122.พิสูจน์…จริงมั้ย?

ตอนที่ 1 พิสูจน์…จริงมั้ย ?

การนั่งสมาธินั้นให้เราเข้าใจก่อนว่า เราไม่ได้นั่งเพื่อจะได้ความสงบ เรานั่งเพื่อจะเกิดความอยู่กับเนื้อกับตัวขึ้น นั่งเพื่อให้จิตใจนี้อยู่กับเนื้อกับตัว อย่าไปคิดว่าการปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องยาก เรื่องเหลือวิสัยที่เราจะทำได้ในชีวิตประจำวันของเรา

ธรรมชาติจิตของทุกคนส่งออกนอก ส่งออกมาฟัง พอลืมตาก็ส่งออกไปดู พอหลับตาก็ส่งออกไปคิด ส่งออกตลอด เวลาส่งออกเรามีร่างกายอยู่ กำลังนั่งอยู่เราก็ลืม…เราไม่เคยเห็น ชีวิตเราโตมาถามว่าเราเคยเห็นไหม ประโยคง่ายๆ กิริยาง่ายๆ คำว่าเคยเห็นร่างกายนี่มันนั่งอยู่ไหม เราเคยเห็นไหม ร่างกายนี้กำลังนั่งอยู่ เราเคยสนใจไหม ร้อยละ 100 ไม่เคย ร้อยละ 100 เวลานั่งปุ๊บเราก็ไปคิด คิดเรื่องงานบ้าง คิดเรื่องที่บ้านบ้าง คิดเรื่องเพื่อนบ้าง คิดเรื่องนู้นเรื่องนี้ คิดอดีตคิดอนาคต ทั้งชีวิตเราอยู่แต่กับความคิด เราไม่เคยพ้นออกจากความคิดได้เลย

แต่มีพระพุทธเจ้าสอนเรา ให้อยู่กับปัจจุบัน อยู่กับปัจจุบันอยู่ยังไง สภาพปัจจุบัน คือ “สภาพพ้นจากความคิดปรุงแต่งทั้งปวง เหลือแค่รู้สึก” เหมือนร่างกายตอนนี้กำลังนั่งอยู่ รู้สึกได้ไหมว่าร่างกายมันกำลังนั่งอยู่ ใช้ตาใจในการรู้สึก เมื่อเราเห็นร่างกายนี้ หรือรู้สึกร่างกายนี้กำลังนั่งอยู่ รู้สึกถึงจิตใจได้ไหมว่ามันสงบ เป็นความรู้สึกสงบเกิดขึ้นในจิตใจ รู้สึกได้ไหมตอนที่เราเห็นร่างกายนี้มันนั่งอยู่ มันเป็นสภาพพ้นจากความคิดปรุงแต่งทั้งปวง

การปฏิบัติธรรมในเบื้องต้น ง่ายๆ แค่นี้ ทันทีที่เราเห็นร่างกายมันกำลังนั่งอยู่ สมาธิที่ถูกต้องกำลังเกิดขึ้น จิตที่ตื่นขึ้นมา จะเกิดสมาธิที่ถูกต้องทันที

สมาธิของพระพุทธเจ้า เป็นสมาธิแห่งความตื่นรู้ ไม่ใช่สมาธิแห่งความสงบ ไม่ใช่สมาธิของการเพ่งจ้องอะไร เป็นสมาธิตามธรรมชาติ ด้วยสมาธิอันนี้จากการเห็นร่างกายตามความเป็นจริง เห็นจิตใจตามความเป็นจริง จะค่อยๆ เกิดญาณปัญญา จึงเรียกว่า “วิปัสสนาญาณ” เห็นทุกสิ่งทุกอย่างตกอยู่ในมุมของไตรลักษณ์ คือ “ทุกอย่างนั้นเปลี่ยนแปลง ทนอยู่สภาพเดิมไม่ได้ เป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่มีใคร ไม่มีเรา ไม่มีเขา ไม่มีใครมาควบคุมบังคับบัญชาอะไรได้ทั้งนั้น”

ถ้าร่างกายนี้เป็นของเรา เราต้องสั่งให้หัวใจมันหยุดเต้นได้ เราต้องสั่งให้ตับให้ไตมันหยุดทำงานได้ แม้กระทั่งลมหายใจ เราลองกลั้นลมหายใจ แล้วห้ามมันหายใจ ทำได้ไหม พอมันขาดลมหายใจ มันจะหายใจขึ้นมาเองเลย เพราะฉะนั้น ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา มันทำงานของมันเอง

