153.กิริยาเดียว

ตอนที่ 1 กิริยารู้

จิตใจเป็นปกติแล้ว เราก็รับรู้ได้ว่าปกติแล้ว แต่ถ้ามีความพอใจเกิดขึ้น เราก็มีหน้าที่รับรู้ว่าความยินดีพอใจเกิดขึ้นแล้ว อย่าลืมว่าเรามีหน้าที่เพียงนาทีเดียวคือ “รู้อย่างที่มันเป็น เห็นตามความเป็นจริง” เมื่อความพอใจหรือไม่พอใจเกิดขึ้น เรามีหน้าที่รับรู้ เมื่อจิตใจเป็นปกติแล้ว ไม่นานหรอก มันจะเริ่มกระเพื่อมขึ้นมา มันจะขยับ เราก็มีหน้าที่แค่รับรู้ว่ามันขยับตัวแล้ว

อย่าลืมว่าจิตนี้ไม่ใช่เรา เมื่อจิตนี้ไม่ใช่เรา อาการปรุงแต่งใดๆ ของจิตนี้ก็ไม่ใช่เรา เห็นมันเป็นอีกสิ่งหนึ่ง เป็นแค่สิ่งที่ถูกรู้ เรามีหน้าที่แบบนั้นตั้งแต่ตื่นจนหลับ เมื่อไหร่ที่เราทำเกินหน้าที่จากรู้ เกินหน้าที่จากการแค่รับรู้ ทั้งหมดนั้นคืออัตตา คือความเป็นเรา ถ้าเรามีความไม่พอใจ ไม่ชอบใจอะไร แล้วเราไม่ใช่แค่รับรู้อยู่เฉยๆ ใจนี้จะดิ้นรน ใจที่ดิ้นรนเป็นทุกข์ เราไม่สามารถแก้ไขทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นที่พอใจของเราได้ สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดสมบูรณ์ที่สุดคือ เราแค่สามารถรู้อย่างที่มันเป็น

เส้นทางไปสู่บรมสุขของศาสนาพุทธคือ “เส้นทางไปสู่ความพ้นทุกข์” พ้นจากทุกข์โดยสามารถที่จะรู้อย่างที่มันเป็น เห็นตามความเป็นจริง แค่รับรู้เฉยๆ ถ้าเราแค่รับรู้เฉยๆ ไม่เข้าไปเป็นกับมัน ไม่ว่าอาการทางจิตใจนั้นจะเป็นยังไง จะปรุงแต่งไปยังไง ในแต่ละขณะที่รู้ ขณะนั้นๆ เราพ้นทุกข์แล้ว เราไม่ได้ฝึกจะพ้นทุกข์ด้วยการสนองความอยาก ด้วยการสนองตัณหา เราฝึกที่จะพ้นทุกข์ด้วยการรู้ รู้ทุกอย่างอย่างที่มันเป็น

กิริยารู้นั้นมีความเป็นอิสระในตัวมันเอง เป็นความปลดเปลื้องในตัวมันเอง เป็นความไม่อิงอาศัยอะไรๆ ในตัวมันเอง เพราะฉะนั้น กิริยานี้เป็นกิริยาเดียวที่จะนำพาเราทุกคนไปสู่ความหลุดพ้นอย่างสมบูรณ์ ไปสู่อิสรภาพจากทุกสิ่งทุกอย่าง

 

ตอนที่ 2 อุดรูรั่ว

สงบก็ต้องรู้ กำลังจะเคลิ้มก็ต้องรู้ เมื่อเราตื่นขึ้นความจริงถึงจะปรากฏ ความจริงมีอยู่แล้วแต่เราหลับไหลมานาน เราต้องตื่นขึ้น ร่างกายนี้นั่งอยู่รู้สึกได้ รู้สึกถึงความมีอยู่ของมันได้ ไม่ลืม จิตใจเป็นยังไงอยู่ รู้สึกถึงมันได้ ไม่ลืม

ถ้าเรานั่งแล้วรู้สึกเบื่อ รู้สึกจะเคลิ้ม ผมแนะนำให้ลองสังเกตร่างกายให้ละเอียด เราเคยสังเกตไหมเวลาเราหายใจเข้าหายใจออก มันมีกล้ามเนื้อตรงไหนที่มันขยับบ้าง เวลาเรานั่งอยู่นิ่งๆ แบบนี้ มันนิ่งจริงไหม สัมผัสต่างๆ ที่ขาทับกัน มือประสานกัน ความรู้สึกสัมผัสนั้นๆ เหมือนเดิมเลยไหม จริงๆ เรามีสิ่งที่ให้เรียนรู้ รับรู้อยู่ในกายในใจนี้อยู่ตลอดเวลา ปัญหาของพวกเราทุกคนคือ “เราละเลย

เพราะฉะนั้น ผมให้ลองสังเกตว่าเวลาเริ่มนั่ง เราก็ตื่นดี เรารู้สึกตัวอยู่ รู้สึกจิตใจอยู่ แต่สักพักจิตใจสงบ เราก็เริ่มเคลิ้ม เริ่มไม่ค่อยตื่นแล้ว ตื่นเหมือนกันแต่แบบไม่ค่อยตื่น เพราะเราละเลยการสังเกตในทางละเอียด พอมันไม่มีอะไรให้ดู มันก็เลยจะหลับแทน ให้ดูเหมือนเดิมๆ มันก็เบื่อ ก็เลยจะหลับ มันซ้ำซาก

