168.วิถีชีวิตใหม่ : 14 อิสระจาก…ความกลัว

ตอนที่ 1 รู้

ผมเคยบอกว่าการปฏิบัติธรรมนี้เราเริ่มที่นี่แล้วก็จบที่นี่ จุดสุดท้ายที่เราจะไปถึงคือ “ความมีอิสระภาพจากทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ติดกับอะไร” เพราะฉะนั้น เราเริ่มที่ตรงนี้ เริ่มที่จะเป็นอิสระตั้งแต่วันนี้

วิธีการเดียวที่จะเป็นอิสระจากทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่วันนี้ มีกิริยาเดียวคือ “รู้” ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นยังไงก็แค่ “รู้. เมื่อเรารู้เฉยๆ ไม่เข้าไปจัดการแทรกแซงแก้ไข นั่นแปลว่าเราเป็นอิสระจากมัน เราอิสระตั้งแต่วันนี้ อิสระตั้งแต่วินาทีนี้

ความพัวพัน ยึดติดอะไรของจิต มันไม่ใช่เรื่องของเรา อย่าลืมว่าเราไม่ใช่เป็นเจ้าของจิต จิตมันจะเป็นอะไรก็เรื่องของมัน มันจะติดอะไรก็เรื่องของมัน เราแค่เรียนรู้ว่ามันกำลังเป็นแบบนั้น มันติดอะไรแล้วมันทุกข์ เราก็เรียนรู้ว่าถ้าติดอะไรเข้าก็จะทุกข์แบบนี้ แล้วดูมันไป ดูมันจะเปลี่ยนแปลงไหม หรือจะเห็นความบีบคั้นของมันว่าอาการติดนั้นขึ้นๆ ลงๆ ไหม มันบีบแล้วมันคลายไหม มันทนอยู่สภาพเดิมไม่ได้ใช่ไหม แล้วสุดท้ายมันดับไปหมดไป ควบคุมบังคับบัญชาไม่ได้ เป็นไปตามเหตุปัจจัยใช่ไหม

ผมอธิบายอีกยาวมาก ซึ่งทั้งหมดนั้นเกิดจากการที่เรา “แค่รู้” ถ้าเราทำเกินจากรู้ ผลการปฏิบัติแบบที่ผมอธิบายยืดยาว และที่เคยฟังกันมามากมายแล้ว มันจะไม่เกิดขึ้น เราจะคงยังวนอยู่ในอ่างไปเรื่อยๆ ไปไหนไม่ได้ เพราะเราทำหน้าที่เกินจากรู้

มีอาการอะไรทางร่างกายเกิดขึ้นเราก็ “แค่รู้” มันไปคิดหาวิธีการจะตอบสนองอาการใดๆ ทางร่างกายก็ “รู้ทัน” ว่าจิตไปคิดแล้ว เริ่มไม่ค่อยตื่นก็ “รู้อาการ” ว่าอาการไม่ค่อยตื่นเป็นยังไง หรืออาการที่มันจะเคลิ้มมันเป็นยังไง ถ้ารู้ทันเราก็จะไม่ตกเป็นทาสมัน

เราฝึกที่จะรู้ทัน รู้จักสภาวะ รู้อาการบ่อยๆ ต่อไปจิตจะจำสภาวะได้ แล้วบางทีมันเคลิ้มไป มันจะมีสติอัตโนมัติเกิดขึ้นเองเลย มันจะกลับมาที่เนื้อที่ตัวเองเลย โดยที่เราไม่ต้องทำอะไร สติแบบนี้เรียกว่า “สัมมาสติ” คือ เกิดเอง ไม่ได้จงใจให้เกิด เป็น “มหากุศลจิต ญาณสัมปยุต อสังขาริกัง” การที่สิ่งที่ยิ่งใหญ่จะเกิดขึ้นได้ เราต้องไม่ไปแทรกแซงจัดการทำอะไรมัน มันเกิดเอง เราสร้างเหตุไปเรื่อยๆ

เมื่อเราเข้าใจหลักปฏิบัติธรรมแบบนี้ ต่อไปเราก็จะได้ดูละครของความจริง ละครที่แสดงอยู่ในกายในใจนี้ แสดงตั้งแต่อาการหยาบๆ จนไปถึงอาการละเอียดๆ ถ้าเราไม่เลิกดูมัน เราจะได้เห็นมันทะลุปรุโปร่ง เราจะไม่ต้องดูละครที่มันเป็นแค่มายา เราจะดูละครที่เป็นชีวิตที่แท้จริง

