171.วิกฤต…วิสัยทัศน์

ตอนที่ 1 รู้ซื่อๆ

เรานั่งอยู่นี้ ให้เราสังเกตว่ามันมีความพยายามอะไรไหม มีความพยายามอะไรเกิดขึ้นแล้วก็รู้ทัน ถ้ารู้ไม่ทันมันจะพยายามทั้งชั่วโมง การที่เรารู้ทันความพยายามของจิตใจก็เป็นการรู้อาการของจิต รู้พฤติกรรมของมัน

อย่าตั้งความคาดหวังว่าจะต้องหายใจยังไง จะต้องดูนิ่งยังไง จะต้องรู้สึกสงบยังไง เราแค่รู้อย่างที่มันเป็น รู้ซื่อๆ เป็นกลางกับทุกสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ความตั้งมั่นและความเป็นกลางมันเหมือนเป็นของล้อกัน คือถ้าจิตใจเราเป็นกลางมันก็ตั้งมั่น ถ้าจิตใจเราตั้งมั่นมันก็เป็นกลาง ทั้งสองอย่างจะเกิดขึ้นได้ก็คือการที่เรารู้ทุกสิ่งอย่างที่มันเป็น รู้ซื่อๆ ภาษาหลวงพ่อเทียนนี่ใช้ง่ายๆ “รู้ซื่อๆ” พอเรารู้ซื่อๆ แล้วมันก็จะตั้งมั่นแล้วมันก็จะเป็นกลางด้วย แต่มันจะตั้งเท่าไหร่มั่นเท่าไหร่กลางเท่าไหร่ก็แล้วแต่เหตุปัจจัยว่าเรารู้ซื่อๆ ได้แค่ไหน ตรงนี้ก็ต้องค่อยๆ ฝึกไป ไม่ใช่ต้องเอา 100% ตั้งแต่แรก ตอนนี้รู้สึกได้แค่นี้ก็แค่นี้

สังเกตว่าพอเราไม่ได้พยายามจะทำอะไร จิตใจมันก็สงบ ราบเรียบ มันเป็นเอง เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้วการปฏิบัติธรรมคำว่า “รู้ซื่อๆ” เนี่ยแปลอีกอย่างหนึ่งก็คือ เรามีสติที่จะรู้เท่าทันอาการ อารมณ์ พฤติกรรมของจิตใจ รู้เท่าทันอยู่ในเนืองๆ มันเป็นยังไง มันไปไหน มันทำอะไร ก็รู้อยู่ จริงๆ เราสร้างเหตุแค่นี้เอง เราสร้างเหตุแค่นี้ วิปัสสนาญาณจะเกิดขึ้น เกิดเอง บังคับให้เกิดไม่ได้ หลวงปู่เทสก์ท่านเทศน์แบบนี้เลย “มีสติรู้เท่าทันจิตใจไปเรื่อยๆ” ตรงนี้ยังไม่ใช่วิปัสสนาญาณ แต่วิปัสสนาญาณจะเกิดขึ้นเองหลังจากเรามีสติรู้เท่าทันอาการต่างๆ ของจิตใจนี้ไปเรื่อยๆ

การปฏิบัติที่แท้จริงไม่ได้ซับซ้อนอะไร ไม่มีอะไรเยอะ เรียบง่าย แค่อาศัยความอดทนที่จะคอยรู้จิตใจตัวเองไปเรื่อยๆ แล้วก็ไม่ปล่อยให้กิเลสตัณหาครอบงำจิตใจ

 

ตอนที่ 2 วิกฤตเป็นเหมือนสนามรบ

ถ้าเรารู้สึกกลัว มีความกลัวว่าจะเพ่ง เรามีหน้าที่เห็นความกลัวนั้น รู้ทันว่ามีความกังวล ความกลัวอยู่ในจิตใจ ไม่ใช่พยายามทำให้ผ่อนคลาย เราจะหลงประเด็นไม่ได้นะ เรามีหน้าที่เห็นทุกสิ่งตามความเป็นจริง อะไรกำลังเกิดขึ้นในใจก็รู้ทัน ถ้าความกลัวเกิดขึ้นในใจก็รู้ทันแล้วมันจะดับไป

เหมือนตอนนี้เรามีวิกฤตโควิด ก่อนเราจะทำอะไร สังเกตจิตใจก่อน มีความกลัวไหม มีความกังวลไหม รู้ทันก่อน รู้ทันจนมันดับไปก่อน ไม่งั้นเราจะกลายเป็นคนที่ตื่นตระหนก การทำอะไร การตัดสินใจอะไรจะไม่พอดีแล้ว มันจะมากเกินไปแล้ว

