152.อยู่ให้ถูกที่

ตอนที่ 1 หายนะกำลังจะมาเยือน

เดินจงกรมก็ไม่มีอะไรมาก “ก็แค่รู้สึก” เราไม่ต้องตั้งเป้าอะไรมากกว่านั้น แค่เดินแล้วรู้สึกได้ไหมว่ามีความเคลื่อนไหว ถ้าแค่รู้สึกได้ก็โอเคแล้ว ไม่ต้องคิดว่าเราต้องรู้ละเอียด เราต้องรู้เยอะๆ เราต้องมีสติรู้ทันทุกการกระทบ ไม่ต้องคิดแบบนั้น

เพราะความสำคัญของสติปัฏฐานคือ “การรู้ตาม” เมื่อการกระทบเกิดขึ้นแล้วค่อยรู้ขึ้นมา แต่ถ้าเราไปจงใจรู้ แบบจะรู้ให้ได้ทุกอริยาบถ อันนั้นยังไม่ใช่สติปัฏฐาน เราไม่ต้องกลัวว่าแค่รู้สึกและไม่ต้องไปตั้งเป้าอะไรมากกว่านั้น จะทำให้เราเดินแล้วขาดสติมากกว่ามีสติ เพราะโดยธรรมชาติของเราที่กำลังอยู่ในรูปแบบ มันจะมีธรรมชาติอันนึงที่ก่อให้เกิด “ศิลปะในการรู้” แล้วเราจะรู้ศิลปะนั้นด้วยตัวเราเอง มันไม่ใช่เรื่องที่สอนกันได้

เราเดินแล้วก็รับรู้ความรู้สึกที่เกิดขึ้นทางร่างกาย รับรู้อารมณ์ความรู้สึกที่เปลี่ยนไปทางจิตใจ ถ้าเราเดินรับรู้อย่างนี้มันไม่มีเวลา มันรับรู้แต่ละขณะแล้วก็หมดไป เราเคยปฏิบัติจนรู้สึกไหมว่าถ้าเราจะเลิกเดินจงกรมเลิกนั่งสมาธิหรือเลิกมีสติเพื่อจะไปหาความบันเทิงอย่างอื่นทำ แล้วความรู้สึกมันเปลี่ยนว่าความบันเทิงที่เราเคยจะไปหาทำนั้นมันเป็นทุกข์ แต่การที่เรารับรู้กายและใจแต่ละขณะแต่ละขณะเท่าที่รู้ได้ไปเรื่อยๆ นี่เป็น “สภาพที่ไม่สุขไม่ทุกข์ ปกติ” เป็นสภาพที่เราจะพร้อมรับทุกความสุขและความทุกข์ที่มันอาจจะเกิดขึ้นในขณะใดขณะหนึ่งข้างหน้า พร้อมรับหมายความว่าพร้อมที่จะเรียนรู้มันอย่างที่มันเป็น แล้วเราก็จะมั่นใจได้ว่าถ้าเรามีความพร้อมที่จะรู้มันอย่างที่มันเป็น “เราจะไม่ทุกข์” แต่ถ้าเรายังไม่มั่นใจว่าเราพร้อมจะรับทุกข์นั้นไหมแปลว่าสมาธิเรายังไม่ดีพอ แต่จริงๆ ไม่มีเวลานั่งคำนวณแบบนี้หรอก

ในประสบการณ์จริงก็คือเมื่อไหร่ก็ตามที่เราเลิกที่จะรู้กายรู้ใจนี้ตามความเป็นจริง แล้วก็หลงเข้าไปอยู่ในความคิดปรุงแต่งหรือหลงไปอยู่ในอารมณ์ความรู้สึก ไม่ว่าความคิดปรุงแต่งนั้นหรืออารมณ์ความรู้สึกนั้นจะเป็นสภาพที่ยังไม่ก่อความทุกข์ก็ตามที เช่น คิดอะไรเพลินๆ ไปดูหนังฟังเพลงเพลินๆ ซึ่งไม่ใช่สภาพที่ทุกข์หรือสุขมากมาย การที่เราหลงเพลิดเพลินแบบนั้นตามประสบการณ์ผมที่เคยปฏิบัติธรรมมาผมจะรู้สึกได้ในขณะนั้นๆว่าหายนะกำลังจะมาเยือนข้างหน้าแล้ว

เคยสังเกตไหมว่าบางทีแค่สัญญา เรื่องราว หรือความคาดการณ์ในเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้นในอนาคตผ่านเข้ามาในใจ เราก็ทุกข์ตายแล้ว เพราะฉะนั้น ความทุกข์ที่บดขยี้เราอยู่ทุกขณะ เราจะประมาทเผลอเพลิน คิดว่าไปผ่อนคลายก่อน ถ้าอยากผ่อนคลายก็เตรียมตัวตายด้วยเอาให้พร้อมกันเลย