 

ตอนที่ 2 ทุกคนมีโอกาสอิสระ

เมื่อเรายอมรับว่าอะไรๆ ล้วนเปลี่ยนแปลง เราจะไม่ทุกข์ เมื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งมันต้องเปลี่ยนไป มันเป็นความจริงแบบนั้น ร่างกายนี้เปลี่ยนแปลง แก่ทุกวัน จะเริ่มเหี่ยวขึ้นทุกวัน จะมีตึงขึ้นก็แค่หู ถ้าเรายอมรับไม่ได้ก็ต้องทุกข์

เห็นอาการของจิตใจที่เปลี่ยนแปลงไหม ถ้าเห็นนั่นเราได้ปฏิบัติธรรมแล้ว กำลังเห็นอยู่ รู้อยู่ ไม่ได้ทำอะไร เป็นแค่ “ผู้สังเกตการณ์” การเป็นแค่ผู้สังเกตการณ์แบบนี้ไม่มีใครได้อะไร ไม่มีใครเป็นเจ้าของอะไร ไม่มีใครอยากจะให้มันเป็นยังไง เมื่ออยู่ในสภาพของผู้สังเกตการณ์ เราก็เริ่มเป็นอิสระ เราเริ่มหลุดพ้น

เราหลุดพ้นตั้งแต่ขณะนี้ หลุดพ้นทันทีที่เราตื่นขึ้นมา ช่วงที่เราเผลอหลงลืมกายและใจนี้ เราก็ติดเข้ากับกายและใจนี้ เรากลายเป็นเจ้าของกายและใจนี้ เราถูกกลืนกินเข้าไปคุก” อันแน่นหนาก็ปรากฏขึ้นทันที คุกอันแน่นหนานี้ถูกทำลายง่ายๆ ด้วยสติ ด้วยการรู้ ความมืดมิดที่มีมาอยู่อย่างยาวนานจะหายไป เมื่อแสงสว่างเกิดขึ้น เพียงแค่เราตื่นขึ้นมา ตื่นออกมาจากอารมณ์ ความรู้สึก ความคิด ความฝันทั้งหลาย แล้วเราจะอยู่เหนือทุกอารมณ์ เหนือความสุข เหนือความทุกข์ อิสระจากทุกสิ่งทุกอย่าง

เราทุกคนมีโอกาส…มีโอกาสที่จะอิสระมากขึ้นเรื่อยๆ เพียงแค่เราไม่เลิกที่จะรู้ ไม่ปล่อยตัวปล่อยใจหลงตามกิเลส เพลิดเพลินอยู่ในความคิด เป็นทาสอารมณ์

เพราะฉะนั้น อย่าลืม…อย่าลืมหน้าที่ของชีวิต ถ้าเราไม่ลืมหน้าที่ของชีวิต วิถีชีวิตใหม่จะค่อยๆ เกิดขึ้น วิถีชีวิตใหม่ไม่ได้เกิดขึ้นภายในวันเดียว อาศัยความเพียร อาศัยความอดทน อาศัยการทวนกระแส ทวนความเคยชินเก่าๆ เราจะทวนกระแสไปจนอยู่เหนือกระแสทั้งหมด กว่าจะถึงวันนั้น เราต้องอดทน เรียนรู้สิ่งที่เรียกว่าทุกข์ ซึ่งคือกายกับใจนี้

กายกับใจนี้มีความเป็นทุกข์ในตัวมันเอง ถ้าเราปฏิบัติธรรมรู้ตามความเป็นจริง เราจะเห็นมันเป็นทุกข์ ใช้เวลาไม่นาน ฝึกตามที่ผมแนะนำ เราจะเห็นทุกข์มากขึ้นเรื่อยๆ เราจะเห็นทุกข์จนกลัวทุกข์เลย พอเรากลัวทุกข์ เราจะไม่ประมาท เราจะไม่ละเลย เพราะเราไม่อยากทุกข์ เพราะทุกข์ที่มีอยู่นี้มันเป็นทุกข์แสนสาหัส เป็นทุกข์ที่ถ้าเรายังไม่หลุดพ้นเนี่ยเราหนีมันไม่ได้ มันอยู่ติดกับเราตลอดเวลา

