132.ทำไม “ยาก”

ตอนที่ 1 เหตุปัจจัย ไม่ใช่เหตุผล

เดินสบายๆ เป็นธรรมชาติ อย่าไปตั้งว่าจะเอาอะไร เดินก็แค่รู้สึก รู้สึกแล้วก็หมดไป เดี๋ยวก็หลงไป ก็รู้ขึ้นมา เราไม่ประคองความรู้สึกที่จะต้องรู้เอาไว้ มันแค่เป็นการรู้หน้าที่เฉยๆ ว่า เออ…เดินจะรู้เนื้อรู้ตัว เหมือนรู้หน้าที่ของชีวิต แต่ไม่ได้เป็นการบังคับ ไม่ได้เป็นการประคองรู้

เวลาที่ปฏิบัติถูก คือ เวลาที่เหมือนไม่ได้ปฏิบัติ มันไม่มีความตั้งใจจงใจจะรู้ ผมจึงบอกว่า “อย่าเป็นนักปฏิบัติ” มันเกินจากแค่รู้สึก การจะเป็นอะไรขึ้นมานั้นผิดธรรมชาติ เพราะความเป็นอะไรขึ้นมานั้นเป็นเรื่องของอวิชชา ความที่เราเป็นนักปฏิบัติ…เราจะเอารู้ เราจะเอาไม่หลง เราจะเอาดี มันเลยเพี้ยน แต่ถ้าเป็นการใช้ชีวิตอย่างถูกต้องเฉยๆ คือ มีกายก็รู้ มีจิตใจก็รู้ เราก็รู้เท่าที่รู้ได้ เท่าที่รู้ได้ หมายความว่า มันรู้มากก็รู้ว่ามันรู้มาก มันรู้น้อยก็รู้ว่ามันรู้น้อย ก็แค่นั้นเอง

โลกนี้เป็นเรื่องของเหตุปัจจัย ไม่ใช่เรื่องของเหตุผล เหตุผลนี่มันตามเราอยาก ตามเราชอบ ตามทิฏฐิ ตามอคติ ตามความเชื่อของเรา เราว่าอย่างนี้มีเหตุมีผลนั่นคือ ตามความเชื่อเราเอง คนอื่นเขาไม่ว่ากับเราด้วย แต่เหตุปัจจัยเป็นสิ่งที่เป็นกฎธรรมชาติ มีเหตุอย่างหนึ่งผลอย่างหนึ่งจะเกิดขึ้น แต่เป็นเหตุผลในเชิงของเหตุปัจจัย ไม่ใช่เหตุผลตามความเชื่อ ความอยากจะเชื่อของเรา

เหมือนเราเคยฟังเรื่องจิตดวงสุดท้ายก่อนตาย ถ้ามีอารมณ์ของกิเลส เช่น มีโทสะ เขาบอกว่าลงนรกเลย ทำดีทั้งชีวิตก็ลงนรก มันไม่มีเหตุผลทางความคิดความเชื่อ รู้สึกว่ามันไม่มีเหตุผล แต่มันเป็นเรื่องของเหตุปัจจัย เป็นแบบนั้น

เหมือนเรื่องการปฏิบัติธรรมด้วยขณิกสมาธิ เรื่องของการไม่ทำอะไร เรื่องของการรู้เป็นขณะๆ ไป แค่ขณิกสมาธิ เรื่องของการไม่แทรกแซงจิตใจนี้ ไม่จัดการ ไม่ควบคุม ไม่ทำตาม แค่รู้แค่เห็น เป็นเหตุปัจจัยใหม่ในชีวิตของเรา จากที่เราเคยทำตามกิเลสในจิตใจทุกอย่าง จากที่เราเคยบังคับจิตใจนี้ให้มันดี เรากลับแค่รู้แค่เห็นอย่างที่มันเป็น มันจะเกิดปรากฏการณ์ใหม่ในท้ายที่สุด ที่เรียกว่า “บรรลุธรรม” ถ้าเราไม่ทำแบบเดิม สิ่งใหม่จะต้องเกิดขึ้น สิ่งนั้นพอดี เรียกว่า การบรรลุธรรม นี่เป็นเรื่องของเหตุปัจจัย

คิดแล้วมันก็เหมือนกับกิเลสในจิตใจนี้ ก็เคยสั่งเราได้ทุกอย่าง ทำได้ทุกอย่าง อยากดีมันก็สั่งให้เราบังคับมัน อยากมีความสุขมันก็จะให้เราตามใจมัน แต่วันนึงมันสั่งเราไม่ได้ มันต้องปฏิวัติตัวเอง…ไปเองดีกว่ากู กิเลสในจิตใจก็เหมือนผี ถ้าผีมาหลอกเราแล้วเราไม่กลัว มันก็เลิกหลอกเรา มันไปหลอกคนอื่นดีกว่ามันไม่สนใจ

