281.เปลือยเปล่า ล่อนจ้อน



เราไม่เคยที่จะเห็นกระบวนการทั้งหมดของชีวิตนี้ด้วยตัวเราเอง เรามีแต่ศรัทธา มีแต่ความเชื่อ มีแต่ความงมงาย

จริงไหม…เราศรัทธาครูบาอาจารย์ เราคิดว่าสงสัยท่านน่าจะบรรลุธรรมแล้ว เมื่อท่านพูดปุ๊บ เราก็ทำ เราทำด้วยความเชื่อ โดยก้นบึ้งลึกที่สุดของการทำตามความเชื่อเหล่านั้น เพราะเราหวังว่าเราจะได้ดี เราอาจจะบรรลุธรรม เราอาจจะได้เป็นพระโสดาบัน

ทั้งหมดคือทิศทางที่ครอบงำชีวิตของเราอยู่ตลอดเวลา แต่เราไม่รู้ เราทำได้ทุกอย่าง ยกเว้นรู้จักตัวเอง เราไม่เคยรู้จักความงมงายของตัวเอง

เรายังคงเชื่อเสมอว่า ถ้าเรากำลังปฏิบัติธรรมด้วยวิธีการบางอย่างที่กลายเป็นไอเดียบางอย่างได้ แล้ว “เรา” คนนี้จะได้ดี จนเราคิดว่า “เรา” จะหลุดพ้น เรายังคงไม่เข้าใจว่าทั้งหมดที่เรากำลังคิดหรือเชื่ออยู่นั้นเป็นแค่นิยาย

ทั้งหมดที่เราเชื่อไม่มีอยู่จริง เราพร้อมจะเข้าใจไหม? เพราะตั้งแต่แรกเริ่มเดิมที “มันไม่มีเราอยู่แล้ว” นิยายจะมีได้ยังไง

นิยายเป็นแค่ความคิดของเรา ที่แต่งเรื่องราวต่างๆขึ้นมา แต่งเรื่องราวให้มันคล้ายกับที่เราประสบความสำเร็จทางโลก และให้เราเปลี่ยนมาทำอาชีพใหม่จะได้ประสบความสำเร็จทางธรรม มันถูกเรียกว่า “ทำ” แค่นั้น

สิ่งที่เราทำมาตลอดในชีวิตเราคือ การแสวงหา เพิ่มความรู้ เพิ่มวิธีการปฏิบัติ เพิ่มอุบาย เพิ่มความเจ้าเล่ห์ต่อชีวิตนี้

แต่การปฏิบัติธรรมนั้น ไม่ใช่ทั้งหมดที่เราเคยทำมา ไม่ใช่ทั้งหมดที่เราเคยเชื่อ มันไม่ใช่การเพิ่มอะไรเข้าไป

ความรู้ที่เรามีนั้นมันมากจนมีแต่สร้างความสับสนให้กับชีวิตของเรา เราพยายามจะฟังธรรมะอันลึกซึ้งหรูหรามากมาย แล้วสุดท้ายมันสร้างความสับสนให้กับเรา มันไม่ได้ช่วยอะไรเราเลย เรามีแต่ความคิดว่า ทำไมเรายังไม่เข้าใจสิ่งที่อาจารย์พูดนะ เราต้องเข้าใจมันใช่มั้ย…เราถึงจะเจริญก้าวหน้า เราต้องทำยังไงดีนะ…เราถึงจะเข้าใจ

เราอยู่ในกับดักของความรู้ กับดักของความเป็นเราสักคนนึงที่จะต้องเข้าใจอะไรบางอย่าง…ที่เป็นความรู้นั้น ที่อยู่นอกตัวนั้น

เราอยู่ในวงจรนั้นมานานเท่าไหร่ เรารู้ตัวเองไหม

การปฏิบัติธรรมนั้นคือ ความเป็นแก้วเปล่า ความใหม่ สดเสมอ ความที่ไม่มีอะไรครอบงำทางความคิด ไม่ว่าสิ่งนั้นจะดีเลิศแค่ไหนก็ตาม ความที่ไม่หลงเหลือไอเดียว่าเราคนนึงจะต้องปฏิบัติธรรม หรือกำลังทำบางอย่างตามทฤษฎี หรือตามวิธี หรือตามคำแนะนำ ที่เรียกว่าการปฏิบัติธรรม

