169.วิถีชีวิตใหม่ : 15 ไม่ต้องถาม…เรื่องที่ไม่ต้องถาม

ตอนที่ 1 ชีวิตข้างหน้าของเราควรจะเป็นยังไง

สำหรับพวกเราชาวกรุงเทพฯหรือคนที่ยังต้องทำงานอยู่ ผมอยากให้จดจำความรู้สึกที่เราอยู่ที่นี่ในคอร์สปฏิบัติธรรม จดจำทุกเช้าที่เราตื่นขึ้นมาพร้อมกับวิถีชีวิตใหม่ ความรู้สึกที่เราต้องลุกขึ้นมาจากเตียง เดินออกมาจากห้องนอน อยู่ในบรรยากาศของความมืด บรรยากาศของความสงบสงัดในทุกๆ เช้าที่เราตื่นขึ้นมา ชีวิตของเราส่วนใหญ่ไม่เคยมีบรรยากาศแบบนี้ เราตื่นขึ้นมาก็ตาลีตาลานรีบไปทำงาน ลืมเนื้อลืมตัวตั้งแต่ตื่นจนหลับ

การที่เราได้มาชิมลองใช้ชีวิตแบบนี้ เพื่อให้เรารู้จักชีวิตอีกรูปแบบหนึ่ง เรียกว่า “ชีวิตแห่งพรหมจรรย์” ชีวิตของพระของแม่ชีของนักปฏิบัติธรรมตัวจริง ชีวิตที่เหลือแค่การปฏิบัติธรรม ทุกเช้าเราตื่นขึ้นมาพร้อมกับหน้าที่ ที่เหลือเพียงหน้าที่เดียว คือ “มีสติ” เราไม่ต้องคิดไปหาเงิน เราไม่ต้องคอยไปวนเวียนอยู่ในโลกแห่งกิเลส ลำพังกิเลสของเราก็เยอะแล้ว เราต้องไปยุ่งกับคนอื่นอีก

เราต้องจดจำบรรยากาศความรู้สึกที่อยู่ที่นี่ ได้ปฏิบัติธรรม ได้ฟังธรรม ได้มีระเบียบ ได้มีวินัย แล้วพอเรากลับไปในโลกเราจะรู้ว่านรกมีจริง พอเรารู้ว่าอะไรเป็นนรก อะไรเป็นทุกข์ เราจะเริ่มหาทางพ้นทุกข์ เราจะเริ่มมีเป้าหมายใหม่ในชีวิต ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะเพียงพอ รู้จักอะไรดีกว่าอะไร เราจะเข้าใจได้ว่าชีวิตข้างหน้าของเราเองควรจะเป็นยังไง มันเป็นประสบการณ์ของเราเอง

ทุกคนทำทุกอย่างเพื่ออยากให้มีชีวิตที่ดีขึ้น ถ้าวันนี้เราเข้าใจแล้วว่าการปฏิบัติธรรมแบบนี้ มันไม่ใช่แค่ชีวิตที่ดีขึ้น มันมากกว่านั้นมากมาย เราก็จะไม่รีรอหรอก มันจะดิ้นรน หาทาง เหมือนหลายคนที่อยู่ที่นี่ที่มาบอกผม บางคนบอกว่าเคยวางแผนไว้ 10 ปีจะรีไทร์ มาเจอผมจะเหลือ 5 ปี แล้วเข้าคอร์สนี้เหลือ 3 ปี ลดลงไปเรื่อยๆ มันเกิดขึ้นได้ยังไง เกิดขึ้นได้เพราะเราได้มีประสบการณ์ตรงด้วยตัวเราเอง เราได้มาลิ้มชิมรสชีวิตที่แท้จริงในรูปแบบนี้ มาสัมผัสด้วยตัวเอง

คอร์สปฏิบัติธรรมไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิตการปฏิบัติธรรม มันเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่ให้เราได้ทดลอง ได้เรียนรู้ เพื่อให้เกิดประสบการณ์ตรงกับตัวเองขึ้นมา แล้วเราจะได้ตัดสินใจชีวิตเราได้ คอร์สปฏิบัติธรรมที่เราจัดนี้จะไม่ใช่แค่ไฟไหม้ฟาง มาแล้วก็กลับ แล้วก็ลืม แล้วก็ไปใช้ชีวิตแบบเก่า

 

ตอนที่ 2 หลอมกับไปอยู่จุดเดียวกัน

เคยสังเกตเห็นความรู้เนื้อรู้ตัวที่มันเกิดขึ้นเองไหม ความรู้เนื้อรู้ตัวหรือความรู้สึกตัว มันลีลาของมัน มันไม่ใช่เหมือนเดิมทุกครั้ง ถ้าเรามีสติอยู่กับกายกับใจนี้เนืองๆ เราจะได้เห็นแม้กระทั่งความรู้สึกตัว ความรู้เนื้อรู้ตัว มันก็มีรูปแบบที่ไม่ได้เหมือนกันทุกครั้ง มันเปลี่ยนแปลง มันแสดงอาการที่ไม่เหมือนกัน

ในขณะที่เรากำลังรับรู้ถึงความรู้สึก หรืออาการใดๆ ที่เกิดขึ้นในร่างกายนี้ รับรู้ความรู้สึก หรืออาการ พฤติกรรมใดๆ ที่เกิดขึ้นในใจนี้ เรากำลังได้ทำหน้าที่ที่บริสุทธิ์ หน้าที่สูงสุดในชีวิตของเรา

เมื่อทุกคนทำเหมือนกัน เราจะหลอมรวมกลับไปอยู่ในจุดเดียวกัน เราทุกคนเหมือนกัน เราจะได้รู้จักกัน เราจะได้เข้าใจกัน เพราะเรากลับไปที่เดียวกัน จะได้รู้จักตัวจริงของเรา ตัวจริงของเราและตัวจริงของเขาคือสิ่งเดียวกัน เป็นแค่ “ธาตุรู้

