156.วิถีชีวิตใหม่ : 2 สักแต่ว่า…ความรู้สึก

ตอนที่ 1 พบเห็น ไม่ต้องเชื่อ

เราทุกคนเป็นชาวพุทธ ย่อลงมาในส่วนน้อยเป็นนักปฏิบัติธรรม นักปฏิบัติธรรมจำนวนมากยังคงคิดว่าชีวิตนี้เป็นของเรา มีเราจริงๆ มีเราเป็นเจ้าของร่างกายและจิตใจนี้ ถ้าเรายังมีความเห็นผิดอยู่แบบนั้น เราไม่สามารถเรียกตัวเองว่าเป็นชาวพุทธ เรายังไม่ได้เป็นชาวพุทธ พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า “โลกนี้ว่างจากความเป็นสัตว์ ตัวตน บุคคล เรา เขา” ย่อก็คือ “ว่างจากความเป็นเรา ความเป็นตัวเป็นตน”

วิถีชีวิตเก่าของเราทุกคนทำทุกอย่างเพื่อปกป้องตัวตนนี้ รักษาตัวตนนี้ สร้างความแข็งแกร่งของความเห็นผิดว่ามีเราจริงๆ อย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อเรามาปฏิบัติธรรมแล้ว เมื่อความเห็นผิดว่ามีตัวเราเกิดขึ้น เราต้องรับรู้ว่า ตอนนี้วงจรของอวิชชาเกิดขึ้นแล้ว ไม่ใช่ไปสำทับยืนยันว่ามีเราจริงๆ

การดำเนินชีวิตในฐานะนักปฏิบัติธรรมเป็นวิถีชีวิตใหม่ ผมยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องการปฏิบัตินะ แต่ต้องมีความเห็นที่ถูกตรงก่อน ถ้าเราต้องการจะหลุดพ้นจากกองทุกข์นี้ เราต้องไปในทิศทางที่ถูกต้อง เราต้องเข้าใจก่อนว่า แท้จริงนี้ไม่มีเรา ไม่มีใคร ทุกอย่างเป็นแค่ธาตุตามธรรมชาติมาประชุมรวมกัน แล้วประกอบด้วยอวิชชาที่เอาทุกอย่างนั้นมาเป็นของเรา สร้างเราขึ้นมา

เพราะฉะนั้น วิถีชีวิตใหม่คือ “การรู้ทันเมื่อตัวตนนี้เกิดขึ้น ตัวเราเกิดขึ้นแล้ว ของเราเกิดขึ้นแล้ว” แต่บางทีตามเหตุผลในโลกเราจะคิดว่า มันทำอย่างนี้กับฉันไม่ได้ ต้องทำอย่างนี้ถึงจะถูก ต้องแบบนั้นถึงจะใช้ได้ ทั้งหมดนี้คือเรา เราเข้าไปคิดตัดสินวิพากษ์วิจารณ์อยู่ภายใต้ทิฏฐิ อคติ กิเลส ประสบการณ์ในอดีตของตัวเอง แค่นั้น เราไม่ได้เข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นไปตามเหตุปัจจัย มันเป็นเช่นนั้นเอง

เราใช้ชีวิตปฏิบัติธรรม แต่ในอีกทางหนึ่งเราใช้ชีวิตที่เสริมความเป็นอัตตาตัวตนอยู่ตลอดเวลา ความเห็นถูกมีแว๊บนึง ความเห็นผิดมีเป็นชั่วโมง แล้วเราจะพ้นทุกข์ได้ยังไง นี่เป็นอีกแง่หนึ่งที่เราทุกคนต้องหมั่นสังเกต เมื่อกิเลสเกิดขึ้น อวิชาเกิดขึ้น ความเป็นตัวเป็นตนเกิดขึ้น เราต้อง “รู้ทัน” ไม่ใช่ตามมันไป

เป็นเรื่องยากที่เราจะเชื่อว่ามันไม่มีเราจริงๆ เหรอ เป็นสิ่งที่เชื่อเอาไม่ได้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วก็คิดอยู่นานว่าจะสอนยังไง มันเป็นสิ่งที่คนเข้าใจได้ยากที่จะบอกว่าความจริงนี่ไม่มีเรา…ใครจะเชื่อ ท่านทบทวนอยู่นาน ตามตำราก็บอกว่าพระอินทร์มาขอว่าผู้มีธุลีในตาน้อยยังมีอยู่ ก็ให้โปรดบุคคลเหล่านั้น