จิตใจใช่ของเราไหม เราควบคุมความคิดได้ไหม อยากให้คิดดีอย่างเดียวไม่อยากคิดเลวเลย อยากอารมณ์ดีอย่างเดียว ไม่อยากอารมณ์เสียเลย เราควบคุมมันได้ไหม ถ้าควบคุมไม่ได้ จิตใจนี้ไม่ใช่เราเหมือนกัน

เพราะฉะนั้น เราอยู่ที่ไหน คำตอบนี้หาได้ด้วยการปฏิบัติธรรมด้วยตัวเอง หรือเค้าบอกว่าโลกนี้ว่างจากความเป็นสัตว์ ตัวตน บุคคล เรา เขา ไม่มีใคร ทุกอย่างเป็นแค่สมมุติ เป็นความเห็นผิด ว่านี่เป็นเรา นี่เป็นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นของเรา พระพุทธเจ้าบอกว่า “เรานี่คือความเห็นผิด” คิดว่ามีเราจริงๆ

ลอง “พิสูจน์” เป็นปัญญาชนกันทุกคนในนี้ พิสูจน์ ไม่ต้องเชื่อ จบปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก ครบหมดเลยนี่ “พิสูจน์ สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน จริงไหม

พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนเรา ในเรื่องของความดีหรือความสุข พระพุทธเจ้าสอนเรา ให้เห็นโลกนี้ตามความเป็นจริง ว่ามันมีแต่ทุกข์ เราเคยเชื่อไหมว่าโลกนี้มีแต่ทุกข์ คิดออกไหมว่าโลกนี้มีแต่ทุกข์ พวกเราเติบโตมาในครอบครัวที่ดี มีปัจจัยทุกอย่างพร้อม เราคิดไม่ออกหรอกว่าโลกนี้มีแต่ทุกข์ เป็นไปไม่ได้ ฉันก็มีความสุขดี พิสูจน์ดู…ทำไมพระพุทธเจ้าพูดแบบนั้น ทำไมคนที่เป็นศาสดาเอกของโลกพูดแบบนั้น ถ้าเราเข้าใจตรงกันข้ามกับสิ่งที่พระพุทธเจ้าพูด เราต้องสงสัยตัวเองบ้าง ว่าที่เราใช้ชีวิตตามความคิดความเชื่อของเรานี้ มันถูกไหม ตกลงเราฉลาดหรือโง่กันแน่ จริงไหมว่าโลกนี้มีแต่ความทุกข์ เป็นเรื่องท้าทายที่น่าพิสูจน์ จริงไหมว่าเราเห็นผิด จริงไหมว่าเรามีมิจฉาทิฏฐิ เห็นอะไรอะไรเป็นตัวเป็นตน เป็นคน เป็นเรา เป็นเขา เราเห็นผิดแบบนั้นจริงไหม หรือพระพุทธเจ้าพูดผิด

ชีวิตเรามีเรื่องน่าค้นหามากมาย เหมือนพระพุทธเจ้าบอกว่า ความรู้ที่พระพุทธเจ้ารู้ มีมากมายเหมือนใบไม้ในป่า แต่ความรู้ที่พระพุทธเจ้านำเอามาสอนทุกคนและเป็นหัวใจสำคัญของทุกคนที่จะต้องรู้ มีเพียงแค่ใบไม้กำมือเดียว คือ “อริยสัจ 4” คือ การรู้แจ้งในกองทุกข์ นี่คือ สิ่งที่ผมกำลังสอนอยู่

 

ตอนที่ 2 ต้องใช้เวลา ความมุ่งมั่น

ตอนนี้ความสงบในจิตใจก็เป็นแค่สิ่งที่ถูกรู้ ไม่ใช่เรา เราไม่ได้ปฏิบัติธรรมเพื่อจะได้ความสุขได้ความสงบ อย่าลืม เราปฏิบัติธรรมเพื่อจะเห็นทุกสิ่งตามความเป็นจริง เห็นจิตใจนี้ ทำงานได้เอง มันไปคิดได้เอง มันปรุงแต่งอารมณ์ได้เอง มันสงบเอง เรามีหน้าที่เห็นตามความเป็นจริงแบบนั้น ไม่มีหน้าที่เป็นเจ้าของอารมณ์ความรู้สึกสภาวธรรมใดๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน

การที่เราเข้าใจว่า ชีวิตนี้มีความสุข เราจะเพลิดเพลินกับชีวิต เราจะไม่ได้เห็นความเป็นจริงของชีวิต เรามีความเป็นอยู่ที่ดี มีงานที่ดี มีเงิน แล้วเข้าใจว่าชีวิตเรามีความสุขแล้ว แต่พระพุทธเจ้าตอนเป็นเจ้าชายสิทธัตถะก็มีดีกว่าเราเยอะ ไม่รู้กี่ร้อยกี่พันกี่หมื่นเท่า ท่านยังมีปัญญาที่จะเห็นได้ว่า ชีวิตนี้ยังทุกข์อยู่

เราเองเกิดมามีบุญแล้ว อยู่ในประเทศไทย รู้จักศาสนาพุทธ เพราะฉะนั้น เรามีปัญญาเหมือนพระพุทธเจ้า เหมือนเจ้าชายสิทธัตถะ ที่จะรู้ว่าความจริงของชีวิตนี้มีแต่ทุกข์

อย่าหนีมัน เวลาเบื่อ ไม่ใช่หนีมัน ไม่ใช่หนีไปเที่ยว หนีไปห้าง หนีไปดูมือถือ หนีไปทำงาน แต่ให้เห็นว่าจิตใจนี้มีความเบื่ออยู่ และมีความเบื่อแบบนี้อยู่ตลอดชีวิตเลย ตั้งแต่เกิดจนถึงตอนนี้ จะทำยังไงให้มันหมดไป จะทำยังไงให้มันไม่มี ลองคิดดูว่า ถ้าเราหมดความเบื่อ เราไม่ต้องหนีอะไรอีกเลย ไม่ต้องดิ้นรนจะได้ความสุขเลย

จะทำยังไง พระพุทธเจ้ามีทาง แต่ต้องใช้เวลา ใช้ความมุ่งมั่น ใช้ชีวิตทั้งชีวิต ที่จะทำลายความเห็นผิด ทำลายกิเลสทั้งหลายที่อยู่ในใจดวงนี้ แล้วเราจะได้พบความสุขจริงๆ ความสุขที่แท้จริง ที่เราหามาทั้งชีวิต เป็นความสุขชั่วคราว ผ่านมา แล้วก็ผ่านไป แล้วก็ต้องหาใหม่ พอมันผ่านไปก็ทุกข์อีกแล้ว ก็คิด ทำอะไรดี เอาไงดี ไปไหนดี ชีวิตเราเป็นแบบนี้ วนๆ อยู่อย่างนี้ แต่เราไม่เบื่อ ทำไมเราไม่เบื่อ เพราะไม่มีปัญญาพอจะเห็นความเป็นจริง ว่ามันน่าเบื่อ

 

ตอนที่ 3 ใช้ชีวิตตามแค่รู้สึก

สังเกตไหมว่าเราจะเห็นร่างกายมันเดินอยู่ตลอด ก็ไม่ได้ เดี๋ยวมันก็ไปคิด เดี๋ยวมันก็เผลอไป เดี๋ยวมันก็ลืมไป เดี๋ยวมันก็ไปดู เนี่ยเราจะเห็นได้ว่ามันบังคับไม่ได้ ให้เราตั้งใจยังไงมันก็บังคับไม่ได้ อะไรที่บังคับไม่ได้ ไม่ใช่ของเรา ร่างกายหรือจิตใจหรืออะไรก็ตามในโลกนี้ มีลักษณะของมัน มีลักษณะหลายอย่างที่เหมือนกันและไม่เหมือนกัน ล้วนเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ มันเป็นไปตามเรื่องของมัน แล้วพระพุทธเจ้าก็สรุปมาให้เราฟังก่อนว่า ไม่ว่าร่างกายหรือจิตใจ หรือสภาวธรรมใดๆ ให้เราลองสังเกตดู “มันเปลี่ยนแปลง มันทนอยู่สภาพเดิมไม่ได้ มันถูกบีบคั้น เป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่มีใครบังคับควบคุมได้”

เหมือนเวลาปลูกต้นไม้และรดน้ำทุกวัน แล้วบอกว่าอย่าโตมึงห้ามโต เป็นไปได้ไหม เป็นไปไม่ได้ เพราะมันมีเหตุ มันมีปุ๋ย มันมีน้ำที่เรารด มันต้องโต ถ้าเรารดน้ำทุกวันแล้วบอกให้ต้นไม้ต้องตาย มันจะตายไหม เป็นไปไม่ได้ เพราะมันไม่มีเหตุให้มันตาย