สังเกตให้มากขึ้น สังเกตให้ละเอียดขึ้น สังเกตอย่างเป็นธรรมชาติ ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ไม่ใช่การทำอะไรช้าๆ ไม่ใช่การเพ่งจ้อง แค่ใส่ใจให้มันมากขึ้น แล้วมันจะค่อยๆ ละเอียดขึ้นเอง ไม่ต้องเอาวันนี้นาทีนี้ที่จะละเอียดเลย แต่ให้เป็นความใส่ใจที่ค่อยๆ พอกพูนขึ้น ค่อยๆ เป็นความเคยชินใหม่ ให้มันเป็นวิถีของธรรมชาติ ไม่ใช่จะเอาให้ดีตั้งแต่ตอนนี้

จิตมันพูดอะไรขึ้นมา ทำอะไรขึ้นมา เราก็แค่รู้ รำคาญขึ้นมาก็รู้ สงสัยขึ้นมาก็รู้ ไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้ก็รู้ เราจะเห็นว่าจิตใจนั้นก็ปรุงแต่งอาการต่างๆ อารมณ์ความรู้สึกต่างๆ ถี่ยิบ และทั้งหมดคือมันทำเอง ไม่เกี่ยวกับเรา เราอย่าตกไปเป็นทาสมัน เราไม่ต้องตามมันไป เรามีหน้าที่แค่รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นในแต่ละปัจจุบันขณะ

เราตื่นขึ้นมาทั้งวัน เรารู้แต่ละปัจจุบันขณะอยู่ไหม หรือเรามัวแต่ฟุ้งซ่านคิดโน่นคิดนี่ กังวลโน่นกังวลนี่ หาทางจะจัดการไอ้โน่นไอ้นี่ วนอยู่กับเรื่องอดีต วนอยู่กับเรื่องอนาคต วนอยู่กับคนโน่นคนนี้ เราต้องลองสังเกตว่าส่วนใหญ่ของชีวิตเราเอียงไปทางไหน ถ้ามันไปทางที่ไม่ใช่อยู่กับปัจจุบันรู้ปัจจุบัน เราต้องพิจารณาว่าอะไรที่เป็นเหตุให้เกิดการเอียงไปทางด้านฟุ้งซ่าน แล้วตัดทอน ลดละสิ่งที่เป็นเหตุนั้น เหลือเฉพาะสิ่งที่จำเป็นจริงๆ สิ่งที่ต้องทำจริงๆ

พวกเราปฏิบัติธรรม เราต้องหมั่นที่จะเป็นนักช่างสังเกต ชีวิตเรามีเรื่องที่เป็นส่วนเกินเยอะ จะไปคุยกับคนนี้จำเป็นไหม หรืออยากได้ความสนุกสนาน อยากได้ความพอใจก็เลยไป ให้พิจารณาดูว่ามันจำเป็นไหม

การปฏิบัติธรรมให้มีความก้าวหน้านั้น เราไม่ใช่เร่งความเพียร เพราะหลักการปฏิบัติคือ “รู้เท่าที่รู้ได้” สิ่งเดียวที่เราทำได้คือ การจัดสิ่งแวดล้อมให้เอื้อต่อการรู้เท่าที่รู้ได้นั้น รู้ได้มากที่สุด ก็คือการอุดรูรั่วต่างๆ สิ่งที่ไม่ต้องทำไม่ต้องทำ อะไรที่ไม่ต้องพูดไม่ต้องพูด เราจะมีเวลาอยู่กับตัวเองเยอะขึ้นมหาศาล ไม่ต้องดู YouTube แล้วกิริยาที่เรียกว่าเร่งความเพียรจะเป็นผลที่เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติปราศจากความอยากของอัตตาตัวตน

ให้การปฏิบัติธรรมมันอยู่ในวิถีชีวิตของเราทั้งหมด เราไม่ได้จะเป็นอะไร เราไม่ได้จะเป็นนักปฏิบัติธรรม เราแค่ใช้ชีวิตใหม่ ใช้ชีวิตอย่างเป็นผู้รู้ในทุกๆ สิ่งที่เป็นกิจกรรมในชีวิตเรา เราไม่ใช่ใช้ชีวิตอย่างเป็นผู้หลงเหมือนเดิม แล้วเราก็ไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างเป็นผู้ที่อยากจะรู้ เราแค่ใช้ชีวิตอย่างเป็นผู้รู้ ไม่มีอยาก

 

29-11-2562

Camouflage

 

YouTube : https://youtu.be/WXXXonbiN2g

คลิปเสียงธรรมะทั้งหมดของอาจารย์ Camouflage : https://goo.gl/RDZFMI

======================

5 ช่องทางการอ่านและฟังธรรม

1) Facebook : สุขกาย สุขใจ SookGuySookJai
http://www.facebook.com/sookguysookjai

2) Line : @camouflage.talk
https://lin.ee/hHJprqr

3) YouTube : สุขกาย สุขใจ SookGuySookJai
https://goo.gl/in9S5v

4) Website: https://camouflagetalk.com/

5) Podcast : Camouflage – Dhamma Talk
https://itun.es/th/t6Mzdb.c
https://camouflagetalk.podbean.com/