แล้ววันที่เราหนีมันไม่ได้ เราจะถูกมันบดขยี้อย่างแสนสาหัส ถ้าเราไม่หลุดออกจากมันซะก่อน หรือเรียกว่าถ้าเราไม่ตายเสียก่อนตายจริงๆ เราจะได้พบกับความน่ากลัว ได้พบกับความทุกข์ที่เราไม่เคยเจอมาก่อนในชีวิต

 

ตอนที่ 3 ความกลัว

เราต้องปฏิบัติให้ถูก แล้วก็ปฏิบัติให้พอ อย่าลืมว่า “หลักต้องแม่นมาก” ต้องมีคำว่ามากด้วย ถ้าหลักเราไม่แม่น เราจะพึ่งตัวเองไม่ได้ แป๊บๆ สงสัยแล้ว ทำถูกทำผิดวะ แป๊บๆ เอาไงดีวะ แป๊บๆ ต้องไปหาครูบาอาจารย์แล้ว มึนงงทุกสถานการณ์ ไม่มีความมั่นใจอะไรเลย เพราะเพียงอย่างเดียวคือเราไม่มีหลัก

มีตัวอย่างที่คลาสสิคอันนึงสำหรับนักปฏิบัติธรรมทุกคนต้องเคยเป็น เราเคยปฏิบัติไปแล้วสงสัยใช่ไหมว่าตอนนี้ถูกหรือผิด ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วจะทำยังไงดี ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วจะผิดไหม เราเคยเรียนรู้มาว่าให้เห็นความสงสัยใช่ไหม ซึ่งบางคนไม่เคยเห็นเลย บางคนต้องการคำตอบสถานเดียวเท่านั้น สำหรับคนที่ต้องการคำตอบ ให้รู้ไว้ว่าคำตอบเหล่านั้นไม่ใช่การปฏิบัติธรรม มันเป็นแค่การสนองความอยากที่จะรู้คำตอบเฉยๆ เราทำตามกิเลส

ส่วนอีกคนหนึ่งบอกว่าเห็นสงสัยแล้ว แต่สังเกตไหมแล้วมันก็ยังสงสัยอีก มันไม่หายสงสัย เป็นทุกคนแหละ เพราะเรายังไม่เห็นสภาพสภาวธรรม ปัจจุบันธรรมที่ตรงตามความเป็นจริงจริงๆ สภาพปัจจุบันธรรมตอนนั้นที่แท้จริงคือ “ความกลัว”…“กลัวผิด

น้อยคนนักที่จะเห็นความกลัว แต่ถ้าเมื่อไรเราเห็นความกลัว ทุกอย่างจะขาดสะบั้นลงไป มันจะหมดความอยากได้คำตอบเลย เพราะเรารู้ทันแล้วว่าเราเป็นทาสความกลัวนี่เอง จริงๆ เราไม่ได้อยากได้คำตอบ ความกลัวมันบีบคั้นให้เราอยากได้คำตอบ พอเรารู้ว่าอะไรเป็นต้นเหตุ มันก็จบ รู้สภาพธรรมตรงตามความเป็นจริง มันก็ดับไป มันก็หมดคำถาม เพราะอะไร เพราะจริงๆ เราเป็นแค่ธาตุรู้ ธาตุรู้ไม่ต้องการคำตอบ คำตอบแต่ละอย่างมันคลายความสงสัยเราเฉยๆ คลายความสงสัยเรา” วันๆ เราไม่ปฏิบัติธรรม มัวแต่สงสัย มัวแต่หาคำตอบ จะทำยังไงให้ถูก เป็นอย่างนี้ถูกหรือยัง

เพราะฉะนั้น จำไว้หลักต้องแม่นมาก : “แค่รู้ ปัจจุบันเกิดอะไรขึ้นก็รู้ ตัวจริงของเราคือเราเป็นธาตุรู้” ไม่ใช่เป็นเจ้าหนูจำไม ถ้าใครมาถามอะไรผม ส่วนใหญ่ก็จะเจอคำตอบที่เหมือนเดิม เข้ากับเพลงพอดี “เจอะคำตอบอย่างนี้จึงหมดคำถาม” ไม่ต้องถามอีกแล้ว มีหน้าที่แค่รู้

