239.มันเป็นสวน…ไม่ใช่ป่า

จุดเริ่มต้นคือความเงียบ

ในท่ามกลางก็คือความเงียบ

ในที่สุดก็คือความเงียบ

 

ความเงียบที่ผมพูดถึง

ไม่ใช่แปลว่าเสียงรอบตัวเรา

หรือเสียงภายในใจนี้จะต้องเงียบ

 

ความเงียบที่ผมพูดถึง

คือความสงบจากความดิ้นรน

ความพ้นไปจากความยึดมั่นถือมั่น

ทั้งรูปธรรมและนามธรรมใดๆ ที่กำลังเกิดขึ้น

คือความไม่เกี่ยวพัน

คือการหมดสะพานเชื่อม

 

ความเงียบที่ว่านี้มีอยู่แล้ว

อย่าหาเส้นทางที่จะเดินเข้าไปหามัน

เราแค่ต้องพ้นจากทุกการแสวงหา

พ้นจากทุกความพยายาม

พ้นจากทุกไอเดีย

พ้นจากทุกคอนเซ็ปต์

พ้นจากทุกรูปแบบของความคิด

แล้วความเงียบจะปรากฏขึ้นมา

 

ความเงียบนี้เป็นความตื่นรู้อย่างยิ่ง

มันตื่นด้วยตัวมันเอง

 

ความเงียบคือสภาวะที่เรียกว่า จิตก่อนคิด

ก่อนหน้าที่ความคิดจะเกิดขึ้น

มีสภาวะที่เป็นอมตะอยู่

 

เมื่อผมพูดอย่างนี้อย่าแสวงหา

นั่นคือไอเดีย

ผมพูดอย่างนี้เราฟังแล้วดี…อมตะ

จะเกิดความพยายาม

จะเกิดการแสวงหา

ความรู้สึกว่าความคิดคืออุปสรรคจะเกิดขึ้น

ทั้งหมดคือไอเดีย

ทั้งหมดคือความมืดสีขาว

เพราะฉะนั้น ฟังทั้งหมดที่ผมพูด

แล้วลืมมันไปซะ

 

จิตวิญญาณของคำสอนมันเข้าไปสู่ใจแล้ว

ไม่ต้องจำ

แล้วพ้นออกไปจากทุกรูปแบบ

ของพันธนาการทางความคิด

 

ความเงียบนั้นคือ

ความดำรงอยู่อย่างสมบูรณ์

ความดำรงอยู่ที่ปราศจากการผลักไส

และปราศจากการเอาเข้า

ปราศจากไอเดียของความดำรงอยู่

นี่คือชีวิตที่แท้จริงของเราทุกคน

 

ความเงียบไม่ได้เป็นการบังคับให้เงียบ

ไม่ใช่เป็นการบังคับสิ่งรอบตัวให้เงียบ

แต่เป็นการปลดปล่อยทุกการกระทำ

ทุกความต้องการ ทุกไอเดีย

ทุกความรู้ ทุกคอนเซ็ปต์

ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรียกชื่อได้

แค่ปลดปล่อยออกไป

ความเงียบที่เป็นอมตะ จะเกิดขึ้น

 

ชีวิตที่แท้จริงคือนิพพาน

คือสภาพที่พ้นจากความปรุงแต่งทั้งปวง

แท้จริงเราใช้ชีวิตอยู่กับนิพพาน

 

ความเงียบนนั้นปราศจากตัวตน

เมื่อเราพ้นจากทุกไอเดีย

มิจฉาทิฏฐิก็เกิดไม่ได้

เมื่อเราพ้นจากทุกความหมาย

มิจฉาทิฏฐิก็เกิดไม่ได้

เมื่อไม่มีใครทำอะไรในการปฏิบัติธรรม

มิจฉาทิฏฐิก็เกิดไม่ได้

และนั่นคือเรากำลังใช้ชีวิตอยู่กับนิพพาน

 

