170.วิถีชีวิตใหม่ : 16 ปิดคอร์ส…ฝากเอาไว้

ตอนที่ 1 แค่รู้

สังเกตไหมว่าจิตใจของพวกเรามันละเอียดปราณีตขึ้น เราจะสัมผัสสิ่งที่เรียกว่าบรรยากาศก็ได้ พลังงานก็ได้ หรือสิ่งที่เรากำลังรู้สึกได้ในตอนนี้ มันไม่เหมือนทุกวันที่ผ่านมา รู้สึกได้ไหมว่า “มันสะอาด สว่าง สงบ แต่ตื่นรู้อยู่” เราทุกคนได้ร่วมกันทำให้สถานที่นี้ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา เราอยากให้บ้านของเราศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา เราต้องทำแบบนี้ ทำแบบที่เราทำกันอยู่ที่นี่ในคอร์สปฏิบัติธรรม

กลับไปจากที่นี่ ไม่มีผมนั่งพูดอะไรให้ฟัง ไม่มีคนคอยจะให้ถาม ไม่มีเพื่อนเป็นกำลังใจให้กันและกันที่จะมีความเพียร การปฏิบัติธรรมเราต้องเข้มแข็งด้วยตัวเอง อย่าขี้เกียจ อย่าเป็นปลาตายลอยตามน้ำ ใช้ชีวิตอย่างเป็นผู้ที่ตื่นขึ้นมาแล้ว

ในวันสุดท้ายนี้ผมต้องย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า การปฏิบัติธรรมนั้นง่าย ถ้าเรารู้สึกว่ามันยาก นั่นแปลว่าเรายังไม่รู้หลักปฏิบัติธรรม ถ้าเรารู้สึกว่าจะต้องทำอะไรมากกว่านี้ไหม นั่นแปลว่าเรายังไม่รู้จักหลักปฏิบัติธรรม ถ้าเรายังคอยสงสัยว่าตอนนี้มันผิดหรือถูก นั่นแปลว่าเรายังไม่เข้าใจการปฏิบัติธรรม

สิ่งที่ผิดในการปฏิบัติธรรมมีแค่อย่างเดียวคือเราทำเกินหน้าที่ หน้าที่เรามีเพียงกิริยาเดียวคือ แค่รู้” อย่าทำเกินหน้าที่ แล้วเราจะไม่ผิด เราอาจจะยังปฏิบัติได้ไม่ดี จิตอาจจะยังไม่ตั้งมั่น สติอาจจะยังไม่ไว อาจจะยังไม่เห็นอนิจจังทุกขังอนัตตา…ไม่เป็นไร แต่เราจะไม่ผิด ค่อยเป็นค่อยไป ทุกอย่างใช้เวลา วิถีแห่งธรรมชาติใช้เวลา วิถีแห่งตัวตนใช้สมอง ใช้ความคิด ใช้การจัดการ วิถีแห่งการไปสู่อิสรภาพคือ วิถีแห่งการรู้ เราอิสระตั้งแต่เราเริ่มที่จะรู้ “แค่รู้

 

ตอนที่ 2 หลักต้องแม่นมากกกก

คำถามสุดคลาสสิคอีกหนึ่งคำถามที่ผมเจอบ่อยคือ เรามักจะอยากรู้ว่าเราติดอะไรไหม ทำไมอยากรู้ว่าติดอะไรไหม “เพราะกลัวช้า กลัวผิด หน้าที่ของเราที่จริงคือ การเห็นความกลัวนั้น ไม่ใช่การหาคำตอบ

ถ้าจะให้ผมอธิบายว่า ทำไมจึงไม่จำเป็นต้องหาคำตอบในคำถามที่ทุกคนชอบถาม พวกเราลองคิดตามง่ายๆ นะ สิ่งที่เราติดอยู่ภายนอก กิเลสต่างๆ ที่เราติดอยู่ เรารู้ไหม ผมว่าเรารู้ทุกคน อะไรที่เราติดอยู่ ของใหญ่ๆ ชัดๆ หยาบๆ เรารู้อยู่แก่ใจ แล้วทำอะไรได้ไหม มันก็ทำไม่ได้อยู่ดี มันได้แค่รู้ รู้แล้วไม่ตามมันไป แม้ว่าเราคิดอยากจะแก้ไขอาการที่เราติดกิเลสหรือติดอะไรก็ตามที่เราชอบที่เราติดใจ เราแก้ไขได้ไหม ถ้าผมบอกให้แก้ไขก็ได้ เราแก้ไขได้ไหม ทำให้มันไม่ติดได้ไหม อาจจะได้เหมือนกันแต่ก็ชั่วคราว