เราลองดูทำแบบที่ผมสอนใจแข็งๆ หน่อย แล้วชีวิตการปฏิบัติธรรมจะลื่นไหล จะไม่ค่อยติดขัด เราจะค่อยๆ พบว่าความเจริญก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมไม่ได้อยู่ที่เราได้คำตอบทุกสิ่งทุกอย่าง แต่อยู่ที่เราได้รู้เท่าทันสภาพสภาวะใดๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในกายหรือในใจนี้ ทุกครั้งที่เราสามารถรู้เท่าทันสภาพสภาวะใดๆ ตามความเป็นจริงได้ เราจะเกิดความรู้เฉพาะตนเลยว่านี่แหละการปฏิบัติธรรม โดยไม่ต้องถามใครเลย

 

ตอนที่ 4 พึ่งตัวเอง

ผมสอนให้ทุกคนพึ่งตัวเองให้มากที่สุดเพราะผมทำแบบนั้นมา ผมสอนให้ทุกคนมีหลักให้แม่นเพราะผมทำแบบนั้นมา สิ่งที่ผมสอนทุกอย่างเป็นสิ่งที่ผมทำมาแล้ว ผมสอนจากตัวผม สิ่งที่ผมเล่าให้ฟังทุกอย่างคือประสบการณ์ที่ผมผ่านมาแล้ว ผมจะฝึกให้ทุกคนเข้มแข็งเพื่อจะพึ่งตัวเองได้ ไม่ใช่เป็นไม้หลักปักขี้เลน

เมื่อเราเริ่มพึ่งตัวเองได้ เราจะเติบโต ชีวิตที่พึ่งพิงคนอื่นเป็นชีวิตที่ทุกข์มาก เช่น เราจะมีความสุขถ้าคนๆ นี้รักเรา ถ้าเขาแค่ไม่รักเรา เราก็ทุกข์แล้ว ชีวิตที่ยังเกาะเกี่ยวพึ่งพิงกับคนอื่นเป็นชีวิตที่อ่อนแอ เราเคยเห็นทุกข์แบบนั้นกันไหม ชีวิตเราทุกคนพึ่งพิงกับบางสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ตลอดเวลา ถ้าเราเคยเห็น เราจะรู้ว่าชีวิตที่มีความรู้สึกต้องพึ่งพิงอะไรๆ อยู่นี้มันทุกข์ ทำไมทุกข์ เพราะสิ่งที่เราคอยพึ่งพิงอยู่นั้นมันตกอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์เหมือนกัน คือมันเปลี่ยนแปลง มันทนอยู่สภาพเดิมไม่ได้ มันเป็นไปตามเหตุปัจจัย ควบคุมบังคับบัญชาไม่ได้

เพราะฉะนั้น ถ้าเราพึ่งพิงอะไรก็ตามที่มันตกอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์ เราต้องทุกข์แน่นอน เพราะสิ่งนั้นมันเป็นทุกข์ด้วยตัวมันเอง

คำสอนสุดท้ายในคืนนี้ของผมคือ เมื่อใจเข้าไปเกาะเกี่ยว ยึดติด พึ่งพิงกับอะไรๆ “ให้รู้ทัน” ถ้าเรารู้ไม่ทัน อาการแบบนั้นมันจะตามกลับมาให้ทุกข์เราอย่างสาสม

 

03-12-2562

Camouflage

 

YouTube : https://youtu.be/Gf0sBlsQcn4

คอร์สปฏิบัติธรรมวิถีชีวิตใหม่ 30 พย – 4 ธค 2562

คลิปเสียงธรรมะทั้งหมดของอาจารย์ Camouflage : https://goo.gl/RDZFMI

======================

5 ช่องทางการอ่านและฟังธรรม

1) Facebook : สุขกาย สุขใจ SookGuySookJai
http://www.facebook.com/sookguysookjai

2) Line : @camouflage.talk
https://lin.ee/hHJprqr

3) YouTube : สุขกาย สุขใจ SookGuySookJai
https://goo.gl/in9S5v

4) Website: https://camouflagetalk.com/

5) Podcast : Camouflage – Dhamma Talk
https://itun.es/th/t6Mzdb.c
https://camouflagetalk.podbean.com/