 

ตอนที่ 2 นอกเหตุเหนือผล

พอเราปฏิบัติธรรมมากๆ เข้า เราเห็นโลกนี้มันเป็นไปตามเหตุปัจจัย แม้ว่าสิ่งที่ดูไม่สมควรไม่มีเหตุผล ไม่ควรทำแบบนี้เลย มันผิด น่าโกรธน่าเคือง น่าสารพัดจะน่า เราจะเห็นในเชิงของเหตุปัจจัย แต่อยู่ในโลกก็ต้องมีผิดมีถูกนะไม่อย่างนั้นมันอยู่กันไม่ได้ มันควบคุมกันไม่ได้ สังคมต้องมีระเบียบต้องมีกฎหมาย

เวลาปฏิบัติธรรมมากๆ เข้า เราก็จะเข้าใจ มันจะถูกมองไปในเชิงของเหตุปัจจัย ธรรมดาโลกแบบนี้ ธรรมดากิเลสเป็นแบบนี้ ยังมีเหตุของกิเลสแบบนี้ก็ต้องมีผลแบบนี้ เป็นธรรมดาของเหตุปัจจัย เวลาเราเข้าใจความจริงมากขึ้นๆ เรื่อยๆ ก็จะเห็นโลกนี้เหมือนเรื่องตลก ตลกบนความทุกข์ ตลกปนคราบน้ำตา เพราะฉะนั้น เหล่านักปฏิบัติธรรมอยู่ให้มันนอกเหตุเหนือผลเอาไว้

หลวงพ่อชาใช้คำนี้ “นอกเหตุเหนือผล” เห็นอะไรๆ เป็นไปตามเหตุปัจจัย ธรรมะที่แท้จริงมันอยู่นอกเหตุเหนือผล ยังเอาเหตุเอาผล เอาถูกเอาผิดกัน นั่นมันคนในโลก ธรรมะนั้นก็คือ “ตถตา”…มันเป็นเช่นนั้นเอง มันเป็นไปตามเหตุปัจจัย แต่ไม่ใช่ไม่รู้เหตุรู้ผล…รู้แต่ไม่ได้เอาจริงเอาจังจนมาสร้างเงื่อนไขในชีวิต สร้างทุกข์สร้างอะไรต่างๆ ให้กับชีวิต ไม่ใช่ปฏิบัติธรรมแล้วโง่ไม่รู้เรื่องอะไรนะ รู้ทุกอย่าง รู้ละเอียดด้วย

หลวงพ่อชาก็เคยเล่า สมัยก่อนไม่มีไฟฟ้า มีพระหยิบหนังสือธรรมะมานอนอ่านอยู่ที่พื้น พอแสงแดดหมดก็อ่านไม่ได้แล้ว ก็ลุกไปแต่ไม่ได้เก็บหนังสือ พระอีกองค์เดินผ่านมาเหยียบหนังสือเล่มนั้น พระองค์นี้ก็โมโหเลยว่าใครมาวางหนังสือแบบนี้ พอหาตัวคนวางเจอก็ต่อว่า “ทำไมท่านไม่เก็บให้เรียบร้อย” พระองค์นั้นโดนต่อว่าก็ต่อว่ากลับว่า “ทำไมท่านเป็นพระเดินไม่รู้จักสำรวม ไม่มีสติระวังอะไร” ถ้าเราเอาแต่เหตุผลจะต้องทะเลาะกันแบบนี้ แล้วหาผู้ชนะผู้แพ้ไม่ได้ด้วย จึงต้องมีกรรมการ เรียกว่าก็ต้องสร้างความเดือดร้อนให้กรรมการเพิ่มอีก ถ้าตัดสินให้ใครถูกไอ้คนไม่ถูกเกลียดอีก เพราะฉะนั้น อยู่ให้มันนอกเหตุเหนือผล

เราต้องปฏิบัติไปเรื่อยๆ เวลาพูดทฤษฎีมันก็ฟังดูง่าย แต่อย่างที่ผมบอกมันก็ทำไม่ค่อยได้หรอก เพราะกิเลสมันยังมีอยู่ แต่เราก็ต้องอดทน ไม่ใช่ก็ให้มันใกล้เคียง เห็นกิเลสตามความเป็นจริงไม่ได้ก็ต้องอดทน อดทนที่จะไม่ทำอะไรตามกิเลสซ้ำลงไปอีก ถ้าเห็นตามความเป็นจริงได้มันก็ดับไป ค่อยๆ ปฏิบัติเข้า จนวันนึงมันลดน้อยถอยลงจนหมดไป มันก็ไม่ต้องมีความพยายามจะอยู่นอกเหตุเหนือผลแล้ว มันจะอยู่เองเพราะไม่มีอะไรบีบคั้นในเชิงเอาเหตุเอาผล เอาถูกเอาผิด ชีวิตก็สบายขึ้นหน่อย

