289.ชีวิตที่ไร้บัญญัติ

 

คำว่า “ดี” ที่เราเชิดชูกัน ที่เราให้คุณค่ากับบางสิ่งบางอย่าง มันจริงไหม?

“ดี” มันใช่ “จริง” ไหม?

ศาสนาพุทธ ถูกครอบงำด้วยคำว่า “ดี” มากกว่า “จริง”

ศาสนาพุทธถูกโลกและสังคมกลืนไปด้วยความดีมากกว่าจริง จริงหายไป ดีมาเป็นใหญ่แทนในศาสนาพุทธ

บรรยากาศนี้ทำให้เหล่านักปฏิบัติธรรมจึงค้นไม่พบความจริง เราติดอยู่กับความเชื่อหลายอย่าง และ “ดี” คือหนึ่งในนั้น

ผมว่าเราทุกคนเมื่อเข้ามาปฏิบัติธรรมจะได้ยินคำสอนว่า เราต้องปฏิบัติธรรมเพื่อจะรู้ว่าความจริงคืออะไร เราต้องปฏิบัติธรรมเพื่อจะเห็นโลกนี้ตามความเป็นจริง

ฟังผมให้ดี…คำสอนกำลังบอกเราว่า “เราต้องมาปฏิบัติธรรม เพื่อจะเห็นความจริง”

เพื่อจะเห็นความจริง…นั้นแปลว่าอะไร?

ความจริงอยู่ในอนาคต ความจริงอยู่ข้างหน้า เราคนนึงจะต้องปฏิบัติซักอย่างนึงที่เรียกว่า “วิธีปฏิบัติ” เพื่อจะไปรู้ว่าอะไรคือความจริงที่อยู่ข้างหน้า ที่อยู่ในอนาคต อีกไกลแสนไกล

นี่คือคำสอนผ่านภาษาที่เราได้รับ และเราทุกคนคิดแบบนั้นว่า โอเค เราต้องปฏิบัติธรรมก่อน เราต้องพยายามมีสติ มีสมาธิ มีนู่น มีนี่ มีนั่น เพื่อที่วันนึงเราจะเห็นความจริงได้

แต่ความจริงคือ “ขณะนี้”…ความจริงคือขณะนี้เลย

ขณะแห่งการรับรู้ที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ และไม่มีระยะทางที่จะเข้าถึงมัน

เป็นชีวิตที่ไร้กาลเวลา เหนือกาลเวลา เป็นชีวิตที่เป็นอกาลิโก นี่คือความจริง นี่คือจริง มันไม่ได้อยู่ข้างหน้า มันไม่อาศัยการปฏิบัติเพื่อจะไปถึงมัน มันอยู่ที่นี่อยู่แล้ว

เราถูกหลอกด้วยภาษา ด้วยความหมายของมัน และเราเชื่อสนิทใจว่า เราต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อที่จะพบความจริงที่อยู่ข้างหน้านั้นให้ได้

นี่คือหายนะของวงการการปฏิบัติธรรม…ที่เราทุกคนเข้าใจแบบนั้น นี่คือโศกนาฏกรรมของนักปฏิบัติธรรม

ความหายนะที่เราไม่เห็นโครงสร้างของชีวิตของเรา ว่าติดอยู่กับความหมายของคำสอน ถ้อยคำ เรายึดติดอยู่กับมัน

ชีวิตทั้งชีวิตที่เป็นจริง จึงกลายเป็นชีวิตที่เป็นความเชื่อ เป็นความยึดมั่น กับความเชื่อสักอย่างนึง

เราไม่เคยมีชีวิตจริงๆ…ไม่เคยเลย

เราถูกความหมายของคำสอนที่เราอ่านที่เราฟังเป็นตัวนำทางชีวิต

ชีวิตเราคับแคบ เพราะเราถูกครอบงำด้วยความหมายของบางสิ่งบางอย่างที่เราเชื่อ
.

มันมีเราคนนึง แยกออกจากสิ่งที่ถูกรู้ต่างๆนั้น ว่ามันเกิดและดับ ว่ามันเป็นไตรลักษณ์ เราคนนี้ไม่เคยหายไปเลย

ที่พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าเห็นตามความเป็นจริง คือทั้งหมดนี้ต้องเกิดและดับ เป็นไตรลักษณ์ ไม่ใช่เหลือเราหรืออีกสิ่งหนึ่งที่เป็นคนคอยรู้ว่ามันเกิดและดับ

นี่คือผลลัพธ์จากชีวิตที่เราทำตามความหมายของคำสอนซักอันนึง

เราใช้ความคิด แปลความหมายของคำสอนนั้น แล้ว “ทำ”

ทำไมเราทำแบบนั้น? เพราะเราเชื่อว่าความหมายของคำสอนนั้นถูก

ผมถามอีกว่า แล้วเราจะเชื่อได้ยังไง? เราอาจจะมีเหตุผลว่าเพราะๆๆๆๆ

ถามตัวเอง…มันคือความเชื่อที่ซ้อนไปเรื่อยๆใช่ไหม?

