157.วิถีชีวิตใหม่ : 3 ที่เพิ่มเติมคือสติ

ตอนที่ 1 ที่เพิ่มเติมคือสติ

วิถีชีวิตแห่งความเป็นผู้รู้ มีสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปในชีวิตของเราคือ “เป็นชีวิตที่มีสติ” จากวิถีชีวิตเก่าที่ไม่เคยมีสติที่จะรู้ร่างกายและจิตใจนี้ว่ากำลังเป็นยังไงอยู่ เรายังใช้ชีวิตเหมือนเดิม “ที่เพิ่มเติมคือสติ”

เช้านี้เราตื่นขึ้นมามีสติหรือยัง หรือรีบๆ ทำตามสัญชาตญาณไม่รู้เรื่องอะไรเลย เราตื่นมาทุกวันเคยสังเกตจิตใจไหม ไม่เหมือนกันทุกวัน แล้วร่างกายตื่นมาทุกวันเหมือนกันไหม มันเหมือนเมื่อวานไหม ร่างกายของเราทุกคนจะเสื่อมลงไปเรื่อยๆ แต่เราทุกคนหวังว่ามันจะดีกว่านี้ เราจะแข็งแรงกว่านี้ น่าจะดีกว่าตอนนี้ พวกเราหวังผิดตลอด “หวังผิดมันเลยต้องผิดหวัง” เราต้องยอมรับความจริงว่าร่างกายนี้กำลังจะเสื่อมลงไปเรื่อยๆ ไม่มีวันกลับมาดีเท่าเดิม แล้วเราพร้อมหรือยัง พร้อมจะรับมือกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่เลวร้ายแบบนั้นหรือยัง จิตใจเราพร้อมหรือยัง วันหนึ่งที่ความเจ็บป่วยนั้นจะไม่หายไป มันจะหายไปพร้อมกับความตาย

ชีวิตนี้น่ากลัว สิ่งที่เราไม่อยากให้เกิดขึ้นกับชีวิตเราจะเกิดขึ้น แล้วถ้าเรายังไม่พร้อม เราจะทุกข์อย่างแสนสาหัส เราทุกคนหนีความเกิด ความแก่ ความเจ็บ และความตายไม่ได้ จะมีเงินมากมายเท่าไหร่ จะมีคนรักเรามากมายเท่าไหร่ จะมีเกียรติยศ ชื่อเสียง ประสบความสำเร็จในชีวิตมากมายเท่าไหร่ ก็ไม่มีคุณค่าอะไรเลย เมื่อความทุกข์เข้ามาเยือน เมื่อความตายเข้ามาเยือน เราขวนขวายหาสิ่งที่ช่วยอะไรเราไม่ได้ในวันสุดท้ายของชีวิต

บางคนอยากเป็นคนประสบความสำเร็จในชีวิต ไม่ได้อยากได้ชื่อเสียงหรอก อยากมีความรู้สึกภูมิใจในตัวเอง เห็นมั้ยว่าอัตตาตัวตนนี่มันปิดบังให้เราโง่งม ทำสิ่งที่ไม่ต้องทำมากมายขนาดไหน ลองสังเกตดูว่าทุกอย่างที่เราคิดจะทำนั้นเป็นไปเพื่อสนองความเป็นเรา เรากำลังทำตามวิถีชีวิตเก่าๆ ที่สนองความเป็นเราให้มันเข้มแข็งแข็งแกร่งขึ้นหรือเปล่า ถ้าเราพยายามเจริญสติ แต่การใช้ชีวิตของเรายังมีแนวทางในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของตัวเรา มันไม่รู้จะไปยังไง จะเดินหน้าหรือถอยหลังดี

อย่าลืมถามตัวเองว่าเราได้มีวิถีชีวิตใหม่หรือยัง วิถีชีวิตใหม่กำลังเจริญขึ้นในทุกขณะทุกเวลาหรือยัง มีชีวิตที่ประกอบด้วยสติหรือยัง สติของพระพุทธเจ้าคือ “สติปัฏฐาน 4” ย่อลงมาคือความไม่ลืมกายไม่ลืมใจนี้ กายใจนี้มีอาการอะไรเกิดขึ้นก็รับรู้อยู่