เราทุกคนลองไปสังเกตดู ชีวิตพวกเราเต็มไปด้วย “ความกลัวและความกังวล” ไปดูเอาเถอะ เราถูกถีบให้ทำอะไรๆ ภายใต้ความกลัวและกังวล นั่นเป็นความทุกข์มหาศาล เป็นพันธนาการที่ไม่มีความเป็นอิสระเลย กิเลสต่างๆ ภายใต้ความยึดมั่นถือมั่น ภายใต้ความที่ยังมีตัวมีตนนี้ มันพันธนาการเราเอาไว้ เราหนีจากมันไม่ได้ตราบใดที่เหตุนั้นยังอยู่ เราได้แต่ “อดทนที่จะเห็นมันไป” ถ้าเราเห็นจิตอย่างลึกซึ้ง เราจะเห็นว่ามันมีพันธนาการหลากหลายรูปแบบแอบซ่อนอยู่ ที่ทำให้เราไม่เกิดความรู้สึกเป็นอิสระ

เหมือนเรามีแฟน ตอนแรกๆ จีบกันรู้สึกไหมว่ามีแต่ข้อดี ดีอย่างนู้นดีอย่างนี้ เหมือนเราปฏิบัติธรรมใหม่ๆ ทุกข์น้อยลง มีความสุขขึ้น รู้สึกตัว เห็นจิตใจปกติ อ้ออ.. ดี ปฏิบัติไปปฏิบัติมาเห็นมากเข้าๆ เอ้า! มีแต่ทุกข์ เหมือนกันจีบกันใหม่ๆ ก็มีแต่สุข พอรู้จักกันมากเข้าแต่งงานกันไปเรียบร้อย ก็มีแต่ทุกข์

พอเราเห็นทุกข์ เราจะมองหาทางพ้นทุกข์ คนเป็นผัวเมียกันก็มีวิธีการหาทางพ้นทุกข์หลายแบบ ทางไม่ถูกก็ไปมีกิ๊ก ไปเที่ยวผู้หญิงหรือไปทำอะไรที่มันไม่ถูก ทางที่ถูกคือพาตัวเองปฏิบัติธรรม เพราะฉะนั้น ธรรมชาติเป็นแบบนี้ โลกนี้มีแต่ทุกข์ พอเรารู้จักอะไรลึกซึ้งเราจะเห็นว่ามันเป็นทุกข์ พอรู้จักแฟนเราลึกซึ้ง เราก็จะเห็นว่าเป็นทุกข์ มีทุกข์ซ่อนอยู่ตลอดในทุกๆ อย่างในโลกนี้ จนถึงวันนึงที่เราพ้นจากความยึดมั่นถือมั่นทั้งปวง ทุกข์มันก็อยู่ของมันอย่างนั้น…แต่เราไม่ทุกข์

 

ตอนที่ 3 ทำไม…ยาก

อดทน ปฏิบัติธรรมด้วยจิตใจที่เป็นกลาง ไม่เอาอะไร ไม่เอาว่าต้องดีหรือจะแก้ให้มันดี การที่เราจะเป็นกลางได้จิตใจต้องเป็นปกติ จิตใจปกติเห็นอะไรก็เป็นกลาง เราจะรู้จักจิตใจที่ไม่ปกติได้ เราต้องรู้จักจิตใจที่ปกติก่อน

จิตใจที่ปกติเป็นแบบนี้ ไม่ขึ้นไม่ลง ไม่บวกไม่ลบ ไม่ฟูไม่แฟบ พอมันผิดไปจากนี้เราจะรู้ได้เลย แต่ถ้าเราไม่รู้จักจิตใจที่ปกติ พอมันผิดปกตินิดนึงเราก็ไม่รู้ เรานึกว่าปกติอยู่

จิตใจที่ปกตินั้นเป็น Reference (การอ้างอิง) อันหนึ่ง แต่เป็น Reference ที่มีข้อพิเศษหน่อยตรงที่ว่ามันเป็นจิตที่เป็นกลาง อะไรก็ได้เกิดขึ้นก็รู้ แต่ถ้าเราไม่รู้จักจิตใจที่ปกติหรือไม่เคยปกติเลย พอเรามาเริ่มปฏิบัติธรรม มันจะรู้สภาวะด้วยจิตใจที่ไม่เป็นกลางหรือไม่ปกติ เพราะฉะนั้น จิตใจที่ปกติเนี่ยมันเป็นทางลัดเลย…เป็นทางลัดไปสู่จิตใจที่จะสามารถรู้ทุกสิ่งตามความเป็นจริงด้วยความเป็นกลาง

