148.พึ่งพิง

ตอนที่ 1 เป็นคนไท

อย่าลืมว่าการปฏิบัติธรรมแปลเป็นภาษาไทยคือ การเรียนรู้ว่ากายและใจนี้ทำงานยังไง เรียนรู้ลักษณะอาการที่กำลังเกิดขึ้นในการกายในใจนี้ว่าเป็นยังไง เรียนรู้สิ่งที่เราคิดว่าเป็นของเรานี้ว่ามันเป็นยังไง เราไม่ได้ต้องการให้มันดี แต่ถ้ามันดีมันก็เป็นบุญของเรา

เราปฏิบัติธรรมไม่ใช่เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ไม่ใช่เพื่อให้จิตใจดี เฉลยมีอยู่แล้วว่า “กายและใจนี้เป็นตัวทุกข์” มันเป็นทุกข์ เรามีหน้าที่เรียนรู้เพื่อจะเห็นตามได้จริงว่ามันเป็นทุกข์ เรายังไม่เชื่อว่ามันเป็นทุกข์จริงไหม พระพุทธเจ้าบอกเราว่ามันเป็นทุกข์ เรายังไม่เชื่อ เราจะลองดูว่าเป็นทุกข์จริงไหม เพราะฉะนั้น เรามีหน้าที่ดู เรียนรู้

ผมถึงเคยบอกว่าคนจำนวนมากเข้าใจว่าปฏิบัติธรรมแล้วอะไรๆ ก็ดีหมด อะไรๆ ที่เราอยากจะให้ดีมี 2 อย่างคือ กายกับใจ เพราะเรารักมากที่สุด ฉะนั้น มันเป็นความตื้นเขิน ความมืดบอด ความโง่เขลา ที่เรามาปฏิบัติธรรมเพื่อจะให้กายและใจนี้มันดี โง่ตั้งแต่ต้น การปฏิบัติธรรมก็เลยผิดตั้งแต่ต้น เพราะอยากให้มันดี

เพราะฉะนั้น ก่อนปฏิบัติธรรมต้องฉลาดก่อน มีเฉลยแล้วว่าเรามีหน้าที่เรียนรู้จนเห็นว่ากายและใจนี้เป็นทุกข์ล้วนๆ เป็นทุกข์ล้วนๆ แปลว่ามันไม่ใช่สุข ไม่มีสุขเลย ความเป็นสุขที่เรียกว่า “บรมสุข” มีเพียงอย่างเดียวคือ “ความเป็นอิสระจากกายและใจนี้” ด้วยความรู้สึกพ้นจากความยึดมั่นถือมั่นในกายและใจนี้ ไม่ใช่ทำให้มันดีได้ ไม่ใช่เปลี่ยนจากที่มันเป็นทุกข์ให้เป็นสุขได้ เรามีหน้าที่เดียวคือ เป็นอิสระจากมัน ด้วยการเรียนรู้ดูมันตามความเป็นจริง เรียนรู้จนรู้ว่ามันไม่ใช่เรา ใจมันเศร้า อยากให้มันหาย มันก็ไม่หาย ใจมันกลัว อยากให้มันไม่กลัว มันก็กลัวเหมือนเดิม ใจมันโกรธ อยากให้มันไม่โกรธ มันก็โกรธเหมือนเดิม เรียนรู้มันลงไป

อย่าลืมเราเรียนรู้ในแต่ละขณะเพื่อจะเป็นอิสระจากมัน ถ้าเรากำลังบอกว่าเราปฏิบัติธรรมอยู่ เรารู้อยู่ แต่พอรู้อยู่แล้วทนไม่ได้ว่า ทำไมมันเป็นแบบนี้ ขณะถัดมาก็คิดจะทำยังไงดี ขณะถัดมากลุ้มใจ ขณะถัดมาฟังธรรมดีกว่าเผื่อจะหาย ขณะถัดมาไปเข้าคอร์สดีกว่าเผื่อจะหาย ฉุกคิดขึ้นมาสักนิดนึงว่านี่อิสระไหม สิ่งที่กำลังเป็นอยู่นี่เรียกว่าอิสระไหม หรือเป็นทาสของอารมณ์ ทาสของความรู้สึก ที่ผมเคยบอกว่าเราเป็นคนไท “ไทแปลว่าเป็นอิสระ

 