3 วันที่เหลือนี้เราจะมาฝึกความเคยชินใหม่ที่จะหันเหความสนใจมามีสติรู้กายรู้ใจนี้อย่างที่มันเป็น ทุกครั้งที่เรารับรู้ถึงความมีอยู่ของร่างกายหรือของจิตใจ ในแต่ละขนาดนั้นๆ เรากำลังเจริญสติปัฏฐาน 4 อยู่ เราค่อยๆ มีสติเท่าที่เรามีได้ ไม่ใช่เพ่งจ้อง ไม่ใช่อยาก ไม่ใช่พยายาม ไม่ใช่ตั้งใจ แค่ใส่ใจที่จะรู้หน้าที่ว่าเรามีหน้าที่แบบนี้ รู้ได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น เราอย่าไปคิดว่าสติน้อยไป พอคิดอย่างนี้มันจะทำ ตัวเราจะเกิดขึ้น อาจจะทำได้เยอะขึ้น แต่เป็นของตัวเรา เป็นของคนอื่น ตัวเรานี่เป็นคนอื่น เพราะตัวเราที่แท้จริงคือไม่มีเรา

เส้นทางนี้เราใช้เวลาและความอดทน ไม่เลิก เรายังคงมีหน้าที่ที่จะรับรู้ความรู้สึกทางร่างกาย อาการต่างๆ ทางจิตใจอยู่ ยังไม่มีหน้าที่อื่น และนี้เป็นหน้าที่เดียวที่เราต้องทำทั้งชีวิต หน้าที่ง่ายๆ แค่นี้แหละ

สติจะเกิด สติบ่อยๆ จะกลายเป็นสมาธิ สมาธิคงตัวอยู่ได้ด้วยการมีสติอยู่เนืองๆ 2 สิ่งนี้ควบคู่กัน แล้วเมื่อเวลาทุกอย่างพร้อม ปัญญาจะเกิด ปัญญาไม่ได้เกิดบ่อย บางคนเกิดครั้งเดียวบรรลุธรรมเลยก็มี เพราะฉะนั้น อย่าโหยหาสิ่งที่เราทำไม่ได้ตรงๆ ให้ใส่ใจกับการสร้างเหตุ แล้วผลที่มหัศจรรย์จะเกิดขึ้นเอง เรื่องของผลไม่ใช่หน้าที่ของเรา เรามีแค่หน้าที่เดียวคือ “เจริญสติปัฏฐาน 4” อย่าเพิ่งรีบไปเข้าใจธรรมะอันลึกซึ้ง นั่งเถียงกันไปเถียงกันมาเหมือนเป็นผู้รู้ทั้งคู่ เรายังไม่รู้หรอกจนกว่าจะได้เห็น

เราทุกคนยังไม่ต้องสอนใคร สิ่งที่ต้องสอนคือสอนตัวเอง พร้อมก่อนค่อยสอน คำว่าพร้อมก่อนคือธรรมะนั้นออกมาจากหัวใจของเราไม่ใช่จากสมอง ออกมาจากความเป็นเรา ความที่เราเป็นธรรมะแล้ว ธรรมะนั้นจะมีพลังเข้าไปสู่ใจคนได้ จะรู้สึกสดใหม่ เป็นธรรมชาติ ตามสถานการณ์ จะไม่รู้สึกจืดชืด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเดิมๆ ก็ตาม เพราะมันมีชีวิต มันมีพลังแห่งพุทธะ

 

ตอนที่ 2 สักว่า

นักปฏิบัติธรรมเราก็จะเป็น “นักช่างสังเกต” แต่เราสังเกตกลับมาที่ตัวเอง แง่มุมแห่งความช่างสังเกตก็เป็นหนึ่งในวิถีชีวิตใหม่ จากที่เราเคยสังเกตแต่เรื่องนอกตัว สังเกตแต่เรื่องคนอื่น เราเปลี่ยนเป็นสังเกตกลับมาที่ตัวเอง เราจะพูดอะไร จะคิดอะไร จะทำอะไร เคยเห็นไหมว่ามีแรงขับดันอะไรอยู่ข้างหลังอีกที เบื้องหลังคืออะไร เราต้องหมั่นสังเกตแบบนี้ ชีวิตเราจะถูกต้องขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ เราจะไม่โดนกิเลสหรอก

เราทุกคนมีเบื้องหลังเพราะเรายังมีอัตตาตัวตนอยู่ ความเป็นอัตตาตัวตนนั้นคือ “ความเห็นแก่ตัว” เราไม่ต้องว่าใครเห็นแก่ตัว เพราะเราทุกคนเห็นแก่ตัว เพราะเรายังมีตัว มันเป็นธรรมชาติ…ธรรมชาติที่เราหลีกหนีไม่พ้น มันไม่ใช่คำด่าหรอก มันคือความจริง