นิพพานอยู่ต่อหน้าต่อเรา

อยู่กับชีวิตของเราอยู่แล้ว

แต่เราถูกสอนว่ามันอยู่ไกลเหลือเกิน

เราเชื่ออย่างนั้น…ชีวิตเรามีแต่ความเชื่อ

เราศรัทธาใครสักคนเราก็เชื่อสนิทใจ

 

ชีวิตที่พ้นไปจากทุกไอเดีย

จะพ้นไปจากทุกความเชื่อ

จะพ้นจากอดีต

จะพ้นจากอนาคต

แล้วเราจะพบตัวเราที่แท้จริง

 

ตัวเราที่แท้จริงไม่มีชื่อ

ไม่มีรูปร่างอะไร

นิยามไม่ได้ อธิบายไม่ได้

จริงมั้ย…มันชื่อธาตุรู้

จริงมั้ยที่มันมีชื่อนั้นชื่อนี้ได้

เราไม่สามารถให้ชื่อมันได้

 

ตัวเราที่แท้จริงไม่มีชื่อ

ไม่มีรูปร่าง ไม่มีรูปลักษณ์

มันเป็นยังไง

คำที่ผมว่าเหมาะสม คือมันเป็นอย่างนั้น

และทุกสิ่งก็เป็นอย่างนั้น

มันเป็นอย่างนั้นเอง

มันเป็นเช่นนั้นเอง

มันเป็นตถตา

 

คำว่าตถตา ไม่มีการลงความเห็นในสิ่งใดๆ เลย

ไม่มีความแบ่งแยกในสิ่งใดๆ เลย

มันไม่ใช่ความรู้

และมันก็ไม่ใช่ความไม่รู้

มันเป็นอย่างนั้น

มันแค่เป็นอย่างนั้น

จะเอาอะไรกับมัน

อยากได้ความรู้จากมันมั้ย

ต้องได้ความรู้จากมันมั้ย

นั่นคือกับดักทางปัญญา

นั่นคือไอเดีย

นั่นคือไอเดียของการปฏิบัติธรรม

และเมื่อไอเดียเกิดขึ้น เราจะเกิดขึ้น

เว้นแต่เมื่อสะพานเชื่อม

ระหว่างจิตกับใจได้ขาดลงไปแล้ว

ไอเดียก็สร้างเราไม่ได้

ไอเดียก็เป็นแค่ไอเดีย

แต่ไม่มีภาพของความเป็นตัวเราเกิดขึ้น

 

ความเป็นเช่นนั้นเองนั้นไม่ใช่ความคิด

ไม่ใช่เราคอยเห็นอะไรให้มันเป็นเช่นนั้นเอง

นั่นคือไอเดีย

เราเอาทุกคำสอนกลายเป็นไอเดียของชีวิต

กลายเป็นความรู้ของชีวิต

 

ความเป็นเช่นนั้นเองจะเกิดขึ้นเมื่อพ้นจากทุกไอเดีย

ความเป็นเช่นนั้นเองอยู่ในใจไม่ใช่อยู่ในความคิด

ใจที่พ้นจากความตัดสินแบ่งแยกให้ค่า

และให้ความหมายใดๆทั้งสิ้น

ความเป็นเช่นนั้นเองถึงเกิดขึ้น

 

ชีวิตเรามีแต่ความคิด

ปฏิบัติธรรมก็อยู่ภายใต้ความคิด

ภายใต้ทฤษฎี ภายใต้ความเชื่อ

เรามีหน้าที่รู้จักตัวเราที่แท้จริง

เราต้องรู้จักอันนี้ก่อน

เราคือใคร

เราต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่าเราคือใคร

 

เราคือคนชื่อนี้…กำลังหาทางพ้นทุกข์

กำลังปฏิบัติธรรม

กำลังเจริญสติ

กำลังเจริญปัญญา

เราชื่อนี้…กำลังทำแบบนั้น

 

เราเริ่มต้นด้วยอะไร…มิจฉาทิฏฐิ

เรายังไม่รู้จักเลยว่าเราคืออะไร

เราคือใคร

 

