบนั้น นี่คือความบ้องตื้นของนักปฏิบัติธรรม

แล้วหลวงพ่อสุเมโธพูดแบบนั้น เราจะเชื่ออีกไหม? นี่คือเรื่องที่เราต้องค้นพบด้วยตัวเองเหมือนกัน

เพราะฉะนั้น มีทัศนะต่อการปฏิบัติธรรมว่ามันคืออะไรกันแน่ให้ถูกต้อง เลิกเป้าหมายที่ผิดๆทั้งหลายไป แล้วชีวิตที่เป็นอริยสัจจึงจะเกิดขึ้นได้ ความเข้าใจสิ่งที่เรียกว่ากองทุกข์หรือชีวิตนี้อย่างแจ่มแจ้ง จึงจะเกิดขึ้นได้

Camouflage
16-04-2565