บางคนเป็นผู้มีธุลีในตาน้อย ฟังธรรมนิดหน่อยก็มีใจที่จะปฏิบัติ ไม่สงสัยมาก ลุยเลย บางคนธุลีในตามาก ฟังเท่าไหร่ก็ไม่รู้เรื่อง ก็ต้องปล่อยไป แต่ถ้าบางคนตัดใจเชื่อก็ไม่ลง แต่ใจเด็ดเดี่ยว ไม่มีอะไรจะเสียแล้วชีวิตนี้ มีศรัทธาต่อพระพุทธเจ้า ลงมือปฏิบัติจริงๆ ไม่ต้องเชื่อ ปฏิบัติให้มันจริง อะไรที่เป็นความเห็นผิด…ไม่ตาม อะไรที่เป็นตัวเป็นตน…ไม่ตาม อดทนที่จะปฏิบัติอย่างจริงจัง ใช้ชีวิตที่เหลือทั้งชีวิตปฏิบัติ ความจริงที่เราสงสัยว่ามันจริงไหมที่ว่าว่างจากความเป็นสัตว์ตัวตนบุคคลเราเขา เราจะได้พบได้เห็นว่ามันเป็นแบบนั้น พบเห็น ไม่ต้องเชื่อ ไม่ต้องคิด ไม่ต้องเปรียบเทียบ เห็นตรงๆ เลยว่าโลกนี้ว่างจากความเป็นสัตว์ตัวตนบุคคลเราเขา โลกธาตุนี้ไม่มีใคร

แต่ถ้าทุกวันเรายังใช้ชีวิตตามกิเลส ตามตัณหา ตามความเป็นตัวตนของเรา เราเรียกตัวเองเป็นชาวพุทธไม่ได้! เพราะฉะนั้น เมื่อเรามีจิตใจที่พร้อมแล้ว พร้อมที่จะค้นพบความจริงที่พระพุทธเจ้าค้นพบ เราต้องลงมือปฏิบัติตั้งแต่วันนี้

 

ตอนที่ 2 ให้โอกาสตัวเอง

การปฏิบัติไม่ได้มีอะไรยาก คือการเปลี่ยนวิถีชีวิต ชีวิตเก่าๆ ที่เคยใช้ ใช้มานานแล้ว ไม่เห็นพ้นทุกข์สักที ความเป็นคนก็ยังอยู่ครบ หรือเพิ่มเติมขึ้นเรื่อยๆ คิดง่ายๆ แค่นี้ จะทำแบบเดิมต่อไหม จะคิดแบบเดิมต่อไหม จะเชื่อแบบเดิมต่อไหม ถ้าเป็นแบบนั้นก็…โชคดี ไม่มีใครช่วยเราได้นอกจากตัวเราเอง ใครจะตกนรกเป็นหมูเป็นหมาก็เป็นเรื่องของเราเอง ไม่มีใครช่วยได้

แต่ถ้าพิจารณาแล้วชีวิตเก่าๆ ที่ผ่านมาทั้งชีวิต ก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้น ไม่ได้ทุกข์น้อยลง ไม่ได้สุขมากขึ้น ไม่ได้เป็นอิสระจากอะไรๆ เริ่มต้นใช้ชีวิตใหม่ชีวิตที่รู้สึกตัว มีร่างกายอยู่ตอนนี้รู้สึกได้ไหม หรือเราไปคิดปรุงแต่งอะไรแล้วก็ไม่รู้ เรียนรู้อยู่ในร่างกายนี้ ความจริงที่พระพุทธเจ้าบอกไว้ผ่านการเรียนรู้อยู่ในกายและใจนี้ ไม่ต้องไปเรียนรู้ที่อื่น มันอยู่นอกเหนือความคิด มันเป็นสิ่งที่เราคิดไม่ถึง ความจริงที่พระพุทธเจ้าสอนเป็นสิ่งที่เราคิดไม่ถึง คาดคะเนไม่ได้ มันอยู่นอกเหตุเหนือผลที่เราจะคิดถึง เพราะมันไม่เคยอยู่ในเหตุผลที่เราจะคิดได้ เพราะฉะนั้น เราให้โอกาสตัวเองที่จะมีวิถีชีวิตใหม่ เพื่อให้ความจริงสูงสุดที่พระพุทธเจ้าค้นพบปรากฏขึ้นในใจเรา