เราไม่ได้มีหน้าที่ไปแก้สิ่งที่ติดให้มันหลุด เรามีหน้าที่รู้ทุกข์ตามความเป็นจริง สิ่งที่ติดอยู่จะหลุดเอง อะไรก็ตามที่ติดอยู่ทั้งที่เรารู้และไม่รู้ เช่น อาสวะกิเลสเป็นสิ่งที่เรารู้ไม่ได้ มันแนบเนียนนอนเนื่องอยู่ มันจะหลุดเอง เพราะจิตนี้มันจะหลุดพ้นด้วยตัวมันเอง ไม่ใช่เราไปแกะอะไรออกจากจิตนี้ ให้มันไม่ติด เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเรื่องหยาบเรื่องละเอียดมันก็เรื่องเดียวกัน

ไม่ว่าคำถามไหนที่ถามผม ผมจะบอกว่า “แค่รู้” และเรื่องไหนที่ยังไม่รู้ ก็ไม่ต้องอยากรู้ เรากังวลล่วงหน้าว่าเราติดอะไรไหม หมายความว่าข้างในใจเรานั้นเราคาดหวังว่าครูบาอาจารย์จะดูจิตเราได้ ท่านจะได้บอกเราว่าเราติดอะไร นี่คือลักษณะของการที่เราพึ่งตัวเองไม่ได้ ลักษณะที่เรายังไม่มีหลักที่มั่นคง อย่าเป็นคนแบบนั้น

ชีวิตการปฏิบัติธรรมของผม ผมไม่เคยไปถามใครเลยว่าผมติดอะไรไหม สิ่งที่เรารู้อยู่ตรงหน้าว่าเราติด เรายังจัดการมันไม่ได้เลย เราอยากจะรู้สิ่งที่เรารู้เองไม่ได้…นั่นเป็นเรื่องแปลก

ไม่ต้องห่วงเลยว่าเราจะติดอะไรที่เราไม่รู้ มันจะรู้แน่ เพราะว่าการติดนั้นจะสร้างความทุกข์ให้เราในที่สุด มันจะแสดงผลออกมาคือ “ความทุกข์” เมื่อความทุกข์เกิดขึ้น เราสาวกลับเข้าไป เราจะรู้ว่าต้นตอที่เกิดขึ้นหรือที่เรียกว่าติดนั้นคืออะไร เราจะรู้ได้ด้วยตัวเองเลย แล้วเราก็จะรู้ว่าจะจัดการยังไง แต่ในความเป็นจริงมันก็ไม่ได้จัดการ เรียกว่ามันจะรู้เท่าทันเหตุนั้นเอง เมื่อมันเกิดขึ้น

เราค่อยๆ ปฏิบัติไป ปฏิบัติไป จากที่เรารู้เรื่องแบบหยาบๆ แล้วก็จะรู้เรื่องละเอียดขึ้นเอง ต่อให้ใครมาบอกเรา เช่น ผมบอกว่าตอนนี้รู้ไหมว่าเราทุกคนติดอวิชชาอยู่ ติดความเห็นผิดอยู่ แล้วเราจะแก้ยังไง…เราอย่าบ้าๆ บอๆ ทำแบบนั้น มันยังไม่ถึงเวลาก็ไม่ถึงเวลา ปฏิบัติไปเรื่อยๆ

การที่เรากำลังคิดว่าเราติดอะไรไหม นอกจากสาเหตุหนึ่งที่ได้กล่าวไปแล้วคือ เรากลัวผิด ยังมีอีกแง่มุมหนึ่งคือ “เราหลุดจากปัจจุบันไปแล้ว” ผมบอกว่าเรามีหน้าที่เห็นร่างกายนี้มันเป็นยังไง เห็นจิตใจนี้มันเป็นยังไง แต่เราไม่รู้ เพราะเราคิดอยู่ เราติดแล้วนี่แหละ ติดอะไร…ติดความคิด เนี่ยมันติดง่ายๆ แต่ไม่เห็น

เห็นไหมว่าพวกเราตกหล่มตกทางกันง่ายๆ เพราะอะไร…เพราะเราไม่แม่นหลัก เพราะฉะนั้น พวกเราทุกคนที่ได้อยู่ในคอร์สนี้ต้องจำคำพูดผมให้แม่น “หลักต้องแม่นมากกกกกก” เน้นคำว่า “มาก” ด้วย แล้วเราจะพึ่งตัวเองได้

