291.ผู้เดินตาม…บทสรุปทางความคิด

 

การที่มีใครซักคนนึงกำลังเดินตามบทสรุปซักอย่างนึง แล้วจะไปให้ถึงที่นั่น…นั่นคือกาลเวลา…นั่นคือระยะทาง

กาลเวลาและระยะทางนั้นเกิดขึ้นมาได้จาก “ความคิด” เท่านั้น เหมือนที่ผมเคยบอกว่า เราปฏิบัติธรรมภายใต้ความคิด ภายใต้อดีต

กาลเวลาที่ผมพูดถึง ไม่ใช่เช้าสายบ่ายเย็น เวลาพระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตก มืดหรือสว่าง แต่ความคิดนั้นสร้างกาลเวลาขึ้นในจิตใจ

เวลาเรามีความสุข เวลานั้นสั้นเหลือเกิน แต่เวลาเรามีความทุกข์แค่ 5 นาที มันเหมือนเป็นหนึ่งวัน นี่คือกาลเวลาในจิตใจ และกาลเวลาในจิตใจเกิดขึ้นได้จากความคิด

เมื่อเรามีความคิดจะเดินตามไอเดีย บทสรุปทางความคิด ทฤษฎี หรือเป้าหมายซักอย่างนึง นั่นคือกาลเวลาได้เกิดขึ้นในจิตใจเราแล้ว

และเมื่อเราเริ่มปฏิบัติธรรมภายใต้กาลเวลาในจิตใจนั้น ไม่ว่าจะใช้เวลาเท่าไหร่ก็ตาม นั้นไม่ใช่การปฏิบัติธรรม ไม่ว่าเราจะไปถึงเป้าหมายนั้นสมบูรณ์เท่าไหร่ก็ตาม ทั้งหมดนั้นยังไม่ใช่การปฏิบัติธรรม มันเป็นแค่ของเสมือนจริงเฉยๆ

กว่าคำสอนที่บอกว่า การปฏิบัติธรรมนั้นคือ “การพ้นจากความปรุงแต่งทั้งปวง” ครูบาอาจารย์ท่านใช้ทั้งชีวิตที่จะเข้าใจสิ่งนี้ ที่จะเข้าใจว่าความทุกข์นั้นเกิดขึ้นมาได้ยังไง ความบีบคั้นเกิดขึ้นมาได้ยังไง มันประกอบขึ้นจากอะไร และค้นพบมัน

การค้นพบเหตุแห่งความทุกข์ทั้งหมดนั้น ไม่ใช่การแก้ไขมัน ไม่ใช่การพยายามจะเปลี่ยนแปลง

เมื่อการค้นพบชีวิตนี้ว่ามันทุกข์ได้ยังไง ค้นพบโครงสร้างทั้งหมดของชีวิตนี้ว่ามันเป็นยังไง มันก่อทุกข์ได้ยังไง แล้วการพลิกชีวิตถึงจะเกิดขึ้น มันไม่ใช่การเปลี่ยนแปลง

มันคือการพลิกชีวิต
มันคือการมีมุมมองต่อการใช้ชีวิตใหม่ทั้งหมด

คำสอนที่ครูบาอาจารย์ท่านสรุปง่ายๆ ว่าอยู่กับปัจจุบัน กว่าคำสอนนี้จะถูกกลั่นออกมา มันต้องใช้การเข้าใจอย่างหนักหน่วง เมื่อท่านเข้าใจแล้ว ชีวิตนั้นมันพลิกเป็นการดำเนินชีวิตที่ใหม่ทั้งหมด…คือการอยู่กับปัจจุบัน

แต่ไม่ใช่เราอยู่กับปัจจุบัน มันเป็นแค่ชีวิตที่แท้จริงนั้นมันเป็นปัจจุบัน เป็นชีวิตที่ไม่ได้เดินตามบทสรุปทางความคิด

พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ท่านแค่เพียงพลิกของคว่ำให้หงายขึ้น นี่คือธรรมะ นี่คือการปฏิบัติธรรม มันไม่ใช่การค่อยๆสะสม ค่อยๆเปลี่ยนผ่าน การสะสมและค่อยๆเปลี่ยนผ่าน นั่นคือไอเดียของอัตตาตัวตน

แต่เมื่อเราเข้าใจโครงสร้างส่วนใหญ่ของชีวิต ชีวิตจะพลิก และชีวิตที่เป็นปัจจุบันจะเกิดขึ้น และชีวิตที่เห็นตามความเป็นจริงถึงจะเกิดขึ้น ไม่ใช่เห็นตามความคิด ตามบทสรุป ตามทฤษฎี ที่อ้างอิงมาจากความจริง

ชีวิตเป็นการเห็นตามความเป็นจริง โดยที่ไม่มีเราที่จะเป็นผู้เห็น หรือคอยเห็นตามความเป็นจริง เพราะถ้ามีเรา หรือมีผู้เห็นตามความเป็นจริง เราหรือผู้เห็นนั้นเองคือความคิด คือเจตนา และความคิดนั้นแบ่งแยกความจริงออกจากเราซึ่งเป็นผู้เห็น หรือผู้ที่คอยเห็น

และเมื่อความคิดเกิดขึ้น ระยะทางและกาลเวลาก็จะเกิดขึ้น

นี่คือสาเหตุที่ผมสอนเราทุกคนว่า เรียนแล้วต้องลืมให้หมด

การปฏิบัติธรรมจะเริ่มขึ้นเมื่อเราลืมทั้งหมดเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม และใช้ชีวิตจริงๆ

