137.The Independent Energy Field สนามพลังงานอิสระ โดย Camouflage

ตอนที่ 1 รู้จักแยกแยะ

บางทีนักปฏิบัติธรรมฟังเรื่องความคิดแล้วเพี้ยน คิดว่าความคิดเป็นอุปสรรค เป็นเรื่องไม่ดี ตราบใดที่เรายังไม่เข้าใจหลักว่า การปฏิบัติธรรมนั้นคือ การเห็นโลกนี้ตามความเป็นจริง เห็นกายและจิตนี้ตามความเป็นจริง เราจะยังคงปฏิบัติผิดอยู่อย่างต่อเนื่อง เช่น เราคิดว่าความคิดเป็นอุปสรรค ความฟุ้งซ่านเป็นอุปสรรค แต่อุปสรรคที่แท้จริง คือ ตัวของเราเอง ตัวของเราที่ต้องการให้จิตเป็นแบบนั้นหรือเป็นแบบนี้ หรือไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้น ไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้ นี่คืออุปสรรคที่แท้จริง

เราไปฟังคำสอนจิตว่าง พอมันไม่ว่างเราก็มีปัญหา มีความคิดว่าต้องว่างถึงจะดี ไม่ว่างนั้นไม่ดี พอไปฟังเรื่องสงบกับฟุ้งซ่าน ก็คิดว่าฟุ้งซ่านไม่ดี สงบดี พอไปฟังจิตสบายกับจิตอึดอัดจิต ก็คิดว่าจิตสบายดี จิตอึดอัดไม่ดี เบื้องหลังคืออะไร? “ตัวเรา

ลำพังจิตใจที่มีอวิชชามีความหลงผิด มันก็อยากได้แต่ของดีๆ อยู่แล้ว พอมีคนมาบอกเราว่าไอ้นั่นดีไอ้นี่ดี ให้เป็นแบบนั้นแบบนี้อีก ยิ่งประทับตราตรึงเข้าไปว่าต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ถึงจะดี แต่เราก็ต้องโทษตัวเองว่าฉลาดไม่พอเองที่จะรู้ว่าการปฏิบัติธรรม คือ การเห็นตามความเป็นจริง ไม่ต้องโทษคนอื่น

มีคนเคยถามหลวงปู่ดูลย์ว่า ทำไมที่นั่นเขาสอนอย่างนี้ ที่นี่ก็สอนอย่างนั้น หลวงปู่บอกว่า เขาสอนที่เขารู้ เขาไม่ได้จะโกหกเราหรอก แต่เขาสอนได้เท่าที่เขารู้ได้แค่นั้น เพราะฉะนั้น มันเป็นเรื่องที่เราต้องฉลาดเอง มีปัญญาเอง รู้จักแยกแยะอะไรเป็นทาง อะไรไม่ใช่ทาง ไม่ใช่มีแต่ความเชื่อ ความศรัทธา ความงมงายไปเรื่อยๆ ถ้าไม่พ้นทุกข์ ก็ซวยที่ตัวเองนั่นแหละ คำสอนผมก็เหมือนกัน ฟังแล้วใช้ปัญญาให้มาก ไม่ใช่ใช้ความเชื่อ ความศรัทธา ความงมงาย

 

ตอนที่ 2 เห็นตามเป็นจริง…เป็นกลาง…อิสระ

การที่เรามีตัวเราอยากให้จิตเป็นแบบนั้นเป็นแบบนี้ รู้สึกไหมว่ามันเป็นความไม่อิสระ เราติดอยู่…เราติดอยู่กับไอเดีย ติดอยู่กับความสุข ถ้าเรายังติดอะไรอยู่ แล้วยังทำอยู่อย่างนั้น เราจะถึงความเป็นอิสระได้ไหม?

เส้นทางที่พระพุทธเจ้าสอนเราทุกคน จุดสูงสุดของศาสนาพุทธ คือ “เส้นทางไปสู่ความเป็นอิสระ” ท่านจึงใช้คำว่า “หลุดพ้น” ถ้าเราหลุดพ้นจากอะไรก็เป็นอิสระใช่ไหม? ถามตัวเองว่าตั้งแต่เกิดจนถึงวันนี้ เคยรู้สึกถึงความอิสระบ้างไหม?