พวกเราผ่านวิกฤตมาหลายครั้ง ในฐานะพวกเราเป็นนักปฏิบัติธรรมที่ซ้อมรบกันมานาน ทุกวิกฤตก็เป็นเหมือนสนามรบที่เราจะต้องใช้วิทยายุทธทั้งหมดที่เราฝึกมา ว่าเราเห็นกิเลสในใจตัวเองได้ไหม วิกฤตที่เคยผ่านไปแล้วเราประเมินตัวเองได้ไหมว่าเราเป็นนักปฏิบัติธรรมที่ดีแล้วหรือว่ายัง ถ้ายัง วิกฤตโควิดครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งที่เราจะได้ลงสนามรบอีกครั้งนึงในฐานะนักปฏิบัติธรรม ไม่มีอะไรมากก็แค่ตาย เราจะได้รู้จักความตายก่อนคนอื่นแค่นั้น ถ้าเราติดโควิด แต่ไม่ใช่เราตาย…เราไม่เคยตาย เราจะแค่รู้จักว่าความตายเป็นยังไงเฉยๆ เราแค่รู้จักก่อนคนอื่นแค่นั้น ไม่มีอะไรไม่ยุติธรรม ทุกคนรู้จักเร็วรู้จักช้าแค่นั้นเอง

พิจารณาไปให้สุด ใช่เราไหมที่จะตาย จริงๆ แล้วไม่มีใครตาย มีแต่ร่างกายที่จะต้องตายไป หมดสภาพไป เพราะฉะนั้น เราทุกคนพิจารณาไปให้สุด แล้วมีสติ กิเลสอะไรเกิดขึ้นก็รู้ทัน พวกเรารับรู้ข่าวสารข้อมูล ก็ใช้ปัญญาทางความคิดก่อนว่าเราจะต้องเตรียมอะไรบ้าง เหมือนอีกไม่มีวันที่กรุงเทพก็จะถูกล็อคดาวต้องอยู่บ้าน เราเตรียมอะไรไว้พร้อมหรือยัง แต่เขาคงให้เราออกไปซื้อของได้แหละ แต่ถ้าเราเอาสะดวกก็เตรียมไว้ก่อน เตรียมไปด้วยความมีสติ อย่าเตรียมไปด้วยความกลัวตาย แต่ก็ไม่ใช่ไม่เตรียมอะไรเลย นั่นก็ไม่ถูกอีก

ถ้าเรามีปัญญาที่จะนำพาชีวิตไป เราจะมีสิ่งที่เรียกว่า Intuition (ญาณหยั่งรู้ภายใน) เราจะรู้จักว่าเราต้องทำอะไรตอนไหน ซื้ออะไรที่จำเป็น มันจะพอดีตามบุญของเราที่มีนั่นแหละ มันอาจจะไม่ใช่ดีที่สุด แต่ระหว่างทางก่อนจะไปถึงวิกฤตจริงๆ เราจะไม่ตกอยู่ภายใต้ความกลัว เราจะไม่ตกภายใต้ความตื่นตระหนก อย่าทำอะไรในเวลาที่จิตใจนั้นเต็มไปด้วยความกลัว โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯในตอนนี้

หัวใจของนักปฏิบัติธรรมที่ต่างจากคนในโลกคือ เราเห็นกิเลสในใจตัวเองก่อน ไม่ใช่ทำตามกิเลสในใจนี้ นี่คือสิ่งที่เราฝึกมาทั้งชีวิต เราต้องใช้มันในเวลาแบบนี้

 

ตอนที่ 3 สัมมาทิฏฐิเป็นปราการด่านสำคัญ

บางทีความกลัว ความกังวลมันครอบงำจิตใจเราไปแล้ว ทำยังไง พิจารณาไปให้สุดอย่างผมบอกเมื่อกี้นี้  พิจารณาลงไปในสิ่งที่สำคัญที่สุดในศาสนาพุทธ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมพูดย้ำเสมอว่า “ชีวิตของเราจะต้องดำเนินไปด้วยสัมมาทิฏฐิเมื่อไหร่ที่มีความเป็นเราเกิดขึ้น เรามีหน้าที่ต้องรู้ทัน เมื่อความเป็นเราเกิดขึ้น ชีวิตเป็นของเรา เรามีหน้าที่รู้ทัน มันไม่ใช่ความจริง เรากำลังตกอยู่ในโลกแล้ว เรากำลังตกอยู่ในสังสารวัฏแล้ว