คำสอนในประเทศไทยนั้นมีเยอะ ครูบาอาจารย์ก็มีเยอะ เราชอบคิดเอาเองด้วยว่าครูบาอาจารย์ที่เรานับถือนั้นเป็นพระอริยะ คิดเอาเองหมดทุกอย่าง ใครมีอิทธิฤทธิ์เราก็คิดว่าเป็นพระอริยะแล้ว เพ้อเจ้อเอาเองอยู่คนเดียว อุปทานหมู่ก็เกิดขึ้นตามมา หัดเป็นคนฉลาด มีปัญญา ให้ดูที่คำสอนว่าถูกไหม ตรงตามที่พระพุทธเจ้าสอนไหม ใช่สติปัฏฐาน 4 ไหม ไม่อย่างนั้นเราจะโง่งมงายโดนหลอกไปเรื่อยๆ

 

ตอนที่ 3 โลกนี้มีแต่คนบ้า

อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าไม่ประนีประนอมต่อความเห็นผิดหรือมิจฉาทิฎฐิทั้งหลาย พวกเราทุกคนจะต้องเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า ทำแบบนั้นเหมือนกัน อย่าให้สีขาวหรือสีดำมาดึงเราไป เราคือความจริง ไม่ใช่สีขาวหรือสีดำ

เรามีหน้าที่ที่ต้องอดทนไปให้ถึงความจริง เมื่อไปถึงความจริงแล้วเราจะรู้ว่า “ไม่มีใคร” จำคำนี้ผมไว้ ที่เรากังวลเป็นห่วงกันอยู่ทุกวันนี้ เพราะเราคิดว่ามีใครจริงๆ มีเราจริงๆ มีเขาจริงๆ

ถ้าให้เราลองคิดว่าวันนี้เราตาย…แต่ถ้าให้คิดว่าเราตายเนี่ยจะคิดกันไม่ค่อยออก ถ้าอย่างนั้นลองคิดว่าคนอื่นตายก็ได้ เคยมีเพื่อนตายไปแล้วบ้างไหม หรือพ่อแม่ตายไปแล้ว หรือพี่น้องตายไปแล้ว แล้วชีวิตเราตอนนี้เป็นยังไง เราก็ต้องใช้ชีวิตต่อไปไม่เกี่ยวอะไรกับคนที่ตายไปแล้ว เช่นเดียวกันวันที่เราตายไปก็จะเหมือนกัน ในที่สุดทุกคนจะลืมเรา ถ้าไม่ลืมในชีวิตตอนนี้ ก็ลืมตอนตายเหมือนกัน แล้วสุดท้ายทุกคนก็ลืม อยู่ที่ใครจะมีความเห็นผิดในเชิงเป็นคนมากกว่ากัน ใครที่คิดเป็นตัวเป็นตนจริงๆ มากกว่ากัน ก็จะใช้เวลายาวสั้นต่างกัน แต่สุดท้ายทุกคนไปที่เดียวกันคือ “ลืม

อย่าไปคิดว่าตัวเราสำคัญมากมาย ที่สำคัญที่สุดจริงๆ คือไม่มีตัว” คนที่ตายไปแล้ว เขาจะมีชีวิตใหม่ ลืมเหมือนกัน ลืมชีวิตเดิม ลืมไปแล้วว่าเราเคยเป็นคนๆ นี้ เป็นคนใหม่แล้ว แต่จะเป็นคนหรือเปล่าก็ไม่รู้ ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน ถ้าจะไม่ต้องคิดถึงขั้นตาย ก็คิดถึงคนเป็นอัลไซเมอร์ก็ได้ มันก็ลืมหมดเหมือนกัน จะไปจริงจังอะไร

ความจริงจังกับชีวิตในแง่ของความเป็นเราเป็นเขาเป็นตัวเป็นตนคือความบ้า ท่านพุทธทาสถึงได้เขียนหนังสือเรื่อง “โลกนี้มีแต่คนบ้า” คนอ่านก็อาจจะไม่เข้าใจชื่อหนังสือ ก็อาจจะคิดว่า โอ้โห โลกนี้มีแต่คนบ้าได้ยังไง บ้าแบบนี้แหละ ไม่ใช่บ้าแบบต้องอยู่ศรีธัญญา คนที่ยังมีความเห็นผิดอยู่เรียกว่าคนบ้า

 

