111.ซ้อมรบ 20 – โชว์สเต็ป

ตอนที่ 1 รู้ปัจจุบันธรรม

เราอย่าไปคิดว่าการปฏิบัติธรรมต้องทำอะไร อย่าไปคิดว่าต้องเป็นอย่างนั้นต้องเป็นอย่างนี้ ต้องทำให้ได้อย่างนั้นทำให้ได้อย่างนี้ การปฏิบัติธรรมเป็นการแค่รู้สึกถึงความมีอยู่ของร่างกายนี้ของจิตใจนี้แค่นั้น ไม่ใช่จะให้มันเป็นยังไง มันเป็นยังไงก็รู้มันเป็นอย่างนั้น เหมือนร่างกายนั่งขัดสมาธิอยู่ ก็แค่เห็นว่าร่างกายนี้นั่งขัดสมาธิอยู่ ไม่มีอะไรพิเศษมากกว่านั้นเลย บางคนมีนิสัยชอบเพ่งอาจจะปฏิบัติธรรมมานาน แล้วก็ไปเพ่งไปตั้งใจมากไป นิสัยแบบนั้นมันก็เป็นความเคยชินที่ฝึกมา มันก็ยังส่งผลอยู่ก็ไม่ใช่ปัญหา เราก็แค่รู้ว่าตอนนี้มันทำแบบนี้ มันเป็นแบบนี้แล้ว เราแค่อย่าไปทำเพิ่มเหมือนที่เราเคยทำ แค่นั้นเอง

เมื่อก่อนเราทำ เราเพ่ง หรือเราตั้งใจ หรือเราทำอะไรในแบบที่เราเข้าใจ ทำจนชิน ทำจนเป็นอัตโนมัติ เพราะฉะนั้น ตอนนี้มันจึงส่งผลมา เราแก้ไขไม่ได้ เราทำได้แค่ว่าเราไม่ไปทำเหมือนเดิม แล้วถ้ามันเกิดขึ้นอัตโนมัติ เราก็แค่รู้ว่าตอนนี้เป็นแบบนี้ “รู้ด้วยความเป็นกลาง” ไม่ใช่เพราะเกิดขึ้นปุ๊บทำยังไงดีจะแก้ยังไงดี ทำไมมันเป็นอีกแล้ว เหล่านี้เป็นส่วนเกิน ถ้ามันเกิดขึ้นต้องรู้ทันลงไปอีกว่า ตอนนี้เป็นแบบนี้ คือดิ้นรนไม่พอใจ ต้องการจะแก้ไข มีความอยากไม่เป็นกลางกับสภาพที่กำลังแสดงอยู่ ณ ปัจจุบันนี้  ที่เรียกว่า เพ่ง หรืออึดอัด หรือว่าแน่นอะไรก็ตามที

แต่ถ้า “เป็นกลางกับมัน”…มันจะเพ่งจะแน่นก็ไม่มีปัญหานั้น เราได้ปฏิบัติธรรมแล้ว เพราะเราได้รู้อย่างที่มันเป็น อย่างตอนนี้สบายขึ้นแล้ว ก็แค่รู้ว่ามันสบายขึ้น มันผ่อนคลายแล้ว แต่ว่าถ้าเกิดเกินเลยอีกมีความพอใจ ก็รู้ว่ามีความพอใจ เรียกว่า “รู้ปัจจุบันธรรม” ที่พระพุทธเจ้าบอกว่า “ตั้งกายตรง ดำรงสติเฉพาะหน้า” คำว่าเฉพาะหน้าก็คือ ปัจจุบันนี้เป็นยังไงก็รู้ เกิดขึ้นแล้วจะดับไปในที่สุด “ชั่วคราวทั้งนั้น” เพ่งก็ชั่วคราว หลงก็ชั่วคราว สำหรับนักปฏิบัติธรรม