มาปฏิบัติธรรมก็ปฏิบัติผิด จะเอานี่เอานั่น ต้องเป็นอย่างนี้เป็นอย่างนั้น อย่างนี้ไม่ดีต้องอย่างนั้นถึงจะดี ถ้าติดอะไรอยู่นี่ไม่ดี ต้องหลุดถึงจะดี มันมีดีไม่ดีได้เพราะอะไร? เพราะเราเป็นเจ้าของมัน ถ้าคนอื่นติด เราก็เฉยๆ ใช่ไหม แต่พอเราติดนี่ไม่ดี ต้องแก้ หาทางปล่อยวาง เดือดร้อน ทำไม? เพราะมีความเป็นเจ้าของ เพราะฉะนั้น จิตใจเราจะต่างอะไรกับตอนที่เรายังไม่ปฏิบัติธรรม มันก็เหมือนกันน่ะ ทำนิสัยเดิม

บางคนก็จะบอกว่ามันจิตมันเป็นอย่างนั้น แต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยใช่หรอก เราเองนั่นแหละเป็นแบบนั้น จะเอาดี ไม่ดีทนไม่ได้ เป็นกันใช่ไหม? เดี๋ยวก็ไปคิดแล้ว…อุ้ย! ไม่ดี อุ้ย! ฟุ้งซ่าน ต้องกลับมารู้สึกตัว เป็นแบบนี้กันไหม?

เปรียบเทียบกับถ้าผมบอกอีกแบบนึงว่า จิตไปคิดแล้ว…รู้ว่าไปคิดแล้ว มันกลับมาที่ความรู้สึกตัว…รู้ความรู้สึกตัวเกิดแล้ว อันนี้มีไม่ดีกับดีไหม? ทำให้คล้ายๆ กันนะ แต่ถ้าหัวใจการปฏิบัติมันอยู่กันคนละหัวใจเนี่ยมันไปคนละทางเลยนะ เดินคนละเส้นเลย สองคนพูดเหมือนกันเปี๊ยบเลย อธิบายคนอื่นว่าปฏิบัติยังไงเหมือนกันเปี๊ยบเลย แต่คนละใจ เพราะฉะนั้น มีใจที่เห็นตามความเป็นจริง นี่คือเส้นทางที่จะนำไปสู่อิสรภาพได้ เพราะเมื่อเห็นตามความเป็นจริง จิตใจนี้จะเกิดความเข้าใจ พอมันเข้าใจมันก็เป็นกลาง

เหมือนเรามีแฟน มีสามีมีภรรยาหรือมีลูก หรือถ้าเป็นลูกก็มีพ่อมีแม่ ถ้าคนเราอยู่ด้วยกัน เราก็รู้ธาตุแท้ของกันใช่ไหม แต่ละคนรู้ธาตุแท้ของกันและกัน ทุกคนมีนิสัยไม่ดีแต่ทำไมเรายังอยู่กันได้ เพราะมันเกิดการเห็นตามความเป็นจริงแล้วเข้าใจ ภาษาพวกเราก็จะแบบ เออ! ก็เขาเป็นอย่างนี้แหละ ทำไมเออ! เขาเป็นอย่างนี้แหละ? แปลว่าอะไร? มันเข้าใจ มันก็ไม่เดือดร้อนแล้ว เป็นกลาง

เป็นกลางแล้วเป็นยังไง? ก็อิสระจากการกระทำของคนคนนั้นที่เราต้องอยู่ด้วย เขาก็ทำเหมือนเดิมนั่นแหละ แต่เราไม่ทุกข์แล้ว ไม่มีอิทธิพลกับเราแล้ว ทำไม? ก็หลุดพ้นแล้ว มันเกิดจากอะไร เกิดจากเห็นตามความเป็นจริง จนเข้าใจ แล้วก็เป็นกลาง แต่ถ้าเราคอยแก้เขา ทำไมยังทำอย่างนี้อยู่ ต่อไปห้ามทำอีกแล้วนะ เธอต้องดีกว่านี้…แก้เขาจนตายก็แก้ไม่ได้หรอก แล้วก็มีแต่คนทุกข์ในที่สุด เพราะว่าไม่มีใครเป็นกลางเลย