อย่าลืมว่าที่พวกเราปฏิบัติธรรมกันอยู่นี้มันเป็น “ขณิกสมาธิ” มันแวบๆ แล้วหมดไปอย่างรวดเร็ว เราไม่มีเวลาจะไปหลงอะไรมากมายกับเรื่องไร้สาระ ยุคนี้ก็เป็นยุคของสมาร์ทโฟนติดตัวเราไปทุกที่ กินข้าวแล้วก็ดู เข้าส้วมเราก็ดู นั่งเฉยๆ รออะไรเราก็ต้องดู เคยสังเกตไหมว่าทำไมเป็นแบบนั้น ผมว่าไม่ค่อยมีใครสังเกตว่าทำไมเราถึงทำแบบนั้น เดี๋ยวลองไปสังเกตกันดูนะว่าทำไมเรากินข้าวแล้วหยิบมือถือมาดู เข้าห้องน้ำแล้วหยิบมือถือมาดูหน่อย กินขนมก็หยิบมือถือมาดูด้วย สิ่งที่ผมเห็นคือเรารู้สึกว่าจะได้ไม่เสียเวลา กินไปดูไปหาข้อมูลไปได้ประโยชน์ได้สาระ คือรู้สึกว่าการดูนี่มันได้อะไรบางอย่าง ได้ทำอะไรที่มันเต็มประสิทธิภาพแบบ Multi-Tasking ปากก็เคี้ยว ตาก็ดู สมองก็คิด มันรู้สึกว่ามีประโยชน์ ได้ใช้งานครบทุกอายตนะดี เบื้องหลังคือรู้สึกว่าเราไม่อยากสูญเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ แต่จริงๆ เราโดนหลอก

เวลากิน เวลาเข้าห้องน้ำ เวลานั่งรออะไรเฉยๆ จะมีประโยชน์ทุกขณะเลยถ้าเรากำลังรู้สึกร่างกายที่กำลังนั่งอยู่ กำลังเคี้ยวอยู่ กำลังขยับเขยื้อนอยู่ กำลังรู้สึกจิตใจที่เดียวมันแว๊บไปคิด เดี๋ยวมันเพลินไปกับความอร่อย เดี๋ยวมันมีความสุขขึ้นมา นี่คือสิ่งที่เราจะได้อย่างแท้จริง แต่เราไม่เอา เพราะฉะนั้น ไปลองดู ไม่ต้องเอามือถือเข้าห้องน้ำ ไม่ต้องดูมือถือเวลากินอะไรก็ตาม

 

ตอนที่ 2 อยู่ให้ถูกที่

เวลาเดินจงกลม ถ้าสมมุติเราอยู่คนเดียว ผมก็แนะนำเพิ่มเติมว่าเราสามารถที่จะยืดเส้นยืดสาย แม้กระทั่งออกกำลังกายเล็กน้อยระหว่างการเดินก็ได้ เราจะพบว่ามันทำให้เราตื่นตัวขึ้น มันจะไม่ซึม การเดินจงกรมไม่ใช่สภาวะเซื่องซึมแต่เป็นสภาวะตื่น เพราะฉะนั้น การที่เราจะยืดเส้นยืดสายออกกำลังกายบ้าง มันก็ทำให้เราตื่นถือว่าโอเค

เพราะการเดินจงกรมในสมัยพุทธกาลพระพุทธเจ้าท่านถือว่าเป็นการออกกำลังกายของพระ ทำให้ร่างกายแข็งแรง ปรมาจารย์ตั๊กม้อก็ให้พระฝึกมวยจีน เพราะมันไม่ได้เกี่ยวกับท่าทาง มันเกี่ยวกับรู้สึก

ชีวิตของมนุษย์เราทุกคนแท้จริงเป็นการใช้ชีวิตที่ประกอบด้วยวิชชา ผมเคยบอกว่าเริ่มต้นเราต้องรู้ก่อนว่าตัวจริงของเราคือ “เราเป็นธาตุรู้” ธาตุรู้มีหน้าที่รู้ เหมือนเรามีร่างกายและจิตใจนี้อยู่ เราก็มีหน้าที่รู้มัน จิตใจนี้ยังไม่บริสุทธิ์ยังประกอบด้วยกิเลส เมื่อความยินดียินร้าย ความพอใจไม่พอใจ ความโลภ ความโกรธ ความหลงเกิดขึ้น เรามีหน้าที่รู้สิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ไม่ใช่มีหน้าที่เป็นไปกับมัน อันนี้คือหัวใจสำคัญอันนึง

ไม่ต้องไปคิดมากเลยว่าต้องมีสติ สมาธิ ปัญญา หรืออะไรที่มันดูยากๆ เอาแค่นี้พอ…เอาแค่รู้จักตัวจริงของเราคือ เราเป็นแค่ธาตุรู้ “มีหน้าที่แค่รู้” ถ้านอกเหนือจากนี้เรากลายเป็นอวิชชา เรากลายเป็นความไม่รู้ แล้วเมื่อเรากลายเป็นความไม่รู้ สิ่งที่เกิดขึ้นคือวงจรปฏิจจสมุปบาทจะเกิดขึ้นทันที นั่นคือวงจรแห่งความทุกข์