พอมันเพ่งอีก ก็ต้องเห็นว่ามันเพ่งเอง มันทำเอง “เห็นในมุมอนัตตาไป” มันทำเอง ไม่เกี่ยวกับเรา ถ้ามันจบลงที่ไตรลักษณ์ มันจะเป็นการรู้ด้วยความเป็นกลาง ไตรลักษณ์นี้มันช่วยเรา พวกเราค่อยๆ ฝึกไป ค่อยๆมีสติไป มันหลงไปก็รู้ขึ้นมา มันหลงไปก็รู้ขึ้นมา จิตมันไปไหนก็รู้ “ให้มันไปก่อนแล้วก็รู้

 

ตอนที่ 2 ประมาทไม่ได้

3 ข้อที่ผมสอนอันนี้เป็นพื้นฐานสำคัญ “รู้สึกตัว พ้นออกจากโลกของความคิดปรุงแต่ง หันกลับมาดูจิตใจบ่อยๆ  รู้จักสภาพที่ปกติเอาไว้” การปฏิบัติ 3 ข้อนี้จะเป็นกำลังพื้นฐาน พอจิตใจมันไหลไปแล้วก็รู้ทัน มันไปไหนเราก็รู้ทัน การรู้ทันเรื่อยๆ จะเกิดการที่จิตนั้นจำสภาวะได้ จิตจำสภาวะได้ไม่ใช่เราจำสภาวะได้ ไม่ต้องกังวลว่าเราจะจำยังไง เพียงแค่รู้ทันนี่แหละ จิตมันทำของมันเอง มันเรียนรู้ของมันเอง ทำไปๆ วันหนึ่ง เดือนหนึ่ง ปีหนึ่ง 2 ปี 3 ปี 4 ปี ทำไปเรื่อย ไม่ต้องคาดหวัง พัฒนาการมันจะโชว์ให้เราเห็นเอง ในวันใดวันหนึ่ง

เราไม่มีหน้าที่คาดหวัง” มันจะแสดงผลลัพธ์ให้เราเห็นเองว่า โอ้…เป็นแบบนี้ได้ด้วย เช่น เกิดสติอัตโนมัติเอง อย่างนั่งเคลิ้มๆแบบที่มันยังไม่ทันจะหลับหรอก มันแค่วึ๊บๆ นิดเดียว แล้วเกิดสติอัตโนมัติ ปึ้ง! ทำงานเลย เพราะมันจำสภาวะไหลได้ มันโดนเทรนมาที่จะรู้ทัน มันรู้เลย รู้ปุ๊บก็กลับมามีสติตั้งมั่นขึ้นมา มันทำเอง … “สุดท้ายมันจะทำเอง แต่เรามีหน้าที่ซ้อมรบ” ซ้อมรบไปเรื่อยๆ ไม่เลิก มันจะดีแค่ไหนแล้วก็ตาม ก็ยังซ้อมรบอยู่ ไม่ทิ้ง ไม่ประมาท ต่อให้อัตโนมัติแล้วก็ยังต้องซ้อมรบอยู่ ตราบใดที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์ก็ยังต้องซ้อมรบอยู่ “ประมาทไม่ได้”

 

ตอนที่ 3 กล้องวงจรปิด

เป็นกลางกับสภาวะอะไรที่กำลังเกิดขึ้นในใจ มันจะดีไม่ดีก็เป็นกลางกับมัน เห็นมันเฉยๆ รู้มันเฉยๆ ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ไม่ต้องพยายามจะแก้ไขอะไรทั้งนั้น ปล่อยให้มันแสดงความจริงในเชิงของไตรลักษณ์ “พลิกสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นทุกอย่างเป็นปัญญา” เห็นมันลงไปว่ามันเป็นเอง มันทำของมันเอง ไม่เกี่ยวกับเรา ความจริงนั้นไม่มีเรา