บุคคลเดียวที่หมดความเห็นแก่ตัวคือ “พระอรหันต์” การกระทำใดๆ ปราศจากเบื้องหลัง เป็นเพียงแค่กิริยา กระทำสิ่งใดก็เป็นเพียงแค่กิริยา ไม่มีตัวเราได้รับอะไร ไม่มีความรู้สึกว่าเราได้รับอะไร ไม่มีความรู้สึกว่าเรายึดโยงเกี่ยวพันกับสิ่งใดๆ ที่กำลังทำอยู่ เขาเรียกว่าเป็น “แค่กิริยา” ลึกลงไปที่สุดคือคำว่า “สักว่า

บริสุทธิ์ที่แท้จริงก็คือพระอรหันต์ พวกเราก็ได้แต่ชิมลอง เป็นขณะๆ ไป ตอนไหนกิเลสไม่บุกเร้ามาก ก็พอจะสักว่าได้ เหมือนเรารู้สึกตัว รู้อย่างผู้รู้ ไม่ใช่รู้อย่างผู้อยากรู้ ร่างกายนี้ไม่มีกิเลส มันก็สักว่าได้ สักว่ารู้สึกอยู่ ความรู้สึกอะไรเกิดขึ้นในร่างกาย…รู้สึกอยู่ ในขณะที่ไม่ได้มีความเจ็บปวด เจ็บป่วยหรืออะไรก็ ตามจิตใจก็ไม่มีกิเลสปรากฏขึ้นมา มันก็เป็นความรู้สึกเหมือนสักว่า เราก็นึกว่านี่สักว่าแล้ว แต่มันมีสักว่ามากกว่านั้น อธิบายไม่ได้ จะต้องรู้เอง

เมื่อเรารู้จักสิ่งใหม่ สิ่งที่เราไม่เคยพบ ไม่เคยเห็น ไม่เคยสัมผัส เราถึงจะรู้ว่าสิ่งเก่าที่เราเคยรู้สึกนั้นมันต่างออกไป หลวงพ่อเทียนใช้คำว่า “มันจะต่างเก่าล่วงภาวะเดิม” ต่างไปจากของเก่าที่เราเคยเป็น ธรรมะบรรยายทั้งหลายที่เราเคยฟังมาส่วนใหญ่เป็นผลลัพธ์ เราชอบผลลัพธ์ ชอบฟังผลลัพธ์ อยากได้ผลลัพธ์ ไม่สนใจสร้างเหตุ การปฏิบัติธรรมง่ายเพราะเรามีแค่หน้าที่ง่ายๆ แต่มันน่าเบื่อ ซ้ำซาก จำเจ ไร้รสชาติ

 

ตอนที่ 3 เบื้องหลังคืออะไร

เมื่อเรากลับไปที่ตัวเองเท่ากับเราได้เจริญสติปัฏฐาน 4 บุญ กุศล คุณธรรมต่างๆ จะเกิดขึ้นจริงในใจเรา พลังงานที่ดีต่างๆ จะเกิดขึ้นจริงในใจเรา เราจะเหมือนแสงสว่าง เทียนที่ไฟติดแล้วก็ไม่ต้องแผ่อะไร มันสว่างออกไปเอง คนที่อยู่ใกล้ก็ได้รับไออุ่น ได้รับแสงสว่างนั้นอัตโนมัติ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เทียน ปัญหาอยู่ที่เรา เราพร้อมจะรับไหม แล้วก็ไม่ต้องแผ่อะไร ธรรมชาติของพลังงานอันบริสุทธิ์มันก็ทำงานตามธรรมชาติของมัน ไม่มีใครต้องทำอะไรทั้งนั้น เพราะไม่มีคน

อยู่ในคอร์สนี้เราจะค่อยๆ ถูกลอกเปลือกความเห็นผิดทั้งหลาย โดยเฉพาะความเห็นผิดคิดว่ามีเราจริงๆ เราคอยทำนี่ทำนั่น แผ่เมตตา แผ่บุญกุศล ปฏิบัติเสร็จก็แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ เบื้องหลังคืออะไร เราอยากดีใช่ไหม เราก็ทำอย่างนี้เพราะมันดีใช่ไหม มันจะช่วยเราได้ ให้เราอาจจะปฏิบัติดีขึ้น หมดเวรหมดกรรม หมดภัยคุกคาม หมดอะไรขัดขวางเรา เบื้องหลังคืออะไร เราคิดว่าเราเป็นเจ้าของร่างกายและจิตใจนี้ เราคิดว่าเราจะช่วยให้มันหลุดพ้นได้ ถ้าอยากจะหลุดพ้น หลุดตั้งแต่ตอนนี้ หลุดจากความคิดว่ามีเราจริงๆ