เราคิดว่าความไม่มีเรานั้นอยู่ท้ายสุดของการปฏิบัติธรรม

มันอยู่ที่จุดเริ่มต้น เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ

มันอยู่ข้อแรกในอริยมรรคมีองค์แปด

เรานึกว่าความไม่มีเราเป็นผลลัพธ์

เราไปเจริญสติ เจริญสมาธิ

สองข้อนี้อยู่ข้อ7 และข้อ8 อยู่ท้ายสุุด

คิดดูว่าเราเพี้ยนกันขนาดไหน

เพี้ยนมากี่ปีแล้ว

ทุกอย่างเป็นผลเมื่อเรารู้ว่าเราคือใคร

 

ที่นี่มีสวน มีคนปลูกต้นไม้ ปลูกหญ้า

ปลูกดอกไม้ สวยงาม ร่มรื่น

แต่สวน ดูยังไงมันก็คือสวน

แต่ความเป็นเองนั้นคือป่าไม้

 

สวนไม่มีวันจะเป็นป่าได้

สวนนั้นสวยงาม

เพราะเราลงมือทำด้วยตัวเราเอง

เราอยากให้มันเป็นอย่างไง มันจะเป็นอย่างนั้น

เราอยากมีสติ เราจะมีสติ

เราอยากมีสมาธิ เราจะมีสมาธิ

เราอยากมีปัญญา เราจะมีปัญญา

แต่มันก็เป็นแค่สวน

มันไม่ใช่ป่า

มันสวย น่าพอใจ

แต่มันไม่ใช่ป่า

มันไม่ใช่ความอุดมสมบูรณ์ที่แท้จริง

พวกเราทำสวนกันมานานแล้ว

 

แค่เป็นอยู่ให้สอดคล้องกับธรรมชาติ

ที่พ้นจากความหมาย

พ้นจากการตัดสิน

พ้นจากความแบ่งแยก

พ้นจากไอเดียเหล่านั้น

 

แค่ดำรงอยู่

แค่ดำรงอยู่ให้สมบูรณ์ที่สุด

นี่คือการใช้ชีวิตในระดับสูงสุดของมนุษย์

ถ้าเราไม่อยู่ที่จุดนี้

เราก็เปรียบเสมือนคนที่ตายแล้ว

คนที่พยายามทำสวน คือคนที่ตายแล้ว

 

อย่าลืมว่าทุกไอเดียของการปฏิบัติธรรม

จะกลายเป็นอุปสรรค

ฟังผมแล้วทิ้งให้หมด ลืมให้หมด

แล้วการปฏิบัติธรรมจะเกิดขึ้น

 

เมื่อก่อนผมเคยฟังท่านเขมานันทะพูดแบบนี้

ผมฟังแล้วก็ผ่านไป

ไม่คิดว่ามันสำคัญ

คิดว่าเป็นลีลาการบรรยายธรรมของท่าน

กว่าผมจะเข้าใจใช้เวลานาน

เข้าใจด้วยความคิดไม่ได้

 

ทำไมเราถึงฟังท่านไม่เข้าใจ

ทำไมเราถึงไม่รู้สึกว่ามันสำคัญ

เพราะท่านอาจจะเป็นแค่ฆราวาสคนนึง

เพราะท่านอาจจะไม่ใช่พระ

เพราะท่านอาจจะไม่มีอิทธิฤทธิ์อะไร

หรือแม้กระทั่งเพราะท่านอาจจะไม่ดังเท่าไหร่

ผมไม่รู้หรอกว่าเหตุผลไหน

 

สิ่งที่ผมรู้ในวันนี้คือเราพลาด

เราพลาดคำสอนที่เราเคยรู้มานานแล้ว

เคยได้ยินมานานแล้ว

ผมไม่เคยได้ยินใครพูดเหมือนท่านเลย

นี่อาจจะเป็นข้อสำคัญที่ทำให้เรารู้สึกว่าไม่สำคัญ

 

เพราะฉะนั้น ลืมมันไปซะ

เมื่อพ้นจากทุกไอเดีย

เราจะเจอตัวเราที่แท้จริง

เราจะรู้ว่าเราเป็นใคร

และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่การปฏิบัติธรรมจะเกิดขึ้น

 

Camouflage

23-01-2564