แล้วถ้าใครจะไปเอาอะไรกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตอนนี้ เราจะเรียกว่าอะไร เราเรียกว่ากำลังเกิด “มิจฉาทิฏฐิ” แล้ว “เราโผล่ขึ้นมาแล้ว” ไม่มีเรา เมื่อไม่มีเราก็ไม่มีใครต้องจัดการอะไรทั้งนั้น “เราเป็นแค่ธาตุรู้” ที่จะรู้ทุกสิ่งตามความเป็นจริง “เป็นแค่กล้องวงจรปิด” ที่เมื่ออะไรผ่านมาผ่านไปก็เห็น กล้องวงจรปิดมันไม่รู้ว่าสิ่งที่ผ่านไปผ่านมามันจะดีจะเลวร้ายยังไง มันไม่สนใจ มันแค่รู้แค่เห็น มันไม่เป็นเจ้าของอะไรๆ ที่กำลังผ่านมาแล้วก็ผ่านไป

ถ้าเรากำลังดิ้นรนกับการปฏิบัติธรรมว่าต้องปฏิบัติให้ดีกว่านี้นั่นคือ “เรา” มันควรจะดีกว่านี้นั่นคือ “เรา” มันไม่ควรจะเป็นอย่างนี้นั่นคือ “เรา” ทำหน้าที่เหมือนกล้องวงจรปิด มันทำยังไงเราทำแบบนั้น

มันคลายออกก็รู้มันคลายออก เป็นแค่กล้องวงจรปิด ไม่ใช่มันคลายออกแปลว่า เราปฏิบัติดี “ที่ปฏิบัติดีคือ รู้อย่างเป็นกลาง” ไม่มีความรู้สึกว่าเราปฏิบัติดี มีแต่ว่ารู้หรือไม่รู้ เหลือแค่นั้นเลย…เหลือแค่นั้น

อะไรที่กำลังเกิดขึ้นในร่างกายในจิตใจตอนนี้ เรารับรู้อย่างเป็นกลางได้มั้ย เราเห็นมันรู้มันเฉยๆ ได้มั้ย มีความอยากจะจัดการแก้ไขอะไรมั้ย ทำตัวเหมือนกล้องวงจรปิด มีหน้าที่เห็นอย่างเดียว มันจะทำอะไรพิลึกพิลั่น มันก็เรื่องของมัน มันอาจจะร้องเพลงไม่หยุดก็เรื่องของมัน

 

ตอนที่ 4 ซ้อมรบให้มีกำลัง

ชีวิตเราทุกคนก็มีเรื่องคาดไม่ถึงเยอะ แม้กระทั่งนั่งปฏิบัติธรรมแบบนี้ นั่งไปแป๊บเดียวเวทนามาซะงั้น นั่งไปแป๊บเดียวง่วงซะงั้น ก่อนนั่งคาดว่าน่าจะโอเค ไม่มีเวทนา ไม่ง่วงแล้ว แต่มักจะมีเรื่องคาดไม่ถึงอยู่เรื่อยๆ

เมื่อมีเรื่องคาดไม่ถึงเกิดขึ้น สิ่งต่อมาที่จะเปลี่ยนแปลงคือ จิตใจ จิตใจจะแสดงอาการบางอย่างเราก็เห็นอาการแบบนั้น “แค่เห็น” จิตใจที่มีสมาธิพอจะเห็นได้เฉยๆ กับสิ่งที่คาดไม่ถึงนั้น ก็จะส่งผลให้เกิดการเห็นเฉยๆ แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงนั้นมันรุนแรงกว่าสมาธิที่มีในตอนนั้น มันอาจจะเห็นไม่เฉย อาจจะเกิดความไม่พอใจ หรืออาจจะเกิดความพอใจ ก็รู้ทันลงไปอีกทีหนึ่ง มันก็เป็นอาการอีกอาการหนึ่ง แค่นั้น