ตอนที่ 2 พึ่งพิง

ต่อไปนี้ให้ทุกคนฟังให้ดี…เวลาเรามีการกระทบอารมณ์ กระทบผัสสะอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะผ่านมาทางการได้ยิน การเห็น การสัมผัสในช่องทางต่างๆ จะเกิดอารมณ์ความรู้สึกขึ้น อาจจะเกิดความไม่พอใจขึ้น หรือเกิดความพอใจขึ้น เมื่อเกิดความไม่พอใจขึ้นให้สังเกตตัวเอง เรามีความคิดทันทีว่าจะตอบโต้กับสิ่งๆ นั้นยังไง หรือว่าจะจัดการกับสิ่งที่กำลังได้ยินได้เห็นได้สัมผัสอยู่นี้ยังไง ฟังให้ดี…หน้าที่ของนักปฏิบัติธรรมทุกคน มีหน้าที่เห็นความไม่พอใจนั้นเกิดขึ้นแล้วในใจ สัมผัสรู้สึกถึงอาการที่เราไม่เป็นอิสระจากอารมณ์นั้นแล้ว จิตใจนี้มีภาระความหนักจากการติดอารมณ์นั้นๆ แล้ว เห็นแบบนี้ เปลี่ยนความเคยชินเก่าที่จะไปตอบสนองตามอารมณ์เป็นทาสอารมณ์ เปลี่ยนเป็นเห็นอารมณ์นั้น

คำสอนนี้พวกเราฟังมากันนานนับปี แต่เราฟังแล้วเราก็ละเลย เราคิดว่าเราทำไม่ได้ บางทีเราคิดว่าเรารู้ไม่ได้หรอก สมาธิเรายังไม่พอ เรายังมีสติไม่พอ ผมจะบอกวันนี้เลยว่านั่นคือความงี่เง่าของเราเองที่คิดแบบนั้น อดทนเห็นมันตรงๆ นั่นแหละ อดทนที่จะทิ้งความเคยชินเก่าที่จะตอบโต้ตอบสนอง คิดจัดการเป็นทาสอารมณ์เหล่านั้น อดทนที่จะทิ้งนิสัยเก่าๆ นั้นไปให้ได้ ผมรับรองเพียงแค่อึดใจเดียวที่เราหยุด ที่จะไม่ตามนิสัยเก่าๆ นั้น แล้วมาเห็นว่าเรากำลังเป็นทาสอารมณ์นั้นแล้ว จิตใจนี้หนักแล้ว จิตใจนี้ไม่เป็นอิสระแล้ว ทันใดนั้นมันจะแยกออกเลย อารมณ์นั้นจะเป็นแค่สิ่งที่ถูกรู้ อารมณ์นั้นจะเป็นแค่สิ่งแปลกปลอมที่เมื่อกี้นี้มันไม่มี แต่ตอนนี้มันมี มันจะเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ครอบงำเราไม่ได้ แล้วสุดท้ายมันจะผ่านไป มันจะจางคลายไป มันจะดับไป

เพราะฉะนั้น ฟังให้ดีเรื่องที่ฟังมาแล้วไม่รู้กี่ร้อยกี่ล้านครั้ง ฟังให้ดีว่า “เราทุกคนทำได้” ที่พึ่งเพียงอันเดียวของชีวิตเราทุกคน คือ “ตัวเราเอง” อย่าคิดที่จะพึ่งพิงคนอื่น อย่าคิดที่จะพึ่งพิงลูกหลานเหลนโหลน อย่าคิดจะพึ่งพิงเพื่อน อย่าคิดจะพึ่งพิงแฟน คนเดียวที่รักเรามากที่สุดคือตัวเราเอง ฉะนั้น เราพึ่งพิงตัวเอง ทำตัวเองเป็นที่พึ่งของตัวเองให้ได้ ไม่อย่างนั้นชีวิตนี้จะมีแต่ทุกข์

เคยได้ยินคนที่เป็นแบบนี้ไหม…ไม่พอใจว่าทำไมไอ้นี่ไม่ทำอย่างนี้ให้เรา ทำไมไอ้นั่นไม่ทำอย่างนั้นให้เรา ทำไมมันทำอย่างนี้กับเรา นี่คือชีวิตที่พึ่งพิงคนอื่น แล้วเขาจะต้องบ่นอย่างนี้ทั้งชีวิตนั่นแหละ

 