เพราะฉะนั้น การที่มีอารมณ์ความรู้สึกใดๆ เกิดขึ้นทางใจ แล้วเราก็ตามเข้าไปเป็นกับมัน เราเป็นมัน นั่นคือเราอยู่ในวงจรของอวิชชาเรียบร้อยแล้ว เราอยู่ผิดที่ผิดทางแล้ว เพราะฉะนั้น หลักการปฏิบัติธรรมสั้นๆ ก็คือ “อยู่ให้ถูกที่”

เราเดินจงกรม นั่งสมาธิบางครั้งเราอยู่ถูกที่ได้เป็นส่วนใหญ่ ผลลัพธ์ที่ได้คืออะไร บางครั้งก็รู้สึกว่าได้เห็นตามความเป็นจริง บางครั้งก็รู้สึกว่าช่วงนี้ไม่ค่อยมีทุกข์ พอดีขึ้นหน่อยเราก็ถูกกิเลสบอกว่าผ่อนคลายสักนิด…ไปล่ะ The Voice เช็ค Facebook หน่อย ส่องชาวบ้านวันนี้เขามีอะไรอัพเดทบ้าง ส่องเฉพาะคนที่ไม่ค่อยชอบเพราะอยากรู้เขาอัพเดทอะไร เขาถึงว่ายิ่งเกลียดยิ่งเจอ เพราะยิ่งเกลียดยิ่งอยากรู้เขาเป็นยังไงบ้าง

กิเลสก็จะหลอกเรา ให้เราไปเพลิดเพลิน อยู่ผิดที่ พออยู่ผิดที่แป๊บนึงทุกข์แล้ว ฉะนั้น มันอยู่ที่สติปัญญาของเราเองที่เราจะยอมทุกข์แล้วทุกข์อีก หรือว่าจะไม่เอาแล้ว จะอยู่ให้มันถูกที่มากที่สุดเท่าที่ได้ แต่ถ้าเราจะโง่ซ้ำซากอยู่ผิดที่เอง มันก็ไม่มีใครช่วยเราได้ ธรรมะก็มีทั่วประเทศไทย อยู่กับตัวเราตลอด เพราะว่าโทรศัพท์ติดตัวเราตลอด เวลากดเข้าไปก็ Podcast กดเข้าไปก็ YouTube แต่อยู่ที่ว่าจะฟังอะไรเท่านั้นเอง แต่ธรรมะที่แท้จริงคือตัวเราเอง คือการรู้อยู่ที่ตัวเราเอง ไม่ใช่การฟังอะไรหรอก

การปฏิบัติธรรมของเราแต่ละคนมันก้าวหน้าช้าหรือว่าไม่ได้ดั่งใจ ก็เป็นเพราะว่าเราไม่ค่อยอยู่กับตัวเอง การไปฟังธรรมได้อยู่กับตัวเองไหม ก็อยู่บ้างเพราะพอฟังแล้วเขาเรียกให้รู้สึกตัว เราก็รู้สึกตัวทีนึง เดี๋ยวฟังไปอีกเขาเรียกให้รู้สึกตัว เราก็รู้สึกทีนึง แต่มันไม่ใช่ทั้งหมด

ความก้าวหน้าที่แท้จริงคือการอยู่กับตัวเองจริงๆ ไม่ใช่การหาความเพลิดเพลินทางตาหูจมูกลิ้นกายใจแม้ว่าจะเป็นธรรมะก็ตาม ฟังธรรมก็เพลิดเพลิน ฟังว่าต่อไปเขาพูดอะไรนะ…เขาจะพูดอะไรอีกนะ ถ้าเรารู้หลักปฏิบัติแล้ว จริงๆ การฟังธรรมก็เป็นอุบายอย่างหนึ่งเฉยๆ บางเวลาจิตใจนี้ไม่มีกำลังใจ เราก็ฟังธรรมซะหน่อย บางทีมึนๆ งงๆ ในหลักปฏิบัติ ก็ฟังธรรมซะหน่อย ให้มันเป็นแบบนั้นก็พอ

แล้วพอมีกำลังใจ พอมีหลัก ทีนี้ก็อยู่กับตัวเองแล้ว อยู่เงียบๆ การที่เราฝึกแบบนั้นวันหนึ่งเราจะพึ่งตัวเองได้ คำว่าพึ่งตัวเองได้เนี่ยไม่ใช่แค่ว่าปฏิบัติธรรมได้ แต่คือพึ่งตัวเองได้เลย ไม่ต้องอยู่กับใครเลย

 

16-11-2562

Camouflage

 

YouTube : https://youtu.be/vKUsF-2zjmE

คลิปเสียงธรรมะทั้งหมดของอาจารย์ Camouflage : https://goo.gl/RDZFMI

======================

5 ช่องทางการอ่านและฟังธรรม

1) Facebook : สุขกาย สุขใจ SookGuySookJai
http://www.facebook.com/sookguysookjai

2) Line : @camouflage.talk
https://lin.ee/hHJprqr

3) YouTube : สุขกาย สุขใจ SookGuySookJai
https://goo.gl/in9S5v

4) Website: https://camouflagetalk.com/

5) Podcast : Camouflage – Dhamma Talk
https://itun.es/th/t6Mzdb.c
https://camouflagetalk.podbean.com/