สิ่งที่ผมพูดอันนี้มันลึกซึ้งมาก ผมขยายความได้ค่อนข้างยาก ในแง่มุมต่างๆ คนที่อยู่ใกล้ๆ ผมจะรู้ว่าถ้านำเสนอไอเดียที่แสดงความเป็นคนขึ้นมาก็จะโดนผมเฉ่งทันที ไม่ใช่เพื่ออะไร เพื่อขัดเกลา ไม่ว่าสิ่งที่ทำนั้นจะดีแค่ไหน แต่ถ้าอยู่ภายใต้ของความเชื่อว่ามีเราจริงๆ ก็จะต้องโดนจัดการ

บางคนเคยได้ยินเรื่องเล่าสมัยพุทธกาลจนกระทั่งทุกวันนี้เกี่ยวกับการอยู่ใกล้ครูบาอาจารย์ก็กลัวประมาทพลาดพลั้ง ทำบาป ผมอยากให้เราทุกคนไปไกลมากกว่าการอยู่ภายใต้ความกลัว เราจะไม่เป็นทาสของความกลัว เปลี่ยนความกลัวนั้นให้กลายเป็นสติ ถ้ากลัวก็มีสติให้มาก ใช้ประโยชน์จากความกลัวนั้นให้กลายเป็นสิ่งที่มีคุณค่าที่สุดในชีวิตเราคือสติ

เมื่อเรามีสติมากเวลาอยู่กับครูบาอาจารย์ สตินี้จะติดตัวไปเมื่อเราอยู่กับคนอื่นด้วย มีสติอยู่กับเราในทุกๆ เหตุการณ์เท่ากับเรากำลังมีสตินำทางชีวิตเรา มีสติที่จะรู้จักว่าอะไรกำลังขับดันจิตใจนี้อยู่ ก่อนจะพูด ก่อนจะทำอะไร มีสติรู้ทัน อะไรอยู่เบื้องหลังขับดันให้เราจะพูดหรือจะทำแบบนั้น และถ้าเราเห็นจิตเห็นใจตัวเองว่ามันประกอบด้วยกิเลสหรือเปล่า เราจะรู้จักว่าอะไรควรไม่ควร เราจะลดการพูดการทำอะไรที่ไม่จำเป็น เพราะถ้าเราลดละอะไรที่เป็นเรื่องออกนอกแบบนั้น สติก็ยิ่งถี่ขึ้น มันก็กลายเป็นสมาธิ สิ่งที่เราต้องการมาก เช่น สมาธิก็จะเกิดขึ้น

บางคนบอกว่าการให้มีสติก่อนจะพูดจะทำอะไร เริ่มฝึกตอนแรกๆ รู้สึกเหนื่อย ทำไมเหนื่อยเพราะมันเคยชินจะหลงมาก ทำอะไรเพลินๆ เรียกว่าหลง ทำตามสัญชาตญาณดิบของเราเองเรียกว่าหลง มันเลยดูเหมือนไม่เหนื่อย แต่พอมีสติแล้วเหนื่อย ต้องเหนื่อยก่อน

วิถีชีวิตใหม่ไม่ใช่ได้มาง่ายๆ ต้องลงทุนเหมือนกัน ลงทุนจนผลมันงอกเงยคือมันเป็นอัตโนมัติแล้ว เห็นอยู่ตลอด จิตใจเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง บีบคั้น กิเลสอะไรกำลังขึ้นมา…เห็นแล้ว เห็นแล้วก็มี 2 แบบ บางคนมีสมาธิเยอะก็เห็นมันแยกเป็นอีกสิ่งหนึ่ง ไม่รวมเข้าไป แต่คนส่วนใหญ่คือสมาธิน้อย เป็นขณิกสมาธิ เห็นแล้วบางทีเหมือนเอาขาแหย่เข้าไปด้วย…มันชวน ถ้าเราสมาธิน้อยทำไง “ยับยั้งชั่งใจ” ที่เรียกว่า อดทน คุณธรรมบารมีอันนี้ต้องมา

ไม่ว่าคนสมาธิเยอะหรือน้อย เราทำเหมือนกันอย่างเดียวคือ “ไม่ทำอะไร” แค่รู้ว่าตอนนี้เป็นแบบนี้ แล้วดูซิมันเป็นยังไง อดทนให้มาก ดูซิมันอยู่ตลอดไหมหรือว่าแป๊บเดียวมันหายไปแล้ว หรือมันเริ่มจางคลายไปแล้ว หรือมันเริ่มเปลี่ยนแปลงแล้ว เนี่ยความจริงก็ปรากฏขึ้นมาว่า “ไม่มีอะไรอยู่ถาวรหรอก” มีเหตุก็เกิด หมดเหตุก็ดับไป ชั่วคราว