เพราะฉะนั้น การดำเนินชีวิตหลักของพวกเราทุกคนนักปฏิบัติธรรมคือ “เห็นตัวเองก่อน เห็นจิตใจนี้ก่อนว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น” อันดับรองลงมาถึงค่อยจัดการปัญหาต่างๆ ทางโลก เห็นเข้าไปจนถึงเนื้อแท้เนื้อในว่าสิ่งต่างๆ นั้นก็เป็นแค่อารมณ์ ความรู้สึก หรือแม้กระทั่งเป็นความเห็นผิดว่าตัวเรานี้มีจริงๆ เห็นให้มันทะลุทะลวงลงไปก่อน ผมพูดว่าทะลุทะลวงอันนี้ต้องฟังให้แม่นๆ คือไม่ใช่เห็นแวบๆ แล้วก็วิ่งไปทำต่อไม่ใช่แบบนั้น เห็นให้มัน “ทะลุทะลวง” จนหลุดออกมาจากอารมณ์ทั้งหลายก่อน

สัมมาทิฏฐิเป็นปราการด่านสำคัญที่เราใช้ในการพึ่งตัวเอง เราอ้อนวอนพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ นั้นยังเป็นการพึ่งคนอื่นอยู่ แต่การใช้สัมมาทิฏฐิด้วยตัวเราเองเป็นการพึ่งตัวเองอย่างแท้จริง

ถ้าเราเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มีสัมมาทิฏฐิ เห็นร่างกายก็สักแต่ว่าร่างกาย เห็นจิตใจก็สักแต่ว่าจิตใจ ถ้ามันจะเป็นอะไรไปเราก็ไม่ต้องทุกข์ สิ่งที่พวกเรานักปฏิบัติธรรมต้องกลัวคือ กลัวที่กิเลสนี้จะครอบงำจิตใจได้ ไม่ใช่กลัวตาย

 

ตอนที่ 4 คุก

มีอีกมุมหนึ่งที่ผมจะอธิบายให้ฟังว่า คนในโลกมักจะสร้างคุกคุกที่ขังอารมณ์เอาไว้ เราขังอารมณ์ความกลัว ความกังวล ความเศร้า ความเสียใจ ความผิดหวัง เราขังมันเอาไว้ เมื่อเราสร้างคุกขังอะไรไว้ ทุกอย่างจะอยู่กับเราเสมอ

เรากลัวไวรัส เราไม่เห็นความกลัว ความกลัวไวรัสนั้นจะอยู่กับเรา เราขังมันเอาไว้ด้วยตัวเราเอง เป็นคุกทางนามธรรม คุกทางใจ เรามีหน้าที่ปลดปล่อยตัวเองออกจากคุกพวกนี้ ด้วยกิริยารู้ รู้ซื่อๆ ให้อารมณ์ความรู้สึกมันเพียงแค่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป เราเป็นแค่ทางผ่านเฉยๆ ไม่ใช่คุกขังมันเอาไว้

หน้าที่พวกเราต่อไวรัส มีหน้าที่แค่สร้างภูมิคุ้มกันทางร่างกายให้เกิดขึ้น ประคับประคองภูมิคุ้มกันทางร่างกายให้ดี ใครจะกินอะไรก็กินที่มันจะสร้างภูมิคุ้มกันได้ ออกกำลังกายทุกวัน โดนแดดทุกวัน ถ้าเรารู้หลักประมาณนี้เราจะไม่กังวลมาก มีธรรมะในใจเราก็ไม่กังวลมากยิ่งขึ้นไปอีก อย่าให้เป็นเหมือนที่โซเชียลเขาพูดกันว่าโอกาสติดโควิด 1 เปอร์เซ็นต์ โอกาสประสาทแดก 100% เพราะฉะนั้น ดูแลภูมิคุ้มกันตัวเองให้ดี กินอาหารที่มีประโยชน์

ไวรัสทำให้วิถีชีวิตของพวกเรานักบวชนักปฏิบัติธรรมดูเป็นพรีเมี่ยมขึ้นมาทันที กักตัวอยู่บ้าน ไม่ยุ่งกับใครไม่ไปงานสังสรรค์ ไม่ไปกินข้าวกับเพื่อน เราทำมานานแล้ว คนในโลกต้องให้ไวรัสจัดการถึงยอมทำ