ความแตกต่างใดๆ ทางชนชาติ ภาษา เพศชายหญิง หน้าตา รูปร่าง เป็นเพียงแค่มายา เป็นแค่สิ่งที่จะต้องเปลี่ยนแปลงและแตกดับไป

ถ้ามีใครมาบอกเราว่าเขารู้จักเราดี ว่าเราเป็นคนยังไงเป็นแบบไหน เราต้องถามเขาว่า “รู้จักกิริยารู้ไหม” ถ้าเขาไม่รู้จักกิริยารู้ แปลว่าเขาไม่รู้จักเรา เขารู้จักเพียงแค่ร่างกายนี้เฉยๆ เค้ารู้จักแต่กิเลส ไม่ได้รู้จักเรา

เพราะฉะนั้น ถ้าเราตระหนักชัดถึงสิ่งที่ผมพูดมาว่า “เรามีหน้าที่แค่รู้ เราเป็นแค่ธาตุรู้” การปฏิบัติธรรมของเรานั้นเราจะไม่ทำผิด เราจะไม่ทำเกินจากรู้ ใครมาบอกให้เราทำอะไรที่มันเกินจากรู้ เราไม่ทำ เราจะฟังเฉยๆ

พอเราแค่รู้ วิถีชีวิตใหม่จะค่อยๆ เกิดขึ้น แค่รู้ว่ากิเลสอะไรเกิดขึ้นก็รู้ ไม่ทำตามมัน ศีลก็จะเกิดขึ้น แค่รู้นั้นเรียกว่ามีสติ จากไม่เคยมีสติจะมีสติเกิดขึ้น แล้วรู้อย่างเนืองๆ ว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นในกายในใจนี้ อะไรกำลังเปลี่ยนแปลง อะไรกำลังแตกสลายไป รู้อยู่เนืองๆ สมาธิที่ไม่เคยมีจะมีขึ้น เมื่อสมาธิดีแล้ว เหตุปัจจัยทุกอย่างพร้อม ปัญญาที่ไม่เคยมีก็จะมีขึ้น

เราจะรู้จักว่าทุกสิ่งเกิดขึ้นได้จากการที่เรา “แค่รู้” การใช้ชีวิตของเราจะถูกต้องขึ้น จะรู้จักอะไรเป็นอะไรมากขึ้น จะรู้ว่าอะไรควรไม่ควรมากขึ้น จะรู้ว่าอะไรจำเป็นไม่จำเป็นมากขึ้น

 

ตอนที่ 3 ไม่ต้องถาม…เรื่องที่ไม่ต้องถาม

บางคนปฏิบัติธรรมแล้วฟุ้งในธรรมะ ชอบคิด ชอบพูด ชอบรู้ทุกเรื่อง ชอบถาม…ถามเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติของตัวเอง ถามเรื่องที่ไม่ได้เป็นประโยชน์อะไรกับตัวเอง เวลามีคนมาถามผมแบบนั้น ผมจะให้คำบริกรรมกลับไปเวลามีความสงสัยเกิดขึ้น

ขั้นแรกให้รู้ว่าความสงสัยเกิดขึ้นแล้ว แต่คนแบบนี้ไม่หยุดหรอก ฉะนั้น ผมจะให้บริกรรมคำว่า “ไม่ต้องถาม…เรื่องที่ไม่ต้องถาม” ถ้ายังสงสัยอีกก็บริกรรมไปเรื่อยๆ บริกรรมไปจนกว่าจะเข้าใจว่าเรื่องที่จะถามนั้นมันไม่ต้องถาม มันไม่ได้ช่วยให้การปฏิบัติของเราดีขึ้น

ถ้าปล่อยให้ถาม และเราก็ใจดีตอบไปเรื่อยๆ เราก็สร้างนิสัยเก่าให้เขาหนาแน่นขึ้น นิสัยแห่งความฟุ้งซ่านก็อยู่ตลอดชีวิต แล้วพอฟุ้งซ่านแบบนั้นจิตมันก็อ่อน เวลานั่งสมาธิก็หลับ แล้วก็มาถามว่า “นั่งสมาธิแล้วหลับทำยังไงดี” เนี่ยมันต้องแก้ตั้งแต่ต้นต้นน้ำ ปลายน้ำถึงจะดีได้

เห็นไหมแก้ยังไง ให้รู้จักอะไรเป็นเหตุ เมื่อรู้จักอะไรเป็นเหตุ ก็ละเหตุนั้นซะ อย่าทำแบบนั้น ไม่ใช่จะทำแบบเดิมด้วย แล้วก็ต้องการให้มันได้ผลอันใหม่ มันเป็นไปไม่ได้ มันผิดธรรมชาติ

 

04-12-2562

Camouflage

 

YouTube : https://youtu.be/WJMkYylL9wA

คอร์สปฏิบัติธรรมวิถีชีวิตใหม่ 30 พย – 4 ธค 2562

คลิปเสียงธรรมะทั้งหมดของอาจารย์ Camouflage : https://goo.gl/RDZFMI

======================

5 ช่องทางการอ่านและฟังธรรม

1) Facebook : สุขกาย สุขใจ SookGuySookJai
http://www.facebook.com/sookguysookjai

2) Line : @camouflage.talk
https://lin.ee/hHJprqr

3) YouTube : สุขกาย สุขใจ SookGuySookJai
https://goo.gl/in9S5v

4) Website: https://camouflagetalk.com/

5) Podcast : Camouflage – Dhamma Talk
https://itun.es/th/t6Mzdb.c
https://camouflagetalk.podbean.com/