ตอนที่ 4 ฝากเอาไว้

เมื่อผมสนใจการปฏิบัติธรรม วิถีชีวิตผมเปลี่ยน ผมจะเล่าให้ไว้เป็นตัวอย่างว่า อะไรก็ตามที่รบกวนขัดขวางทำให้ชีวิตผมยุ่งยากซับซ้อนกับการที่จะได้ทำหน้าที่ปฏิบัติธรรม ผมตัดทิ้งหมด ผมจะทำสิ่งที่เป็นแก่นสารสาระของชีวิตเท่านั้น ผมเลือกวิถีชีวิต เพราะเวลาผมทุกข์ ไม่มีใครช่วยผมได้ ผมต้องช่วยตัวเอง ไม่มีใครช่วยเราได้ทั้งนั้น พระพุทธเจ้าบอกไว้ว่า “แม้แต่ท่านก็เป็นแค่ผู้บอกทาง ท่านช่วยใครไม่ได้เหมือนกัน”

ธรรมะที่ผมให้ไปนั้น การเราจะช่วยตัวเองได้ เราต้องน้อมนำไปปฏิบัติ เช่น จิตใจไหลไปคิด จะให้ผมรู้แทนได้ไหม…ไม่ได้ เราต้องรู้เอง ให้ผมรู้สึกตัวแทนได้ไหม…ไม่ได้ เราต้องรู้สึกด้วยตัวเอง ทำแทนกันไม่ได้ เพราะฉะนั้น ผมพูดมาโดยตลอดว่า เราทุกคนจึงต้องพึ่งตัวเอง คำสอนของผมนั้น ผมพูดแต่เรื่องจริง ที่ดูโหดร้ายดูแห้งผาก แต่มันเป็นแบบนั้น

ผมฝากเอาไว้ก่อนที่จะปิดคอร์ส “อย่าทำอะไรเกินจากรู้” จำไว้ว่าสติสมาธิปัญญาอาจจะยังไม่ดี เราอาจจะโดนใครบอกว่ายังใช้ไม่ได้ แต่ไม่ต้องกังวล มันจะเปลี่ยนแปลง มันจะค่อยๆ ดีขึ้น ให้เวลากับตัวเอง มันอาจจะยังไม่ดี แต่ผมยืนยันว่ามันจะไม่ผิด

ถ้าการปฏิบัติของเรายังดูเหมือนไม่พัฒนา ดูเหมือนยังไม่ดี สิ่งที่เราต้องเปลี่ยนไม่ใช่วิธีปฏิบัติ…สิ่งที่เราต้องเปลี่ยนคือ “วิถีชีวิต” จำไว้ให้แม่น

เวลา 2,600 ปีผ่านไป สติปัฏฐาน 4 ไม่เคยเปลี่ยนแปลงยังไง การปฏิบัติ “แค่รู้” ก็ไม่เปลี่ยนแปลงเช่นกัน

ถ้าเรากลับบ้านไปเริ่มนั่งสมาธิ มีความสับสนสงสัยว่า รู้ยังไง รู้อะไร ขอให้กลับไปที่ร่างกาย ร่างกายนี้ไม่เคยหลอกเรา รู้สึก…รู้สึกถึงความมีอยู่ของร่างกายนี้เอาไว้ เดี๋ยวมันจะค่อยๆ เป็นไปเอง ไม่ต้องสงสัย รู้สึกถึงความมีอยู่ของร่างกายนี้ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวทุกอย่างมันจะฟื้นฟูกลับมาเอง เราจะรู้ว่าเราจะรู้จิตใจยังไง เราจะรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเรียนที่นี่ มันจะกลับขึ้นมา

ความรู้สึกตัวเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของนักปฏิบัติธรรม

ทุกคนที่มาที่นี่ในคอร์สนี้ แม้ว่าจะไม่เข้าใจสิ่งที่ผมพูดเลยในการปฏิบัติ แต่ผมยืนยันว่าอย่างน้อยที่สุดแต่ละคนจะได้เมล็ดพันธุ์แห่งความจริงฝังเข้าไปอยู่ในใจ วันนึงมันจะเติบโตขึ้นมา วันนึงเราจะฉลาดขึ้น มันจะติดตามเราไป ไม่หายไปไหน

 

ตอนที่ 5 ขอขมา

คอร์สนี้ก็คุ้มเกินคุ้ม ผมก็อยากจะให้ครอบครัวทั้งสองคนรับทราบว่าทุกคนได้ประโยชน์มากจากการจัดคอร์ส เราไม่ได้เสียเงินฟรี ไม่ได้เสียแรงฟรี คนเข้าใจธรรมะมากขึ้น ตื่นขึ้น จากการที่แต่ละคนมาเล่าให้ผมฟังถึงผลการปฏิบัติ จนถึงขั้นมีคนคิดจะบวช อันนี้เป็นบุญใหญ่ บุญใหญ่ที่ทุกคนจะต้องร่วมอนุโมทนากัน