เหตุการณ์ครั้งนี้ วิกฤตของโลกในครั้งนี้ เราจะเห็นว่าเราแต่ละคนนี้บุญบารมีต่างกันเยอะ เราอยู่ที่นี่ไม่มีความกังวล ไม่มีความกลุ้มใจอะไรมาก ต่างจากคนที่อยู่ในโลกอยู่ในกรุงเทพฯ นี่คืออำนาจของบุญเรียกว่า “บุญฤทธิ์” คือ ฤทธิ์ของบุญ

 

ตอนที่ 5 เห็นความต่างของสัมมาทิฏฐิและมิจฉาทิฏฐิ

โลกนี้ก็ไม่ได้ให้ความสมหวังอะไรกับเราได้จริงๆ หรอก ไม่มีแบบนั้น ความมีอะไร ความเป็นอะไร สมมุติอะไรที่เราถือครองอยู่ ล้วนไม่เคยให้ความสมหวังอะไรกับเราได้ทั้งนั้น เราจะพบกับความผิดหวัง

เพราะฉะนั้น การอาศัยอยู่บนโลกนี้ การดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ อาศัยปัญญาอย่างยิ่งที่จะรู้จักความจริง ที่จะไม่ตกไปอยู่ในสมมติของความมีความเป็นอะไรทั้งนั้น

เพราะฉะนั้น อย่ามี อย่าเป็น…อย่าเป็นเจ้าของชีวิตนี้ รู้เท่าทันความมีและความเป็นเจ้าของชีวิตนี้ มันไม่มีเราอยู่จริงๆ ไม่มีใครอยู่ทั้งนั้น อย่างเดียวที่มีอยู่คือ ความเห็นผิดว่ามีเรามีเขาจริงๆ ความเห็นผิดตัวเดียว ผูกห่วงโซ่ร้อยรัดจนกลายเป็นสังสารวัฏที่ไม่มีวันจบสิ้นขึ้นมา

เมื่อไหร่ที่มุมมองของมิจฉาทิฏฐิเกิดขึ้น เรามีหน้าที่รู้ให้ทัน รู้ทันบ่อยๆ จนชีวิตในแต่ละวันของเราเนี่ยเป็นสัมมาทิฏฐิในเบื้องต้น จะคิด จะทำอะไร ความเป็นเราเกิดขึ้น มีโอกาสรู้ทัน ก็รู้ทัน…รู้ทันแล้วสอนตัวเองว่าเอาอีกแล้ว ชีวิตของกูอีกแล้ว เราอีกแล้ว เปรียบเทียบกับชีวิตที่มีแค่รู้สึก เดินก็รู้สึก นั่งก็รู้สึก จิตไปคิดก็รู้ทัน ไม่มีเรา นี่คือสัมมาทิฏฐิเบื้องต้น ไม่มีภาระ ไม่หนัก ไม่เหนื่อย เห็นความต่างไปเรื่อยๆ สอนตัวเองไปเรื่อยๆ แล้วการใช้ชีวิตอย่างชาญฉลาดจะเกิดขึ้น

เราไปสังเกตดูก็ได้ คนที่มองโลกมองปัญหาในเชิงของความเป็นเราจะมีทางแก้ปัญหาการดำเนินชีวิตในรูปแบบหนึ่งในมุมมองหนึ่ง คนที่มีสัมมาทิฏฐิเป็นพื้นฐานจะมองปัญหาแก้ปัญหาและดำเนินชีวิตไปในอีกทางหนึ่ง ซึ่งตรงกันข้าม

เพราะอะไร ก็เหตุไม่เหมือนกัน ผลก็เหมือนกันไม่ได้ เรายืนอยู่กันคนละที่ เพราะฉะนั้น เราจะใช้ชีวิตอย่างชาญฉลาด เราต้องมีสัมมาทิฏฐิก่อน เราต้องยืนอยู่ให้ถูกที่ก่อน เราจะเห็นเหมือนกันได้ เราต้องยืนอยู่ที่เดียวกัน

 