เพราะฉะนั้น เราใช้ชีวิตบนพื้นฐานของความเป็นจริง เห็นตามความเป็นจริง ค่อยๆ เห็นตามความเป็นจริงไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่งเห็นว่าไม่มีเราจริงๆ เราใช้ชีวิตตามแค่รู้สึก ไม่ได้ใช้ชีวิตตามความคิด ตามรู้สึกเป็นยังไง มีร่างกายอยู่รู้สึกไหม ลืมร่างกายไปแล้วรู้สึกไหม เห็นไหมว่าของที่เรามีมาตั้งแต่เกิด เราไม่ค่อยสนใจ เราลืม เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้เราจะฝึกใช้ชีวิตที่มันพ้นออกจากโลกของความคิดปรุงแต่งให้มาก อยู่กับรู้สึก มีร่างกายอยู่ก็รู้สึก มีความรู้สึกในใจอะไรเกิดขึ้นก็รู้สึก แค่รู้สึก ไม่เข้าไปเป็น ไม่เข้าไปร่วมกับอาการเหล่านั้น เป็นแค่คนเห็นอาการเหล่านั้น เห็นด้วยอะไร ด้วยความรู้สึก เขาเรียกว่า “ตาใจ” เห็นด้วยตาใจ

ขณะที่แค่รู้สึก มีเราไหม มันไม่มี เราแค่รู้สึกร่างกาย รู้สึกถึงความมีอยู่ของร่างกาย แค่รู้สึกถึงตัวนี้กำลังเดินอยู่ มีเราอยู่ในนั้นไหม เราไม่ได้อยู่ในร่างกายนี้เลย เราเป็นคนเห็นร่างกายนี้อีกทีนึง ร่างกายนี้เป็นแค่ท่อน แค่แท่ง เป็นธาตุ 4 ดินน้ำลมไฟประกอบกันขึ้นมา แล้วมันจะเสื่อมสลายไปในที่สุด เราไม่ได้อยู่ในนั้น เราไม่ได้เป็นเจ้าของมัน มันไม่ได้เป็นเรา เราไม่ได้เป็นมัน

เราหวงรักร่างกายนี้มากทั้งที่มันไม่ใช่ของเรา เราเหมือนคนบ้า เราแค่ยืมมันใช้เฉยๆ ยืมมันใช้ทำอะไร ใช้ไปทางมิจฉาทิฏฐิก็ได้ คือใช้ไปหลงโลก หาความสุข รับความทุกข์ วนไปวนมา หรือใช้มันเป็นฐานที่ตั้งแห่งสติก็ได้ คือ รู้สึก มันอยู่ที่เราเลือกใช้ เราจะใช้อย่างคนฉลาดหรือใช้อย่างคนโง่

สังเกตจิตใจ ความรู้สึก ยังตื่นเนื้อตื่นตัวอยู่ไหม ซึมไหม รู้ทัน เบิกตากว้างๆ หายใจเข้าลึกๆ ปลุกความตื่นตัวขึ้นมา หลงไปก็รู้ทัน ไม่ใช่ห้ามหลง ลืมร่างกายไปปุ๊บรู้ทัน ไม่ใช่ห้ามลืม เรามีหน้าที่เห็นว่าจิตใจเป็นแบบนี้ เดี๋ยวมันก็ไปนี่ เดี๋ยวมันก็ไปนั่น ควบคุมบังคับไม่ได้ มีหน้าที่ได้แค่รู้ทัน รู้ทันไปเรื่อยๆ จนจิตใจนี่มันเข้าใจ ความเป็นจริงว่า อ๋อ มันเป็นแบบนี้ แท้จริงแล้ว สิ่งที่เราอยู่กับมันมาตลอด มันเป็นแบบนี้ เราอยู่กับมันใช้มันมาตลอดชีวิต แต่เราไม่เคยรู้จักมันเลย นี่เป็นเวลา…เป็นเวลาที่เราต้องรู้จักมัน ทำความรู้จักมัน

 