ตอนที่ 3 Pattern เดิมๆ

ชีวิตของทุกคนเวลามีความทุกข์…ก่อนที่เราจะมาปฏิบัติธรรม เรามีนิสัยคล้ายๆ กันอย่างหนึ่งคือ เราต้องการระบาย เราอยากหาคนรับฟังเรา อยากหาคนเข้าใจเรา ผมว่าทุกคนก็เป็นไม่มากก็น้อย ความรู้สึกแรกก็คือสบายใจที่มีคนรับฟังเรา มีคนเข้าใจเรา มันคือวิถีแห่งความเป็นอัตตาตัวตน ผมก็เคยทำแบบนั้นเหมือนกัน ทุกข์ก็อยากระบายหาคนเข้าใจ จนวันหนึ่งผมเห็นชีวิตตัวเองที่เป็นแบบนั้น คือเราใช้ชีวิตอยู่ใน Pattern เดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยไม่เอะใจเลยว่ามันไม่ได้แก้ปัญหาอะไรเลย

แต่สมัยนั้นเราไม่รู้จักการปฏิบัติธรรม เราไม่มีทางออก เราไม่รู้จะทำยังไง เราไม่รู้จักว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เราพูดเรื่องเดิมซ้ำๆ เรื่องอกุศลซ้ำๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก พูดความทุกข์ที่เรามีซ้ำแล้วซ้ำอีก จิตมันจำ มันเป็นมโนกรรม มันตอกย้ำว่าเราเป็นแบบนั้นจริงๆ ต่อให้เรื่องนั้นมันจะจริงแค่ไหนก็ตาม เราโดนกระทำแบบนั้นจริงๆ ก็ตาม มีเหตุมีผล คิดตามเหตุตามผลว่ามันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็ตาม แต่กรรมมันไม่เว้น ต่อให้เป็นเรื่องที่เราถูกกระทำจริงๆ แต่มันคืออกุศล มันคือน้ำดำน้ำสกปรกที่เราคอยเติมใส่ใจตัวเองทุกวัน

ถ้าเราเข้าใจการปฏิบัติธรรมแล้วเราจะรู้ว่ามันไม่ใช่ทางแก้ ทางแก้คือว่ารู้เหตุเพราะว่าเรานี้ยังยึดมั่นถือมั่นกับความเป็นตัวเรา ต้องทำลายความยึดมั่นถือมั่นหรือความเห็นผิดที่มีเราจริงๆ นี้ไปให้ได้ การระบายตอกย้ำอกุศลเข้าไปในใจเรา มันไม่ใช่ทาง มันมีแต่ทำให้ทางนี้มันเนิ่นนานขึ้นในการทำแบบนั้น

ทุกครั้งที่มีความทุกข์ ผมจึงกลับมาที่ตัวเอง อะไรทำให้เราทุกข์ มันคือความไม่พอใจ ผมก็คิดว่าเราไม่อยากทุกข์ เราอยากได้รับแต่ความพอใจ มีไหม…เราจะมีชีวิตแบบนั้นได้ไหม ที่ได้รับแต่ความพอใจอย่างเดียว มันไม่มี เพราะฉะนั้น สิ่งที่ทำให้เราแก้ปัญหาความทุกข์ทั้งหลายได้คือ เราต้องไปถึงต้นเหตุที่แท้จริงที่ยังทำให้เราเกิดความยินดีพอใจหรือความไม่ยินดีไม่พอใจอยู่ได้

บุคคลที่ละแล้วซึ่งความยินดีพอใจและความไม่ยินดีไม่พอใจก็คือ พระอนาคามี พูดละเอียดหน่อยก็ความยินดีพอใจ ความไม่ยินดีไม่พอใจหยาบๆ นั้นท่านได้ละแล้ว แต่ในทางละเอียดก็ยังมีสังโยชน์ที่จะต้องละต่อไปจนเป็นพระอรหันต์

เรามีงานที่ต้องทำกันอีกมาก ทางที่เราต้องเดินยังอีกไกล ถ้ายังมัวทำนิสัยที่เพิ่มแต่อัตตาตัวตน ทำนิสัยที่เป็นความเคยชินเก่าๆ ทางที่ว่าไกลก็ยิ่งไกลออกไปอีก แล้วก็ไม่มีวันที่จะแก้ปัญหาความทุกข์ที่มีอยู่ได้ในตอนนี้

มองชีวิตให้มันกว้างไกล เหมือนที่ผมเคยบอกว่าผมเล่นหมากฮอส เราจะโดนมืออาชีพหลอกให้เรากิน เดินมาให้เรากิน สุดท้ายเค้ากินเราทั้งกระดาน เราต้องเป็นคนคนนั้น เราเดินทางบนเส้นทางนี้เพื่อสุดท้ายเราจะกินทั้งกระดาน เพราะฉะนั้น เราต้องเข้าใจเกมของชีวิตนี้ เกมของกิเลส

 