ผมลืมพูดเรื่องนึงนะ เรื่องที่เราชาวพุทธก็จะมีการขอขมาครูบาอาจารย์กัน แต่ผมเป็นคนไม่ค่อยมีพิธีรีตองเท่าไหร่ ผมอยากให้ทุกคนเข้าใจว่า ชาวพุทธเราเชื่อในเรื่องของกรรม เรื่องผลของกรรม สำหรับผมความเข้าใจในการขอขมาคือการเตือนสติตัวเอง ที่เราจะไม่ทำการล่วงเกินพ่อแม่ครูบาอาจารย์ พระรัตนตรัย คล้ายๆ เป็นการกระทำที่เป็นพิธีซักนิดนึงเราจะได้จำได้ ถ้าเราจะทำล่วงเกินอีกทีเนี่ยเราจะรู้สึกว่าเดี๋ยวต้องไปขอขมาอีก นึกออกไหม เหมือนคนทั่วไป ถ้าเขาทำไม่ดี เขาก็ต้องไปขอโทษ ถ้ารุ่งขึ้นทำไม่ดีอีกก็ต้องไปขอโทษเขาอีก…อย่างนี้ มันก็คงตลกนะ ก็เลยจะเป็นการเตือนตัวเองว่าอย่าทำนะ ไม่อย่างนั้นก็ต้องไปขอโทษเขาอีก เพราะฉะนั้น ผมเข้าใจว่า การขอขมาก็คือ การเตือนตัวเองว่าเราจะไม่ทำอีก

แต่ส่วนเรื่องของกรรม เราคิดว่าเราทำไปแล้ว แล้วเราจะมาขอขมาให้หาย…ไม่หายนะ กรรมก็ส่วนกรรม ทุกคนต้องรับผลของกรรมนั้น ไม่ว่าเราจะทำกรรมดีหรือกรรมชั่ว ไม่มีใครหนีได้ คนเดียวที่จะพ้นจากกรรมคือ “พระอรหันต์” เรียกว่า “อโหสิกรรม” อโหสิกรรมเพราะอะไร เพราะไม่เกิดอีกแล้ว ไม่มีธาตุขันธ์จะมารับกรรมอีกแล้ว เลยกลายเป็นอโหสิกรรมอัตโนมัติ ไม่ใช่อโหสิกรรมอย่างที่เราคิดว่าจะไปขอเจ้ากรรมนายเวร ไม่มีแบบนั้น

อโหสิกรรมตามธรรมชาติของศาสนาพุทธคือ “หมดกรรม” อีกอย่างหนึ่งของอโหสิกรรมคือ “หมดธาตุขันธ์จะรับกรรมอีกแล้วก็คือ พระอรหันต์

เพราะฉะนั้น เราอย่าคิดว่าการขอขมาจะเป็นการยกกรรมได้…ยกไม่ได้ ถ้าไม่เช่นนั้นศาสนาพุทธเราจะกลายเป็นศาสนาคริสต์ที่ล้างบาปได้ เข้าใจไหม มันเป็นเรื่องง่ายๆ แค่นี้

ผมคิดว่าชาวพุทธเราที่ไม่เข้าใจสิ่งที่ผมพูดแบบนี้ ทุกคนก็คิดแบบนั้น คิดว่าขอขมาแล้วเราจะพ้นกรรม ไม่พ้น จำไว้เลย ทำอะไรต้องรับ ไม่มีใครหนีได้ พระพุทธเจ้าบอกไว้ชัดเจนว่า “เราเป็นทายาทของกรรม เรามีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นผู้ติดตาม มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย” เพราะฉะนั้น อย่าให้พิธีกรรมอะไรมาหลอกเราได้ ผมไม่ให้ใครงมงาย

 

04-12-2562

Camouflage

 

YouTube : https://youtu.be/7QMShM_SSOU

คอร์สปฏิบัติธรรมวิถีชีวิตใหม่ 30 พย – 4 ธค 2562

คลิปเสียงธรรมะทั้งหมดของอาจารย์ Camouflage : https://goo.gl/RDZFMI

======================

5 ช่องทางการอ่านและฟังธรรม

1) Facebook : สุขกาย สุขใจ SookGuySookJai
http://www.facebook.com/sookguysookjai

2) Line : @camouflage.talk
https://lin.ee/hHJprqr

3) YouTube : สุขกาย สุขใจ SookGuySookJai
https://goo.gl/in9S5v

4) Website: https://camouflagetalk.com/

5) Podcast : Camouflage – Dhamma Talk
https://itun.es/th/t6Mzdb.c
https://camouflagetalk.podbean.com/