แต่เป็นความเปลือยเปล่า ล่อนจ้อนของชีวิตที่เป็นอยู่นี้

ให้มันไร้เดียงสาที่สุด แล้วเห็นความเป็นไปของมัน เห็นกระบวนการ ปฏิกิริยา Reactionต่างๆ เห็นมันไปอย่างไม่มีจุดหมาย เรียนรู้มันไปอย่างไม่มีจุดหมาย ไม่มีเป้าหมาย ไม่หลงเหลือไอเดียใดๆทั้งสิ้น

ทฤษฎีทั้งหมดที่เราเคยเรียนรู้มาจะบิดเบือนความจริง…ความเปลือยเปล่าของชีวิตนี้ อดีตและความจำจะเข้ามาคอยแทรกความจริงอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าทฤษฎีนั้นจะจริงก็ตาม แต่เมื่อมันกลายเป็นบทสรุปทางความคิดแล้ว มันเป็นแค่อดีตและมันไม่จริงอีกแล้ว มันทำหน้าที่ได้อย่างเดียวคือมารบกวนความจริงที่แท้จริงในขณะนี้

อย่าลืมที่ผมบอกว่าคำว่าแก้วเปล่าก็คือแก้วเปล่า มันมีอะไรไม่ได้ แม้ว่าสิ่งนั้นจะดีแค่ไหนก็ตาม เพราะฉะนั้น การฟังธรรม เพื่อจะไปปฏิบัติธรรม มันไม่ใช่การเพิ่มข้อมูลเข้าไปให้กับเรา แต่ผมต้องการทำลายทุกข้อมูลที่มีอยู่ในเรา ผมทำลายทุกความเชื่อที่มีอยู่ในเรา เพราะเรานั่นเองคือความเชื่อ

การเห็นความเป็นไปของชีวิตอย่างแท้จริง ที่เรียกว่าเห็นตามความเป็นจริง เป็นเรื่องที่ไม่ต้องอาศัยความเชื่อใดๆทั้งสิ้น ไม่เกี่ยวข้องกับความเชื่อใดๆทั้งสิ้น ไม่เกี่ยวข้องกับพิธีกรรม ความศรัทธา ความงมงาย ไม่เกี่ยวกับเรื่องของชาติที่แล้ว ไม่เกี่ยวกับเรื่องของชาติหน้า ไม่เกี่ยวกับนรกหรือสวรรค์ ไม่เกี่ยวกับว่าเราจะเป็นใคร

กระบวนการการเห็นชีวิตนี้ตามความเป็นจริง มีอยู่อย่างเป็นธรรมชาติ อย่างเป็นสากล ในมนุษย์ทุกๆคน เราไม่ต้องเป็นมนุษย์พิเศษ การเห็นชีวิตนี้ต้องเอาความพิเศษออกไป เอาความบ้าของเราไป เอาความยึดติดของเราที่มีต่อแนวคิด ต่อความเชื่อบางอย่างออกไป แล้วกลับสู่ความเป็นธรรมดาที่สุด กลับสู่ชีวิตล้วนๆนี้

แล้วภาวะของการเห็นตามความเป็นจริง เห็นกระบวนการของชีวิตที่ประกอบด้วยสติ สมาธิและปัญญา รวมไปถึงความหลุดพ้นในแต่ละขณะ มันอยู่ในชีวิตที่แท้จริงนี้อยู่แล้ว

เราไม่ต้องแสวงหา ไม่ใช่การหาเพิ่มเข้ามา เราแค่ต้องกลับมาสู่ชีวิตที่แท้จริง ตัวชีวิตล้วนๆ นี้ กลับให้ถึงแค่นั้น

และการกลับให้ถึง ไม่ใช่การเดินทาง ไม่ใช่ระยะทาง ไม่ใช่ระยะเวลา เป็นแค่การปลดเปลื้องของหนักทั้งหมดที่เราแบกเอาไว้ ทิ้งลงไป

Camouflage
24-10-2564

ฟังธรรม :
https://youtu.be/0v-EbXy9lQc

ดาวน์โหลด mp3 :
https://mcdn.podbean.com/mf/download/bgmubq/281.mp3

www.camouflagetalk.com