ตอนที่ 4 ปลุกปัญญา

การทำหน้าที่ได้เห็นร่างกาย เห็นจิตใจนี้ อย่างที่มันเป็นอยู่นี้ มันน่าเบื่อ แต่เพื่อที่จะเห็นตามความเป็นจริงให้ได้ในชีวิตนี้ “เราต้องอดทน” …อดทนที่ได้เห็นร่างกายและจิตใจนี้ ว่ามันเป็นแบบนี้ อดทนต่อความน่าเบื่อ ที่จะต้องเห็นแบบนี้ อดทนจนกว่าความจริงจะเปิดเผย เราอดทนสร้างเนื้อสร้างตัวสร้างชีวิตด้วยความเห็นผิดมานานแล้ว ต่อไปนี้อดทน ที่จะเห็นแบบนี้ จนกว่าความจริงจะเปิดเผยให้ได้

การเห็นร่างกายนี้มันเห็นง่าย ตอนที่เราเดินจงกรมและนั่งสมาธิ เพราะว่าห้ามทำอย่างอื่น ขนาดห้ามทำอย่างอื่นมันยังลืมเลย เพราะฉะนั้น ในชีวิตประจำวันของเรา แน่นอนว่ามันจะลืมเยอะกว่านี้ แต่ไม่ใช่ทำไม่ได้ เราต้องฝึกความเคยชิน ที่จะเห็นร่างกายนี้ในอิริยาบถต่างๆ มันเคลื่อน มันไหว มันคู้ มันเหยียด มันขยับเขยื้อน มันกระพริบตา อ้าปาก กลืนน้ำลาย สร้างความเคยชินใหม่ที่จะรู้สึก เห็นว่าร่างกายนี้ กำลังทำแบบนี้อยู่

หลอมรวมการเห็นร่างกายและจิตใจนี้ตามความเป็นจริงเข้าไปในชีวิตประจำวันให้ได้ เราจะขับรถ นั่งรถ กินข้าว ทำงาน เราสามารถเห็นร่างกายนี้ เห็นจิตใจนี้ได้อยู่เนืองๆ มันอยู่ที่เราสนใจที่จะเห็นไหม

มันต่างกันกับคนในโลกตรงที่ว่าคนในโลกไม่สนใจจะเห็นตัวเอง เพราะฉะนั้น เราเพิ่มความสนใจที่จะเห็นตัวเองเข้าไปในทุกกิจกรรมในชีวิตเรา ในชีวิตที่ผมบอกว่าเป็นชีวิตที่พ้นจากความคิดปรุงแต่งทั้งปวง ชีวิตที่เหลือแค่รู้สึก มันจะค่อยๆ เกิดขึ้น แล้วผลลัพธ์จากการที่เรามีชีวิตแบบนั้น เราจะเริ่มมีแสงสว่างแห่งปัญญา ที่จะนำพาชีวิตไป เราจะรู้ว่าเราต้องทำอะไร ปัญญาจะบอกเรา ไม่ใช่ความคิด

จิตใจที่มีพลังแห่งปัญญานี้ มันถูกความมืดมิดปกคลุมมาชั่วกัปป์ชั่วกัลล์แล้ว เรามีหน้าที่ปลุกมันขึ้นมา ปลุกมันขึ้นมา ให้มาแสดงพลังแห่งความบริสุทธิ์ออกมา ให้มันทำหน้าที่แทนความคิด และการใช้ชีวิตของเรา จะถูกต้องขึ้น พระพุทธเจ้าบอกว่า “แสงสว่างเสมอด้วยปัญญานี้ไม่มี” เพราะฉะนั้น จิตใจที่มีปัญญา ก็เป็นแสงสว่างมาก…มากที่สุด เพราะฉะนั้น มันมีอยู่แล้ว มันแค่ถูกปกปิดเอาไว้ เราไม่ต้องสร้างมันขึ้นมาใหม่ เราเพียงแค่พลิกของคว่ำอยู่ให้มันหงายขึ้น เปิดเผยของที่ถูกปกปิดอยู่ “เปิดให้ระบบปัญญาทำงาน

 

06-07-2562

Camouflage

 

YouTube : https://youtu.be/SHSAWXGh1Vs

ฟังรวมคลิปเสียงธรรมได้ที่ https://goo.gl/RDZFMI

5 ช่องทางติดตามข่าวสาร
1) YouTube: https://goo.gl/in9S5v

2) Facebook : https://www.facebook.com/SookGuySookJai

3) Line : @camouflage.talk
https://line.me/R/ti/p/%40camouflage.talk

4) Podcast: Camouflage – Dhamma Talk
https://itun.es/th/t6Mzdb.c
วิธีการติดตั้ง https://goo.gl/tBMY9S

5) website : https://camouflagetalk.com/