ตอนที่ 6 หน้าที่เร่งด่วน

ผมเคยบอกมาตลอดว่ากรุงเทพฯนี่เป็นเหมือนนรก วันนี้คนที่ไม่เข้าใจสิ่งที่ผมเคยพูดคงเข้าใจแล้ว นรกเกิดขึ้นแล้ว ถ้าเราไม่มีปัญญาพอจะเห็นโทษเห็นภัย เราออกมาจากมันไม่ได้ มันยังมีแรงดึงดูด การจะออกจากอะไรก็ตาม ถ้าเราไม่มีปัญญาเห็นโทษเห็นภัยอย่างแท้จริง ความเคยชินเก่าๆ ความไม่อยากเปลี่ยนแปลง มันดึงดูดเรามาก เราเปลี่ยนไม่ได้ ต้องเรียกว่าภัยถึงตัวจริงๆ ถึงจะดิ้นรน เพราะฉะนั้น การฝืนความเคยชินเก่าๆ ความเชื่อเก่าๆ มันเป็นเรื่องยากมาก แต่ถ้าทำได้ มันพลิกกลับกลายเป็นบารมี อย่างน้อยๆ เราคิดได้ก่อนนี้เขาเรียกว่ามีปัญญาบารมี เราเห็นก่อนเข้าใจได้ก่อน

เราทุกคนต้องรู้ความจำเป็นเร่งด่วนที่สุดของพวกเราของชีวิตเรา ไม่ใช่การไปเที่ยว ไม่ใช่การไปทำอะไรที่ไม่จำเป็น เรามีหน้าที่หาที่ที่จะ Settle ตัว Settle ชีวิตลงไป ให้มันเป็นหลักเป็นแหล่ง เพื่อจะมีวิถีชีวิตในการภาวนาอย่างแท้จริง อันนี้คือหน้าที่เร่งด่วน เราจะแค่ภาวนาเช้าชามเย็นชามกลางวันอีกชามไม่ได้ นึกว่านั่นภาวนาแล้ว แต่เรายังไม่เห็นความจำเป็นเร่งด่วนเพราะอะไร ที่ผมบอกเมื่อกี้นี้ เราไม่มีปัญญาพอจะเห็นโทษภัยของอะไรๆ ก็ตาม มันรายละเอียดเยอะในชีวิตเรา แจกแจงกันไม่หมดหรอก แต่ถ้าเรายังไม่เห็นโทษเห็นภัย เราเข้าใจไม่ได้ เรา Settle ชีวิตลงไปไม่ได้ อย่างอื่นสำคัญกว่าเสมอ จำเป็น…นู่นก็จำเป็น นี่ก็จำเป็น นั่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ มันก็เป็นอย่างนี้แหละ ชีวิตเราเป็นอย่างนี้มาทั้งชีวิต เพราะอะไร เพราะเราไม่รู้ว่าอะไรเป็นโทษภัย อะไรเป็นความจำเป็นเร่งด่วนที่สุดของการเกิดมาในครั้งนี้เรื่องอื่นมีความสำคัญพอๆ กับเรื่องนี้ตลอดเวลา

ต่อจากนี้จะมีวิกฤตอีก ไม่จบแค่นี้ง่ายๆ หรอก อย่าให้ไฟมันจวนตัวจี้ก้นแล้วค่อยเห็นโทษเห็นภัยของหลายสิ่งหลายอย่างที่เราเสียเวลาอยู่ ใช้ชีวิตต้องมีวิสัยทัศน์มากกว่านั้น กว้างไกลกว่านั้น

เปลี่ยนชีวิตตัวเอง เด็ดเดี่ยว เด็ดขาด มั่นคง และแน่วแน่ แล้วเส้นทางชีวิตที่เหลือจะเปลี่ยน จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ถ้าเราใช้ชีวิตตามความเคยชินเก่า ความเชื่อเก่า ความจำเป็นเก่าๆ ที่เคยคิดเหมือนเดิมทั้งชีวิต แล้วก็บอกว่าปฏิบัติธรรมด้วย มันเปลี่ยนชีวิตไม่ได้ มันเปลี่ยนเส้นทางของชีวิตไม่ได้

 

21-03-2563

Camouflage

 

YouTube : https://youtu.be/bWou-YlYpR8

คลิปเสียงธรรมะทั้งหมดของอาจารย์ Camouflage : https://goo.gl/RDZFMI

======================

5 ช่องทางการอ่านและฟังธรรม

1) Facebook : สุขกาย สุขใจ SookGuySookJai
http://www.facebook.com/sookguysookjai

2) Line : @camouflage.talk
https://lin.ee/hHJprqr

3) YouTube : สุขกาย สุขใจ SookGuySookJai
https://goo.gl/in9S5v

4) Website: https://camouflagetalk.com/

5) Podcast : Camouflage – Dhamma Talk
https://itun.es/th/t6Mzdb.c
https://camouflagetalk.podbean.com/