 

ตอนที่ 4 ไม่สูญเปล่า

วิถีชีวิตความเคยชินใหม่ไม่ใช่สิ่งที่จะหายไป มันสะสมอยู่ในจิตเรา อยู่ในจิตดวงนี้ ติดไปข้ามภพข้ามชาติ ตอนเด็กๆ ผมไม่มีใครสอน ปฏิบัติธรรมไม่เป็น ไม่เคยสนใจเลย ทุกคนทำเหมือนกันตอนเด็กๆ คือดูละคร ดูหนัง แต่สิ่งที่ผมไม่เหมือนคนอื่นเลยคือ เวลาผมดู แล้วใจผมมันอินเข้าไปในละครในหนัง มันเกิดการถอนตัวกลับมารู้สึกตัว มันทำเอง เวลาดูหนังบางเรื่องมันน่ากลัว มันทุกข์อ่ะ หรือว่าบางเรื่องสนุกน่าติดตาม มันก็ทุกข์อีกเมื่อไหร่จะถึงวันพรุ่งนี้ตอนสามทุ่ม บางคนทุกข์หนักต้องไปหาหนังสือพิมพ์มาอ่านก่อนตอนต่อไป เนี่ยมันอยากมาก แต่ผมไม่อยากทุกข์แบบนั้น ผมรู้สึกว่าผมกลับมารู้สึกตัวแล้วผมหลุดออกมาจากมัน สบายกว่า แต่ผมไม่รู้หรอกว่านั่นคือการปฏิบัติธรรม

วิถีชีวิตใหม่ที่ผมให้กับทุกคนนั้นไม่สูญเปล่า ไม่จบชาตินี้มันก็ติดตามเราไป แต่เราจะรอชาติหน้าไม่ได้ เหมือนมันติดตามผมไป แต่ถ้าผมเกิดมาในยุคที่ไม่มีพระพุทธศาสนา ไม่มีครูบาอาจารย์ ผมก็ไปต่อไม่ได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้น ไม่ง่ายที่เราจะมีทุกอย่างครบในชีวิตของการเกิดมาสักครั้งหนึ่ง อาศัยบุญเยอะ ใช้ให้คุ้ม ใช้บุญที่มีแล้วให้คุ้ม

รู้จักสภาพจิตใจตอนนี้เป็นยังไง รู้จักสภาพจิตใจที่ไม่มีความบีบคั้นอะไร…ดีไหม รู้จักเอาไว้ เวลามันผิดปกติขึ้นมาจะรู้ได้เร็ว มากไปกว่านั้นคือเราจะรู้ว่าโลกนี้ทุกข์มาก มีคนยั่วกิเลสจิตใจนี้ตลอดเวลา แล้วเมื่อกิเลสเกิดขึ้นในใจและเรายังไม่หลุดพ้น เราก็ต้องทุกข์ เราต้องมีกำลังใจ เราต้องเข้าใจว่าโลกนี้เป็นทุกข์มากแล้ว มันถึงจะมีกำลังใจที่จะไม่เอาแล้ว พอแล้ว จะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ปฏิบัติเพื่อจะพ้นจากทุกข์อย่างถาวร

แต่ถ้าเรายังคงไม่รู้สึกว่าจิตใจที่ไม่บีบคั้นนี้ หรือจิตใจที่เป็นปกตินี้ มันดีจังเลย เราจะรู้สึกว่าโลกนี้ดีจังเลย เราจะกลับไปคลุกอยู่ในโลกต่อ แปลว่าเรายังไม่เข้าใจ เรายังไม่รู้จักว่าอะไรมันดีกว่าอะไร เรายังไม่โตเป็นผู้ใหญ่พอ แยกแยะอะไรไม่ได้ เหมือนเรายังไม่เข้าใจว่าน้ำเปล่านี่มันดีต่อสุขภาพ เราเข้าใจว่าโค้กดีต่อสุขภาพ

 

01-12-2562

Camouflage

 

YouTube : https://youtu.be/gyRMRoiNxMA

ฟังรวมคลิปเสียงธรรมได้ที่ https://goo.gl/RDZFMI

5 ช่องทางติดตามข่าวสาร
1) YouTube: https://goo.gl/in9S5v

2) Facebook : https://www.facebook.com/SookGuySookJai

3) Line : @camouflage.talk
https://lin.ee/hHJprqr

4) Podcast: Camouflage – Dhamma Talk
https://camouflagetalk.podbean.com/
https://itun.es/th/t6Mzdb.c

5) website : https://camouflagetalk.com/