เหมือนเราปฏิบัติธรรม เราก็จะแก้จิตใจนี้ให้มันดีอย่างที่เราคิดให้ได้ จัดแจง ปรับแต่ง หรือทำอะไรที่เราชอบทำกัน ทำให้มันดีอย่างที่เราคิดว่าดี ฟังมาว่าดี คนสอนมาว่าดี ถ้าเราทำแบบนั้น มันก็เหมือนเราพยายามปรับแฟนเรา ปรับลูกเรา ปรับสามีภรรยาเรา ปรับจนตายก็ทุกข์เหมือนเดิม เพราะเราเริ่มผิด เวลาปรับมัน สังเกตว่ามันแนบเนียนนะ เราปรับลูกเรา ปรับเมียเราปรับสามีเรา มันดีได้แป๊บเดียว เหมือนเราทำจิตให้มันดี สบาย ว่าง สงบ ไม่ทุกข์ อิสระ แต่แป๊บเดียว…แล้วก็กลับมาเหมือนเดิม พอปรับอีกก็เหมือนกับด่ามันอีก ทำไมมึงยังทำแบบนี้อีก เพราะฉะนั้น นี่ไม่ใช่ทาง เปรียบเทียบง่ายๆ แบบนี้

ทางมีทางเดียว เห็นตามความเป็นจริง อย่าไปเลอะเทอะขนาดว่าต้องทำอย่างอื่นก่อนถึงจะเห็นตามความเป็นจริงได้ บางคนก็เพี้ยนขนาดว่าต้องไปทำผิดก่อนถึงจะรู้ว่าถูกเป็นยังไง นี่บ้าเลยนะ ฟังธรรมะครูบาอาจารย์แล้วก็เอามาผสมเละเทะหมด แยกแยะอะไรไม่ได้ คำว่า ผิดก่อนถึงจะรู้ว่าถูก คือหมายความว่าเรารู้หลักแล้ว เห็นตามความเป็นจริงอยู่นี่แหละ แล้วเดี๋ยวมันเดือดร้อน มันอดทนเห็นไม่ได้ มันเข้าไปทำอะไร หรือหลงไปบ้าง นี่คือเรียกว่าอยู่ในทางนี้แหละ แต่มันเดี๋ยวซ้ายเดี๋ยวขวาบ้าง เขาเรียกว่ามันต้องมีผิดแล้วก็จะรู้ว่าถูกเป็นยังไง ไม่ใช่ไปทำผิด นั่นคือไปคนละเส้นทางเลย แล้วบอกต้องไปนู่นก่อนแล้วค่อยมานี่ได้ นี่เพี้ยนนะ

ผมเห็นคนใกล้ตัวผมปฏิบัติธรรมมาไม่รู้กี่ปี ผมถามว่าทำไมต้องกลับมารู้สึกตัว เขาบอกว่าก็ไปคิดมันไม่ดีนี่ จะให้มันอยู่ในความคิดเหรอ ผมบอกว่ารู้สึกไหมว่า รู้สึกตัวนี่มันดี ไปคิดนี่มันไม่ดี จะเอาอันนี้ไม่เอาอันนั้น เนี่ยเจ๊งตั้งแต่ก้าวแรกเลยนะ เพราะอะไร? เพราะไม่มีหลัก

ให้เข้าใจว่าเราจะไปสู่อิสรภาพได้ ด้วยการเห็นตามความเป็นจริง เพราะการเห็นตามความเป็นจริงจะพาจิตใจนี้เข้าถึงความเป็นกลาง แล้วความเป็นกลางต่อสรรพสิ่ง คือ “ประตูสู่ความหลุดพ้น

ถ้าเรามัวเอานี่เอานั่น ไม่เอานี่ไม่เอานั่น ไม่มีวันเป็นกลาง ถ้าไม่มีวันเป็นกลางก็ไม่มีวันหลุดพ้น ความหลุดพ้นที่ได้จากการปรับแต่งจิตใจ เป็นความหลุดพ้นชั่วคราวไม่ใช่อิสรภาพที่แท้จริง

 

ตอนที่ 3 สนามพลังงานอิสระ

อิสรภาพที่แท้จริงหาไม่ได้ในโลกนี้ ที่ผมถามคำถามตั้งแต่แรกว่าพวกเราเคยรู้สึกเป็นอิสระกันบ้างหรือยัง ไม่มีทางที่เราจะเคยรู้สึก เพราะเส้นทางไปสู่อิสรภาพที่แท้จริง อาศัยการปฏิบัติธรรมที่ถูกต้อง คือการเห็นตามความเป็นจริงเท่านั้น