เรียนรู้เข้าใจชีวิตนี้ด้วยตัวของเราเอง เมื่อเราค้นพบว่าชีวิตนั้นเป็นการเรียนรู้ เราจะค้นพบว่ามันเป็นชีวิตที่ไม่ต้องทำอะไรเลย เราจะเข้าใจความไม่ต้องทำอะไรเลยนั้นแปลว่าอะไร

แล้วเราจะยิ่งเข้าใจว่า ความที่เราพยายามจะทำอะไรบางอย่าง เพื่อจะถึงเป้าหมายบางอย่าง นั่นคือชีวิตเก่า นั่นคือการสร้างกาลเวลาในจิตใจ นั่นคือการสร้างเป้าหมาย นั่นคือการสร้างความขัดแย้งให้กับชีวิตของตัวเอง

ขัดแย้งยังไง? คือตอนนี้ไม่ดี เราพยายามทำซักอย่างนึงเพื่อจะให้มันดีกว่านี้ และนี่คือความขัดแย้ง

และขัดแย้งนั้นเองคือความเป็นทุกข์ตลอดเวลาในจิตใจ นี่คือเหตุแห่งทุกข์ เราเข้าใจเหตุแห่งทุกข์แบบนี้มั้ย? เราไม่เข้าใจ เราถึงได้ปฏิบัติธรรมภายใต้ความคิด กาลเวลา ระยะทาง และเป้าหมายตลอดเวลา

และเรานั่นเองที่เป็นคนสร้างทุกข์ให้กับตัวเองตลอดเวลา เพราะเราไม่รู้จักว่ามันคือเหตุแห่งทุกข์

นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านอยากจะสอนเราทุกคนในเรื่องอริยสัจ 4 ว่าเราต้องรู้จักว่าอะไรเป็นทุกข์ อะไรเป็นเหตุแห่งทุกข์ แต่เราไม่รู้…เรามัวปฏิบัติธรรมอยู่ เราเอาแต่ปฏิบัติธรรมโดยที่ไม่รู้เรื่องของตัวเองเลย

เราจะเป็นแต่ผู้เดินตาม…เราจะเป็นผู้เดินตามมรรค…ผู้เดินตามคำสอนต่างๆ

มันไม่มีใครซักคนนึงจะเดินตามอะไรทั้งนั้น มันมีแค่ชีวิตนี้ ที่เป็นอยู่ในขณะนี้ เป็นปัจจุบันแบบนี้ เป็นชีวิตที่เป็นการเห็นแบบนี้

ทั้งหมดที่ผมพูดถึง ไม่มีการแยกกัน มันเป็นทั้งการเห็น…เป็นทั้งปัจจุบัน…เป็นความรู้เท่าทันต่อชีวิตนี้ ไม่มีใครเดินตามอะไรทั้งนั้น ความเท่าทันนั้นเกิดขึ้นได้ในปัจจุบันเท่านั้น

ชีวิตจะเป็นปัจจุบันได้ยังไง? มันต้องเป็นชีวิตที่ไม่เดินตามรูปแบบของความคิดในทุกๆอย่าง ไม่ใช่เราคนนึงพยายามฝึกสติ พยายามมีสมาธิเพื่อจะรู้เท่านั้น นั่นยังไม่ใช่ปัจจุบัน

ชีวิตนี้เป็นปัจจุบันอยู่แล้ว นี่คือชีวิตใหม่ หรือจะเรียกว่าเป็นชีวิตดั้งเดิมที่เราหลงลืมมันไป เพราะเราใช้ชีวิตตามความคิดตลอดเวลา ตามความคิดตัวเอง ตามความคิดของคนอื่น นั่นหมายถึงหนังสือ คำสอน ทุกอย่างที่เป็นบทสรุปทางความคิดที่ออกมาในรูปของธรรมะ

เราใช้ชีวิตด้วยการเดินตามความคิด ไม่ว่าจะเป็นของตัวเองหรือของคนอื่นก็ตาม ชีวิตจึงไม่สามารถจะเป็นปัจจุบันได้ และการรู้เท่าทันมันจึงเกิดขึ้นไม่ได้

เมื่อชีวิตที่เป็นปัจจุบัน และชีวิตที่รู้เท่าทัน เกิดขึ้นไม่ได้ เราจึงไปฝึกปฏิบัติธรรม ฝึกสติ ฝึกสมาธิ ฝึกทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อจะเป็นปัจจุบัน เพราะเราไม่เข้าใจว่าชีวิตที่เป็นปัจจุบันนั้น เป็นชีวิตที่ต้องพ้นออกจากทุกรูปแบบของความคิด พ้นจากการเดินตามรูปแบบของบทสรุปทางความคิดทุกอย่าง

เพราะฉะนั้น การปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ไอเดียของเราสักคนจะเดินตามอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นคำสอน อาจารย์ หนังสือ บทสรุป

แต่การปฏิบัติธรรมคือชีวิต คือความคงเหลือแค่ชีวิตนี้ คือความพ้นจากทุกไอเดียต่อชีวิตนี้ แล้วความจริงที่เป็นจริงของมันถึงจะปรากฏ โดยที่ไม่มีความคิดใดๆ เข้าไปแทรก เข้าไปขัดขวางมัน เข้าไปบิดเบือนความเป็นจริงของมัน

Camouflage
12-03-2565

 

ฟังธรรม : https://youtu.be/xQ1x1t3kLh4

ดาวน์โหลด mp3 : https://mcdn.podbean.com/mf/download/tajuu2/291.mp3