162.วิถีชีวิตใหม่ : 8 ไฟดับรึยัง

ตอนที่ 1 อะไรอยู่เบื้องหลัง

ถามตัวเองว่าเราปฏิบัติธรรมไปเพื่ออะไร ถ้าเราจะปฏิบัติธรรมไปเพียงเพื่อใช้ชีวิตในโลกให้ดีขึ้น เราไม่ต้องใช้ธรรมะในระดับสูงเหมือนที่ผมสอนแบบนี้ สิ่งที่ผมสอนเป็นไปเพื่อความพ้นจากความยึดมั่นถือมั่นทั้งปวง พ้นจากความเป็นเรา เป็นของเรา ล้างความเห็นผิดว่ามีเรามีเขา เราจะเข้าใจว่าชีวิตที่เราพยายามจะใช้ให้มันดีกว่านี้…มันเป็นไปไม่ได้

เราปฏิบัติธรรมทั้งหมดเพื่อจะกลับบ้าน…กลับไปสู่บ้านที่แท้จริงของเรา ไม่ใช่เพื่อใช้ชีวิตบนโลกนี้ให้ดีขึ้น เราจะกลับบ้านที่แท้จริงได้ เราต้องล้างความเห็นผิดว่ามีตัวเราจริงๆ เหมือนวัชพืชที่ขึ้นอยู่ตามพื้นดิน ทุกวันนี้เราคอยแต่เอากรรไกรไปตัดมัน ตัดแล้วมันก็งอกๆ เป็นงานที่ไม่มีวันจบสิ้น

เราต้องทำสิ่งที่มันจบสิ้น เราต้องหาจอบหาเสียมสักอันหนึ่งเพื่อขุดรากถอนโคนมันออกไป เราต้องทำงานที่มีวันจบ เราต้องฉลาดรู้จักทำอะไรที่มีวันจบวันสิ้น ไม่ใช่ทำอะไรก็วนไปเรื่อย เหมือนศัพท์วัยรุ่นที่ว่าวนไปวนไป…วนไปเรื่อย จะวนถึงเมื่อไหร่…ถามตัวเอง

ลองดูคนรอบข้างในชีวิตเรา คนในครอบครัวเรา คนที่เขาบอกว่ารักเรา เขาชี้ทางให้เราไปสู่การถูกกักขังอยู่ในโลก หรือว่าชี้ทางให้เราเป็นอิสระจากความยึดมั่นถือมั่น ความยึดติดผูกพันทั้งหลาย มีคนสักกี่คนในโลกนี้ที่ชี้ทางแบบพระพุทธเจ้าบอก ที่บอกว่ารักเรา เป็นห่วงเรา เลยกักขังหน่วงเหนี่ยวเราเอาไว้ คนที่เป็นแบบนั้น ลองถามตัวเองไม่ต้องให้คนอื่นบอก…ถามตัวเองว่า “รักเขาหรือว่ารักตัวเอง ห่วงเขาหรือว่าห่วงตัวเอง เป็นความรักที่บริสุทธิ์หรือความเห็นแก่ตัว” พิจารณาลงไปให้มาก

ถ้าเราพิจารณาถูก เราจะพบว่าเรามีแต่ “ความเห็นแก่ตัว” ไม่ใช่ความรัก หัดพิจารณาลงไปให้มันลึกซึ้ง เบื้องหลังของการกระทำทุกอย่างคืออะไร

คำสอนของพระพุทธเจ้าก็ไม่มีเบื้องหลังของความเห็นแก่ตัวอะไรเลย ไม่มีเบื้องหลังว่าสอนไปแบบนี้เราจะเสียอะไร เราจะได้อะไร มีจุดมุ่งหมายอย่างเดียวตั้งแต่พระพุทธเจ้าลงมาจนถึงครูบาอาจารย์สาวกที่ปฏิบัติตามท่านเห็นจริงตามท่านแล้ว ล้วนสอนให้เราทุกคนไปสู่อิสรภาพ ไม่ให้ยึดติดแม้กระทั่งตัวครูบาอาจารย์

หัวใจของครูบาอาจารย์ถึงแม้จะมีลูกศิษย์เยอะแยะแต่ก็ไม่ได้ต้องการอะไร ไม่ได้รู้สึกด้วยว่าจะต้องตอบแทนอะไร ถ้าป่วยแล้วไม่มีใครดูแลก็แค่นอนตายแค่นั้น เราเชื่อในกรรม เชื่อในผลของกรรม ไม่ใช่มานั่งคิดว่าไอ้นี่เนรคุณ ไอ้นี่อกตัญญู ไม่คิดแบบนั้น เพราะคิดแบบนั้นแล้วมันทุกข์ เลยไม่มีจิตใจจะไปคิดอะไรแบบนั้น

เราต้องใช้ชีวิตอย่างชาญฉลาด ใช้ชีวิตด้วยการเห็นตามความเป็นจริง อย่าหลอกตัวเอง อย่าคิดว่าอะไรก็ดูดีสวยงามไปหมด ถ้าเบื้องหลังมันมีกิเลส มันก็ไม่สวยงามหรอก ทุกคนก็แค่เอาสีขาวๆ มาเจอกันแค่นั้นเอง สีดำเก็บไว้ข้างใน

ต้องเข้าใจว่าโลกนี้เป็นแบบนี้ โลกนี้ถึงเต็มไปด้วยทุกข์ โลกนี้ถึงมีแต่ทุกข์ ถ้าเราเลิกหลอกตัวเอง เราจะค่อยๆ เป็นคนที่ฉลาดขึ้น แต่ถ้าเรายังคอยหลอกตัวเองอย่างพวกโลกสวยอ่ะ เราก็จะโง่อยู่แบบนั้นแหละ ไม่มีใครทำให้เราโง่ เราทำตัวเราเอง