สมัยพุทธกาลพระพุทธเจ้าตรัสรู้ตอนอายุ 35 เราลองนึกถึงคนอายุ 35 ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้า เป็นเหมือนอาจารย์เด็กๆ ในขณะที่สมัยนั้นมีอาจารย์แก่ๆ เต็มไปหมดที่พยายามจะหาทางพ้นทุกข์เหมือนกัน พระพุทธเจ้าก็ไปโปรดครูบาอาจารย์เหล่านั้น มีครูบาอาจารย์ลัทธิต่างๆ มากมายที่ลดทิฏฐิ มานะ ความเชื่อของตัวเอง มาฟังเด็กคนหนึ่ง จนเห็นความจริงตามที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ได้ ในขณะที่บางพวกบางคนก็ไม่อยากจะรับฟัง

คนสองกลุ่มนี้ต่างกันยังไง กลุ่มนึงคือคนที่มีชีวิตอยู่เพื่อจะค้นพบความจริงของชีวิตจริงๆ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าใครเป็นก็ตาม ความรักในความจริงสูงสุดนั้นทำให้เขายอมได้ที่จะเปิดใจรับฟัง ในขณะที่อีกพวกหนึ่งก็รักศักดิ์ศรี ทิฏฐิ มานะของตัวเองมาก…มากกว่าความจริงที่ต้องการที่จะได้รับ ก็เลยยอมไม่ลง

เพราะฉะนั้น เราเกิดมาแล้ว เราต้องมีเป้าหมายในชีวิต เราจะได้ไปถึงได้ อย่าให้อัตตาตัวตน กิเลส ตัณหามาขวาง นั่นไม่ใช่ทางฉลาด

 

ตอนที่ 3 สักแต่ว่าความรู้สึก

เราเริ่มวิถีชีวิตใหม่ หันเหความสนใจจากที่เคยสนใจนอกตัว กลับมาสนใจที่ตัวเอง ร่างกายขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวก็รู้สึก มันเคลื่อนแล้วก็รู้สึก มันนั่งอยู่ก็รู้สึก มันยืนอยู่ก็รู้สึก มันเดินอยู่ก็รู้สึก ไม่หลงลืมสิ่งที่อยู่กับเราตั้งแต่เกิด จิตใจก็เคลื่อนไหวเหมือนกัน เดี๋ยวมันก็ไปตรงโน้น เดี๋ยวมันก็ไปคิดนี่ เดี๋ยวมันก็ไปรู้สึกตรงนั้น เดี๋ยวมันก็ปรุงแต่งอารมณ์ เดี๋ยวมันก็โกรธ เดี๋ยวมันก็ไม่พอใจ เดี๋ยวมันก็ชอบ เดี๋ยวมันก็ดีใจ เดี๋ยวมันก็มีความสุข เห็นกายและใจนี้เป็นอีกสิ่งหนึ่ง เป็นแค่สิ่งที่ถูกรู้

จิตใจมันปรุงแต่ง ไม่เข้าไปเป็นกับมัน มันปรุงแต่งความโกรธ ไม่ใช่เราโกรธ เป็นเพียงแค่ความรู้สึกโกรธเกิดขึ้นในใจ ไม่ใช่เรา มันเป็นเพียงแค่ความรู้สึก ไม่มีสาระแก่นสารใดๆ กับชีวิตเรา อย่าไปเอาจริงเอาจังกับความรู้สึกใดๆ ที่เกิดขึ้น มีใครโกรธตลอดชีวิตแล้วไม่เคยหายเลยไหม มันไม่มีหรอก ความโกรธเป็นของไร้สาระ เพราะมันเกิดขึ้นแล้วก็หายไป ในชีวิตเรามันเกิดแล้วหายไปกี่ทีแล้วในความไร้สาระนี้ มันมีสาระจริงเหรอ ถ้ามีสาระจริงแล้วทำไมหายไปได้ รู้จักมองให้มันถูก

อารมณ์ความรู้สึกต่างๆ มันก็สักว่าเป็นเพียงแค่ความรู้สึก จำอันนี้ไว้ ไม่มีความจำเป็นที่เราต้องเป็นเจ้าของมัน เราเป็นแค่คนเห็นมัน เห็นด้วยตาใจนี่แหละ เห็นด้วยความรู้สึก

เมื่อไม่พอใจ หรือโกรธแล้ว อดทนหน่อย เข้มแข็ง ลองดูซิความโกรธเนี่ยมันแสดงอาการแบบไหน มันกำลังทำอะไร มันบีบคั้นไหม พุ่งพล่านไหม แล้วมันขึ้นตลอดเลยไหม หรือพอดูไปเรื่อยๆ แล้วมันลง ดูไปอีกหน่อยมันหายไป มันมีสาระตรงไหน