ตอนที่ 4 ทุกคนมีสิ่งที่เท่ากันในตอนนี้ คือ เวลา

ร่างกายนี้ต้องเสื่อม โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ต้องมา ตามกรรมที่เรามี เราหนีไม่ได้ จำไว้เลยว่าเราหนีไม่ได้ กรรมต้องรับ อย่าคิดว่าเราจะรักษาทุกโรคได้ เรามีหน้าที่รับรู้ว่าตอนนี้เป็นแบบนี้ ดูแลเท่าที่ปัญญาจะมี ไม่ใช่ดูแลภายใต้ความบ้าความกลัว

สิ่งที่ผมเห็นอย่างเดียวก็คือเราทุกคนมีกรรม ถ้ามันยังไม่ถึงเวลาที่กรรมนั้นหมดเราต้องรับกรรมนั้น เราหนีกรรมไม่ได้ แต่ถึงเวลามันจะหมดกรรม มันก็หายไปซะดื้อๆ อย่างนั้น

ถ้าเราตระหนักชัดว่าชีวิตเราอยู่ภายใต้กรรม เมื่อความทุกข์เกิดขึ้น เราปฏิบัติต่อความทุกข์นั้นให้ถูกต้อง ร่างกายจะต้องป่วยไม่ว่าใครจะแข็งแรงแค่ไหนตั้งแต่เด็กจนโต วันนึงมันจะป่วย เพราะมันต้องตาย ถ้ามันไม่ป่วย มันตายไม่ได้ นี่เป็นความจริงที่เราจะต้องรับว่าวันหนึ่งเราจะต้องป่วย

สิ่งที่เรามีเท่ากันในตอนนี้คือ “เวลา” นับตั้งแต่วินาทีนี้เรามีเวลาเท่ากันที่เราจะใช้แต่ละวินาทีให้คุ้มค่าที่สุด ที่จะพ้นไปจากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายของร่างกายนี้ได้ เราไม่มีเวลาพอที่จะคอยมาแก้สิ่งเหล่านี้ให้มันดี เวลาทั้งหมดเราต้องทุ่มเทไปให้กับการที่จะมีปัญญาพ้นไปจากความยึดมั่นถือมั่นในกายและใจนี้ให้ได้ เราไม่มีเวลาที่จะคอยตีโพยตีพายว่าทำไมเราถึงต้องรับกรรมแบบนี้ ทำไมเราเป็นแบบนี้อยู่คนเดียว ทำไมคนอื่นไม่เห็นเป็นแบบนี้ เวลาเราทุกข์มากๆ มันหนีไม่พ้นหรอกว่าเราจะคิดแบบนี้ แต่เราต้องฉลาดพอที่จะรู้ว่าการทำแบบนี้มันไม่ช่วยอะไรเลย รังแต่จะทำให้จิตใจผิดปกติ แล้วที่ผมบอกมันก็วงจรเดิม พอจิตใจผิดปกติ ร่างกายจะผิดปกติไปอีก เดี๋ยวก็ป่วย

เพราะฉะนั้น เราหนีการกระทบในสิ่งต่างๆ สถานการณ์ต่างๆ กับคนต่างๆ และจิตใจก็ปรุงอารมณ์ขึ้นมาในไม่เชิงโลภโกรธหลง ในความเข้มข้นต่างๆ เราหลีกหนีธรรมชาติของการที่เราเป็นมนุษย์แบบนี้ไม่ได้ สิ่งเดียวที่เราทำได้คือ “ไม่เพิ่ม” และนั่นคือการรักษาความเจ็บป่วยทั้งหลายในกายในใจนี้อย่างสมบูรณ์ที่สุด ก็ด้วย “กิริยาแค่รู้” เรามีหมออยู่แล้วคือพระพุทธเจ้า “คำสอนของพุทธเจ้าเป็นหมอของเรา

 

02-11-2562

Camouflage

 

YouTube : https://youtu.be/99xkfewym28

คลิปเสียงธรรมะทั้งหมดของอาจารย์ Camouflage : https://goo.gl/RDZFMI

======================

5 ช่องทางการอ่านและฟังธรรม

1) Facebook : สุขกาย สุขใจ SookGuySookJai
http://www.facebook.com/sookguysookjai

2) Line : @camouflage.talk
https://line.me/R/ti/p/%40camouflage.talk

3) YouTube : สุขกาย สุขใจ SookGuySookJai
https://goo.gl/in9S5v

4) Website: https://camouflagetalk.com/

5) Podcast : Camouflage – Dhamma Talk
https://itun.es/th/t6Mzdb.c
https://camouflagetalk.podbean.com/