อิสรภาพที่แท้จริง คือ การที่ไม่มีสิ่งใดไม่ว่ากายหรือจิตนี้จะมีอิทธิพลต่อเราได้ อิสรภาพที่แท้จริงเป็นสภาพที่ไม่มีอัตตา ไม่มีคนที่จะชอบหรือไม่ชอบอะไรก็ตามที่มาเกี่ยวเนื่องด้วย ทุกอย่างเป็นเหตุปัจจัยซึ่งกันและกัน เราหนีไม่พ้นในการมีความเกี่ยวเนื่องกัน แต่สิ่งที่เรามีได้ คือ ความเป็นอิสระจากความเกี่ยวเนื่องนั้นๆ

ตัวเราที่แท้จริงเป็นเพียงสนามพลังงานที่เป็นอิสระ นี่คือ อิสรภาพในศาสนาพุทธ มันลึกซึ้งขนาดที่ผมบอกว่าเรายังคงต้องมีปฏิสัมพันธ์ มีสมมติ หรือมันมีเหตุปัจจัยที่เนื่องกันในชีวิตของเราของเขาในฐานะ เช่น อาจารย์ ลูกศิษย์ เพื่อน แต่สิ่งที่ต่างไปคือ มีความรู้สึกที่เป็นอิสระ

เพื่อจะไปถึงจุดๆ นั้น หลักปฏิบัติต้องแม่น “มาก” ไม่ใช่แค่แม่น

ถ้าจะทำอะไร ให้เราทบทวนก่อน สิ่งที่จะทำนี้มันใช่การเห็นตามความเป็นจริงไหม? หรือใครให้เราทำอะไร ให้เราทบทวนก่อน สิ่งที่ให้ทำนั้น ให้เห็นตามความเป็นจริงไหม?… ถามตัวเอง ไม่ต้องมีเรื่องกับคนบอก

การเห็นตามความเป็นจริงเป็นลักษณะของความเป็นพุทธะ เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เป็นความอิสระเบื้องต้น เราเริ่มที่ความอิสระ ที่ผมเคยบอกว่าการปฏิบัติธรรมมันเริ่มที่นี่และจบที่นี่ ให้เข้าใจแบบนั้น ไม่ใช่ว่าต้องไปเป็นนั่นเป็นนี่ ทำให้เป็นงั้นทำให้เป็นงี้ก่อน เราฝึกที่จะไม่เป็นอะไร ไม่ใช่เป็นนู่นเป็นนี่ก่อน แล้วค่อยไม่เป็น

การปฏิบัติธรรมที่ไม่มีหลักจะมีแต่ความดิ้นรน อยากดี อยากดีกว่านี้ จะทำยังไงให้ดีกว่านี้ ทั้งหมดมันตกจากการเห็นตามความเป็นจริง

เคยฟังเพลงพี่เต๋อ เรวัตไหม “คนหนอคน เป็นอะไรกันหรือคน ไยจึงวกวน ทั้งค้นทั้งคว้าไขว่ หรือว่าคนเราไม่รู้ไม่เข้าใจ ว่าความเป็นคนอยู่ตรงไหน”…ความเป็นคนว่าอยู่ตรงที่ดิ้นรนและคว้าไขว่นั่นแหละ ไม่อยู่ตรงไหนหรอก อยู่ตรงนั้นเลย เพราะฉะนั้น เราปฏิบัติเพื่อจะพ้นจากความเป็นคนไปสู่ความอิสระ

ตัวเราที่แท้จริงเป็นเพียงแค่สนามพลังงานอิสระ จำไว้ก่อน ภาษาครูบาอาจารย์เราก็เรียกว่า ธาตุรู้ ธรรมธาตุ พุทธะ สภาพที่พ้นจากความปรุงแต่งทั้งปวงแปลว่าอิสระใช่ไหม? Independent Energy Field (สนามพลังงานอิสระ)

 

07-09-2562

Camouflage

 

YouTube : https://youtu.be/TFkekT9s42Y

คลิปเสียงธรรมะทั้งหมดของอาจารย์ Camouflage : https://goo.gl/RDZFMI

======================

5 ช่องทางการอ่านและฟังธรรม

1) Facebook : สุขกาย สุขใจ SookGuySookJai
http://www.facebook.com/sookguysookjai

2) Line : @camouflage.talk
https://line.me/R/ti/p/%40camouflage.talk

3) YouTube : สุขกาย สุขใจ SookGuySookJai
https://goo.gl/in9S5v

4) Website: https://camouflagetalk.com/

5) Podcast : Camouflage – Dhamma Talk
https://itun.es/th/t6Mzdb.c
วิธีการติดตั้ง https://goo.gl/tBMY9S