เราไม่เคยเหลือแค่ชีวิตจริงๆ ชีวิตล้วนๆจริงๆที่ไม่มีเรา ไม่มีไอเดียของความเป็นเรา ไม่อยู่ภายใต้ความหมายของวิธีปฏิบัติใดๆ เหลือแค่กายและจิตนี้ เหลือแค่นี้จริงๆ

แล้วชีวิตนั้นจะเป็นการรู้ ที่ไม่ใช่เราคอยรู้ หรือเราต้องทำอะไรให้มันรู้

แต่ชีวิตนั้นเป็นการรู้ และเป็นการเกิดแล้วก็ดับ แล้วก็เป็นความเปลี่ยนแปลง ทนอยู่สภาพเดิมไม่ได้ เป็นไปตามเหตุและปัจจัย ไม่มีใครซักคนอยู่ที่นั่น นี่คือการเห็นตามความเป็นจริง นี่คือการเห็นความเกิดดับ

ชีวิตเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว…แค่เราหายไป

ความเกิดและดับ อนิจจัง ทุกขังและอนัตตา เป็นการขยายความความเป็นเช่นนั้นเอง ขยายออกมาเพื่อให้เราเข้าใจว่าเป็นเช่นนั้นเองนี่เป็นยังไง

ชีวิตที่ไร้บัญญัตินั้นมันไม่มีความหมาย มันเป็นเช่นนั้นเอง มันเป็นอย่างนั้นเอง แม้กระทั่งคำว่าเป็นเช่นนั้นเองหรือเป็นอย่างนั้นเอง ก็คือความพยายามอธิบายชีวิตที่แท้จริงนั้นให้เป็นความหมายเฉยๆ

แค่รู้จักชีวิตที่ไร้บัญญัติ เราจะรู้จักทุกอย่าง

แต่ตอนนี้เราอยู่ที่ไหน? เราอยู่ที่ความหมายว่าชีวิตเป็นเช่นนั้นเอง เราอยู่ที่ความหมายของการขยายความคำว่าเป็นเช่นนั้นเองว่า มันเกิดแล้วก็ดับ มันเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลง ทนสภาพเดิมไม่ได้ เป็นไปตามเหตุและปัจจัย

เราอยู่ที่ความหมายของสิ่งที่ถูกขยายออกมาๆ เรื่อยๆ เราอยู่ที่นั่น เราไปทำสิ่งๆนั้น

เราพยายามเห็นสิ่งสิ่งนั้นที่เป็นคำขยายจากชีวิตที่ไร้บัญญัติเฉยๆ

เข้าใจที่ผมพูดไหม? เราอยู่คนละที่กันอย่างสิ้นเชิง เราอยู่กันคนละโลก

ผมเคยบอกว่าเราพยายามทำสิ่งที่ไม่ต้องทำ แล้วไม่ทำสิ่งที่ต้องทำ…เป็นแบบนี้

ถ้าเรายังไม่เข้าใจชีวิตที่แท้จริงนั้นเป็นชีวิตที่ไร้บัญญัติ เราจะอยู่ที่นั่น เราจะใช้ชีวิตที่อยู่ในความหมายบางอย่างที่เราเชื่อ แล้วเราจะพยายามจะไปถึงความหมายนั้นที่เราเชื่อ และนั่นคือโลก เราอยู่ในโลกเหมือนเดิม ต่อให้เรียกว่าปฏิบัติธรรมอยู่ ก็คืออยู่ในโลก…โลกของนักปฏิบัติธรรม เราแค่เปลี่ยนโลกเฉยๆ เรายังไม่อยู่เหนือโลก

เพราะฉะนั้น ชีวิตที่ไร้บัญญัติคือขณะนี้ นี่คือจริง

แล้วขณะนี้จบไป ขณะใหม่เกิดขึ้น ขณะใหม่จบไป ขณะใหม่เกิดขึ้น

ชีวิตที่ไร้บัญญัตินั้นเป็นความเกิดดับอยู่แล้ว เป็นความเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว ชีวิตทั้งชีวิตเป็นสิ่งเหล่านี้อยู่แล้ว

จริงมีแค่นี้ นอกเหนือจากนี้คือไม่จริง

.
เมื่อชีวิตนั้นเป็นจริงแล้ว คำอธิบายทั้งหมดเกี่ยวกับคำสอนในการปฏิบัติธรรม มันอยู่ที่นี่

มันไม่ใช่เราสักคนนึง…แสวงหาความจริง วิ่งไปตามความหมายเหล่านั้น ทั้งหมดนั้นไม่จริง

เราเคยได้ยินคำสอนว่า ธรรมะที่แท้จริงคือ การปิดปากเงียบ หุบปากเงียบ…คือแบบนี้

เพราะถ้ามันออกไปจากปากแล้ว ทั้งหมดมันไม่จริงแล้ว มันเป็นความหมายในความคิดของเรา และเราจะไปที่นั่น ไปตามความหมายนั้น และนี่คือสิ่งที่นักปฏิบัติธรรมทุกวันนี้ทำกัน…ทำแบบนี้

แม้ว่าเราจะสามารถไปตามความหมายเหล่านั้น เราก็จะเป็นเหมือนพระอนุรุทธะที่ผมเคยเล่าให้ฟังหลายครั้ง ที่ท่านสามารถเห็นโลกธาตุเกิดดับได้อย่างมากมายในชั่วลัดนิ้วมือเดียว แต่ท่านไม่สามารถจะบรรลุธรรมได้ เพราะมันไม่ใช่เรื่องแบบนั้น

นี่คือผลลัพธ์จากชีวิตการปฏิบัติธรรม ที่อยู่ภายใต้ความหมายของบัญญัติ ภาษา คำสอน ชีวิตที่ยึดมั่นอยู่กับความหมายเหล่านั้น และนั่นไม่ใช่ชีวิตที่แท้จริง

เรามีหน้าที่เดียว ที่จะต้องรู้จักชีวิตที่แท้จริงว่าคืออะไร

แล้วชีวิตที่เหลือทั้งหมด จะเป็นการปฏิบัติธรรม

Camouflage
12-02-2565

ฟังธรรม : https://youtu.be/vqZdwzNMmdE

ดาวน์โหลด mp3 : https://mcdn.podbean.com/mf/download/yh98jy/289.mp3