การปฏิบัติไม่ได้ยากอะไร เราแค่อดทนไม่พอกับอารมณ์อันฉูดฉาดนั้น เรารีบเข้าไปคว้ามันเป็นของเรา อดทนสักหน่อย เราจะเริ่มเห็นว่ามันไม่ใช่เรา มันเป็นสักแต่ว่าความรู้สึก เป็นความรู้สึกอันหนึ่งที่เหมือนความรู้สึกที่เรียกว่าดีใจ มีความสุข พอใจ…เหมือนกัน สักแต่ว่าจะถูกปรุงแต่งไปอีท่าไหน แต่มันเหมือนกันคือไม่มีสาระอะไร มันเกิดขึ้นแล้วมันก็จะดับไป

ถามตัวเองว่าเคยโกรธมากี่ครั้งแล้วในชีวิต มันอยู่ตลอดไหม ถ้ามันไม่อยู่ตลอดทำไมต้องไปเป็นเจ้าของความโกรธนั้น เพื่ออะไร เพื่อความมันส่วนตัว หรือเพื่ออะไร

เพราะฉะนั้น อะไรก็ตามที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในกายในใจนี้ หัดที่จะเห็นมันเป็นอีกสิ่งหนึ่ง เป็นสักแต่ว่าความรู้สึกที่ถูกรู้ เราคือใคร เราเป็นอะไร เราเป็นคนรู้ คนรู้สิ่งต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้น ไม่ได้เป็นสิ่งๆ นั้น เราคือ “ธาตุรู้ที่บริสุทธิ์” เราเป็นเหมือนกล้องวงจรปิด รู้เป็นอย่างเดียว ทำอย่างอื่นไม่เป็น

ทั้งหมดที่ผมพูด เราเริ่มจากฝึกที่จะรู้สึกร่างกาย ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวรู้สึก “แค่รู้สึก” จิตใจขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวก็ “แค่รู้ทัน” ค่อยๆ ฝึกไป มันไม่ได้ดีในวันสองวันหรอก อาศัยเวลา อาศัยความอดทน อาศัยความต่อเนื่อง ถ้าเราเป็นคนจริง เราจะได้ของจริง

เมื่อเรารู้สึกถึงความมีอยู่ของร่างกายนี้ไม่ว่าจะรวมๆ หรือเป็นจุดนู้นจุดนี้ สังเกตได้ไหมว่าไม่มีทุกข์ ปราศจากความกังวล ความห่วง ความเกี่ยวพัน ความพ้นทุกข์อยู่ใกล้ตัวเราแค่เอื้อม เพียงแค่เราใส่ใจสักหน่อย เราจะพบความสุขที่แท้จริงได้ คือความที่จิตใจนี้ไม่ดิ้นรน ปราศจากตัณหา ความอยากใดๆ เป็นปกติอยู่ เป็นความสุขจากการที่เราเป็นผู้รู้อยู่ รู้อยู่ในกายในใจนี้

แต่ถ้าเมื่อไหร่เราเป็นผู้หลง หลงลืมกายและใจนี้ ลองสังเกตดู มันหนัก มีภาระ เต็มไปด้วยความห่วงนู่นห่วงนี่ กังวลนั่นกังวลนี่ คิดนู่นคิดนี่ แล้วเราก็บอกว่าเราไม่มีความสุข ถ้าเราเป็นผู้หลงไม่มีวันที่เราจะมีความสุขได้

แต่การจะมีความสุขได้ก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย เพียงแค่เปลี่ยนจากความหลงเป็นความรู้ขึ้นมา เหมือนที่เรานั่งอยู่นี่ มันยากไหม…ไม่ยาก เราพบเจอได้ด้วยตัวเองไหม…ได้ด้วยตัวเอง เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วในเราทุกคน ขอแค่เราใส่ใจ ความทุกข์จะค่อยๆ ลดลง ความสุขจากจิตใจที่ไม่มีภาระใดๆ จะเพิ่มขึ้น

 

30-11-2562

Camouflage

 

YouTube : https://youtu.be/ymh63X4yDwg

ฟังรวมคลิปเสียงธรรมได้ที่ https://goo.gl/RDZFMI

5 ช่องทางติดตามข่าวสาร
1) YouTube: https://goo.gl/in9S5v

2) Facebook : https://www.facebook.com/SookGuySookJai

3) Line : @camouflage.talk
https://lin.ee/hHJprqr

4) Podcast: Camouflage – Dhamma Talk
https://camouflagetalk.podbean.com/
https://itun.es/th/t6Mzdb.c

5) website : https://camouflagetalk.com/