 

ตอนที่ 2 ไฟบนหัวเราดับหรือยัง

ถ้าเราต้องการที่จะขุดรากถอนโคนปัญหาทุกอย่างในชีวิตของเรา เราต้องเข้าใจหลักการปฏิบัติธรรม และมีเวลาเพียงพอ เพียงพอคือเท่าไหร่ สำหรับผมคือ ที่เหลือทั้งชีวิตของเรา ที่เราจะให้เวลาเต็มที่กับการปฏิบัติธรรม

วิธีปฏิบัตินั้นไม่ยาก พวกเราเรียนกันมาหลายวันแล้วคือ “แค่รู้” ที่ยากที่สุดคืออะไร “วิถีชีวิตใหม่” วิถีชีวิตที่เอื้อต่อการปฏิบัติธรรมแบบ Full Time แต่ถ้าเราต้องการจะขุดรากถอนโคนปัญหาจริงๆ เราต้องเลือกชีวิตให้เหมาะสมให้ได้

ความจริงที่เราสัมผัสไม่ได้เลยอันนึงคือ เราไม่รู้ว่าความจำเป็นเร่งด่วนที่สุดในชีวิตเราคืออะไร พระพุทธเจ้าเปรียบเทียบเหมือนมีกองไฟติดอยู่บนหัวเรา แต่ตอนนี้มันไม่ได้อยู่บนหัวเราจริงๆ เราเลยไม่รู้ว่าการปฏิบัติธรรมเพื่อไปสู่ความหลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวงนั้นมันสำคัญที่สุดในชีวิตเรา สำคัญกว่าสิ่งอื่นๆ ใดๆ ในชีวิตเราที่เราเป็นห่วงอยู่

พระพุทธเจ้าเปรียบเทียบว่าเหมือนมีไฟอยู่บนหัวเรา บนศีรษะเรา ถามตัวเอง…ถ้ามีกองไฟอยู่บนศีรษะเรา เราจะทำอะไรก่อนเป็นอย่างแรก มีใครแปรงฟันก่อนมั้ย กินข้าวก่อน ไปเยี่ยมคนป่วยก่อน ไปหาเพื่อนก่อน ไปดูหนังแป๊บนึง Shopping Tops สักหน่อย แวะ Lotus อีกนิด ดูหนังอีกเรื่อง นอนอีกแป๊บ ไปทำงานก่อน มีใครเลือกทำแบบที่ผมบอกสักอย่างนึงไหม หรือทุกคนจะดับไฟบนหัวก่อน นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าเปรียบเทียบให้เราเห็น เพราะเราเข้าใจด้วยตัวเองไม่ได้ว่ามันสำคัญขนาดไหน มันจำเป็นขนาดไหน

ถ้าเรามีศรัทธาต่อพระพุทธเจ้า เชื่อว่าท่านเป็นมหาบุรุษที่ช่วยเราพ้นทุกข์ได้ เราต้องรู้จักพิจารณาว่า “บัดนี้เราทำอะไรอยู่”เพราะฉะนั้น โดยสัญชาตญาณเราจะดับไฟบนหัวตัวเองก่อน แล้วเราถึงจะค่อยมีเวลาไปทำสิ่งต่างๆ ที่ผมพูดเมื่อกี้นี้ วันนี้ไฟบนหัวเราดับหรือยัง

เข้าไปอยู่ในความคิดก็รู้…รู้ทัน เข้าไปอยู่ในอารมณ์ความรู้สึกแล้วรู้ทัน เมื่อรู้ทันจะตื่นขึ้นมา ยังมีสิ่งที่ถูกรู้อยู่ไหม หรือถูกกลืนเข้าไปแล้ว จังหวะที่มันจะเคลิ้มเนี่ยเคยเห็นทันไหม จุดแรกที่จิตกำลังจะเปลี่ยนไปเคลิ้มรู้ไหมว่ามันเปลี่ยน ถ้าเรารู้ เราจะรู้จักศิลปะในการที่จะทำให้มันตื่นขึ้น การปลุกให้ตัวเองตื่นขึ้นไม่ใช่เป็นการแทรกแซงอะไร เราจำเป็นจะต้องตื่นขึ้นมาก่อนถึงจะเรียนรู้หรือเห็นตามความเป็นจริงได้ เราจะหลับแล้วเราเห็นตามความเป็นจริงด้วยไม่ได้

รับรู้เวทนาที่เกิดขึ้นเป็นยังไง ไม่ต้องหนี ไม่ต้องสู้ แค่รับรู้ ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ค่อยขยับ

 

02-12-2562

Camouflage

 

YouTube : https://youtu.be/LnA2hkKtvuE

คอร์สปฏิบัติธรรมวิถีชีวิตใหม่ 30 พย – 4 ธค 2562

คลิปเสียงธรรมะทั้งหมดของอาจารย์ Camouflage : https://goo.gl/RDZFMI

======================

5 ช่องทางการอ่านและฟังธรรม

1) Facebook : สุขกาย สุขใจ SookGuySookJai
http://www.facebook.com/sookguysookjai

2) Line : @camouflage.talk
https://lin.ee/hHJprqr

3) YouTube : สุขกาย สุขใจ SookGuySookJai
https://goo.gl/in9S5v

4) Website: https://camouflagetalk.com/

5) Podcast : Camouflage – Dhamma Talk
https://itun.es/th/t6Mzdb.c
https://camouflagetalk.podbean.com/