เมื่อเดินจงกรมหรือนั่งสมาธิ แล้วเกิดการอึดอัดแน่นขึ้นมา จะทำยังไง? เราจะพยายามแก้ไขอะไรไหม? เราอยากจะให้มันหายไหม? หรือเราจะเห็นตามความเป็นจริงแบบนั้น ถ้าเราเห็นตามความเป็นจริงแบบนั้น การปฏิบัติธรรมมันก็ง่าย เพราะเราไม่ต้องคิดว่าจะทำยังไงดี แต่การปฏิบัติธรรมมันยาก เพราะเราพยายามแก้ไขอยู่เสมอ แล้วมันยิ่งสั่งสมเป็นนิสัย เป็นสันดานที่จะจัดการแก้ไขเสมอๆ นั่นคือ “การสะสมอัตตา” เพราะฉะนั้น เราใช้แค่ชีวิต… แค่ใช้ชีวิตอย่างถูกต้อง “รู้อย่างที่มันเป็น เห็นตามความเป็นจริง”… แค่นี้

พระพุทธเจ้าให้เส้นทางอริยมรรคมีองค์ 8 คือทางเดินไปสู่ความเป็นอริยะ ก็คือการใช้ชีวิตที่ถูกต้องนั่นแหละ ท่านก็สอนแต่ชื่อมันดูยาก เรานึกว่ามันยาก แต่จริงๆ ท่านก็หมายความอย่างนี้แหละ คือใช้ชีวิตให้ถูกต้อง ถูกต้องอย่างไร ก็โดยการดำเนินตามมรรคมีองค์ 8 ที่เป็นเส้นทาง และมีสติปัฏฐาน 4 ที่เป็นวิธีการ

 

ตอนที่ 4 ไม่ใช่การทำอะไรตรงๆ

คนไหนที่ส่วนใหญ่จะหลงเยอะ ลืมเนื้อลืมตัวเยอะ มีวิธีการยังไง? ส่วนใหญ่ก็ โอ้! เดี๋ยวจะต้องรู้สึกตัว…เพ่งเลย…ทำเลย ตั้งใจจริงจัง พยายามครบสูตร…เละ

ถ้ารู้สึกหลงมาก แล้วอยากจะรู้สึกตัวทำยังไง? อย่าทำอะไร นั่งเฉยๆ นั่งไปเลยชั่วโมงนึง ลืมตาก็ได้ อย่าทำอะไร เดี๋ยวมันรู้สึกตัวเอง อย่าหนีไปทำอะไรซะก่อน ไม่ต้องพยายามหรอกเดี๋ยวมันรู้สึกแน่เพราะไม่ได้ให้โอกาสมันหลงไปทำอย่างอื่น พอความรู้สึกตัวเกิดขึ้นก็รู้ได้ว่าความรู้สึกตัวเกิดขึ้นแล้ว เพราะไม่ได้ทำขึ้นมา มันเกิดขึ้นเอง

เพราะฉะนั้น เข้าใจเรื่องเหตุปัจจัยให้ได้ แค่เราสร้างเหตุให้ถูก ผลที่ต้องการจะเกิดขึ้น เกิดเอง ไม่มีการทำอะไรทั้งนั้น ไม่มีการต้องพยายามทำอะไรทั้งนั้น มันไม่ใช่การทำอะไรตรงๆ เหมือนที่ผมเคยบอก มันเป็นเรื่องของเหตุปัจจัย มีเหตุอย่างนี้ผลอย่างนี้จะเกิดขึ้น เป็นเรื่องของอนัตตา

เรื่องของความพยายามตั้งใจทำอะไรให้ได้อะไร มันเป็นวิถีจิตของคนในโลก ทำมาทั้งชีวิตแล้ว จะใช้วิถีเดิมๆ DNA เดิมๆ ก็ไปไหนไม่ได้ จะได้แบบเดิม

 

17-08-2562

Camouflage

 

YouTube : https://youtu.be/g-mEAxw7dM4

คลิปเสียงธรรมะทั้งหมดของอาจารย์ Camouflage : https://goo.gl/RDZFMI

======================

5 ช่องทางการอ่านและฟังธรรม

1) Facebook : สุขกาย สุขใจ SookGuySookJai
http://www.facebook.com/sookguysookjai

2) Line : @camouflage.talk
https://line.me/R/ti/p/%40camouflage.talk

3) YouTube : สุขกาย สุขใจ SookGuySookJai
https://goo.gl/in9S5v

4) Website: https://camouflagetalk.com/

5) Podcast : Camouflage – Dhamma Talk
https://itun.es/th/t6Mzdb.c
วิธีการติดตั้ง https://goo.gl/tBMY9S