เหมือนเราตกใจ ตุ๊กแกหล่นใส่หัว จิ้งจกหล่นใส่หน้า พอตกใจอาการก็ออกหมดใช่มั้ย ใจตกไปที่ตาตุ่ม อันนี้พูดตามสภาวธรรมเลย ไม่ใช่คนโบราณเขาคิดเอาเอง มันวูบลงไปเลย เนี่ยเขาเห็นตามเป็นจริง ในขณะที่ใจมันมีอาการวูบลงไปที่ข้างล่างแล้วกลับขึ้นมา ถ้าสติเราไว เราจะรู้ว่าตอนที่จิตแสดงอาการแบบนั้น มันยังไม่มีคำว่าตกใจหรอก สมองมันช้า กว่าสมองจะแปลว่านี่คือตกใจ ตอนนั้นก็หายตกใจไปแล้ว กว่าจะแปลว่า อาการแบบนี้เรียกว่าตกใจ มันก็กลับมาที่เดิมแล้ว แล้วเราก็จะเห็นว่า อ่อ สัญญาก็ค่อยทำงาน ว่านี่เรียกตกใจ แต่เราหายตกใจไปแล้ว ในความเป็นจริงเราก็ไม่ได้ตกใจ เพราะเราเห็นอาการของจิตอยู่ ไม่ได้เป็นอาการนั้นๆ

เพราะฉะนั้น ปฏิบัติในชีวิตประจำวันมันก็ง่ายๆ กระทบอะไรทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สัมผัสธรรมอารมณ์ต่างๆ กระทบแล้วจิตใจเกิดอะไรขึ้น “ก็รู้เป็นยังไง” ขณะที่เราไปกระทบโลก เรียกว่า “ออกรบ” ขณะที่ไม่มีอะไรก็ซ้อมรบเอาไว้ รู้สึกตัว  พ้นออกจากโลกของความคิดปรุงแต่ง ไม่ใช่มีความคิดก็ตามเข้าไปคิดกับมัน ว่างก็นั่งคิดทั้งวัน หันกลับมาดูจิตใจบ่อยๆ ไม่ลืม เรียกว่าไม่ลืมเนื้อไม่ลืมตัว แล้วเวลาสงครามมันมาเราจะเห็นแบบนั้นได้ เพราะมันพร้อม “มีกำลัง”…มีกำลังพร้อมเท่าที่จะเห็นได้ อย่างที่บอก ถ้ากระทบแรงเท่านี้ สมาธิพอสู้กับมันได้ มันก็จะเห็นเฉยๆ ได้ ถ้ามันแรงมากกว่าสมาธิที่มี มันก็เฉยไม่ได้ แต่ก็ไม่ใช่ปัญหา ก็รู้ทันว่ามันไม่เฉย ไม่มีปัญหาทั้งนั้น

 

ตอนที่ 5 แค่รู้

อย่าลืมว่าเราเป็นแค่กล้องวงจรปิด มีหน้าที่เห็นสิ่งที่มันผ่านไปผ่านมาแค่นั้น กล้องวงจรปิดก็ทำอย่างอื่นไม่เป็น นอกจาก “เห็น” ไม่มีความอยากจะให้มันเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ขโมยจะผ่านมันก็เห็นเฉยๆ เจ้าของบ้านจะผ่านมันก็เห็นเฉยๆ มันไม่สนใจว่าดีหรือเลว มันเห็นเฉยๆ เปรียบเสมือนเราเป็นแค่ธาตุรู้ ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าธาตุรู้ “มีหน้าที่รู้อย่างเดียว” ถ้าเมื่อไหร่มีความอยากไม่อยาก อยากให้ไอ้นี่หายไปอยากให้ไอ้นั่นมา อยากเป็นอย่างนี้ไม่อยากเป็นอย่างนั้น นั่นคือความเป็นเรา

ใจแข็งๆ” เป็นแค่กล้องวงจรปิด “ไม่ต้องทำอะไร” เพราะทุกอย่างจะต้องผ่านไป มันจะผ่านช้าผ่านเร็ว ก็แล้วแต่มัน ถ้าเราไปคิดว่าตอนนี้ทำไมเราเป็นแบบนี้ นี่คือเรา…เห็นมั้ยว่านี่เรา ตอนนี้เราดีก็เราอีกแล้ว ตอนนี้เราไม่ดีก็เราอีกแล้ว ให้มันมีแค่ตอนนี้รู้ กับตอนนี้ไม่รู้ มีแค่นั้น ส่วนมันจะเป็นยังไงก็ได้

ปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องเล่นๆ อย่าไปนึกว่าเป็นเรื่องใหญ่โต มันเป็นเรื่องเล่นๆ ที่ผลลัพธ์มันใหญ่โตเฉยๆ เพราะฉะนั้น รู้เล่นๆ อย่าไปเอาจริงเอาจังกับมันมาก รู้เล่นๆ ไม่ใช่หลงเล่นๆ มันหลงก็รู้ว่าหลง มันไม่รู้แล้วก็รู้ว่าไม่รู้ เรียก รู้เล่นๆ คืออะไรก็ได้

ไม่มีอะไรที่จะดีไปกว่าการที่สามารถรู้ได้ว่าตอนนี้เป็นแบบนี้ รู้แล้วก็ผ่านไป หมดคำถามว่าทำไม…ทำไมเป็นแบบนี้ ไม่ต้องมี อาการทางกายทางใจทั้งหลายมันเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย ไม่เกี่ยวกับเรา เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปเดือดร้อนกับมัน เดือดร้อนไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ แค่รู้ก็พอ

 

ตอนที่ 6 โชว์สเต็ป

อย่าลืมนะว่าให้มันเผลอบ้างแล้วรู้ขึ้นมา “จะพอดีเป็นธรรมชาติ” การปฏิบัติธรรมเป็นแค่การทำหน้าที่เฉยๆ คล้ายๆ เกิดมาสมมติว่าไม่มีโรงเรียน ไม่มีใครมาสอนเราในเรื่องอื่นๆ ที่เราได้เรียนมาในโลกนี้ สมมติเขาสอนเราแค่ว่า มีหน้าที่รู้อะไรที่เกิดขึ้นในตัวเรา เราก็รู้ นี่คือหน้าที่ของพลเมือง สมมติว่าเขาสอนแบบนี้ ป่านนี้อาจจะบรรลุธรรมกันทั้งโลกแล้ว

แต่ด้วยความที่เราถูกสั่งสมความเป็นอัตตาตัวตนตั้งแต่เด็กจนโต พอจะบอกว่าให้แค่รู้…มันยาก เรื่องง่ายๆ กลับกลายเป็นเรื่องยากทันที เพราะฉะนั้น หลักของชีวิตที่เรียกว่าเป็นหลักปฏิบัติธรรมนี่จำให้แม่น “มีแค่รู้” ง่ายกว่าทุกสิ่งที่เราเคยทำมาในโลกนี้ มีแค่รู้นี่ไม่ต้องคิดด้วยนะ คิดดูว่ามันสบายแค่ไหน จะคุยกับคนคนนึงก็ต้องคิดแล้วคิดอีก จะพูดยังไงดี เดี๋ยวมันเข้าใจผิด จะต้องเข้าหายังไง จะต้องใช้คำพูดแบบไหน จะทำงาน ก็ต้องคิดสารพัดวางแผนกลยุทธ์เพียบ

แต่ปฏิบัติธรรมแค่ทำหน้าที่อย่างเดียว “แค่รู้” พอเปรียบเทียบแบบนี้ก็ชีวิตง่าย…ง่ายปึ๊บก็เบาสบาย อย่าเอาความพยายามที่เคยใช้ในโลกใช้ในชีวิตตั้งแต่เกิดมา มาใช้กับการปฏิบัติธรรม ปฏิบัติธรรมที่เราใช้มากที่สุดคือ “ความอดทน”…อดทนที่จะแค่รู้  เพราะมันฝืนธรรมชาติของอัตตาตัวตน

มีอะไรที่เราเคยทำ ที่มันง่ายกว่าแค่รู้มั้ย รู้แล้วก็หมดไป รู้แล้วก็ผ่านไป ไม่มีอะไรติดค้างกับอะไรทั้งนั้น ไม่ต้องสานต่อเรื่องราว ไม่ต้องทำความเข้าใจ ไม่ต้องอะไรเลย “แค่รู้” แค่รู้นี่แหละ แล้วจิตมันก็ทำอะไรของมันเองหมดเลยทุกอย่าง มันเรียนรู้เอง มันเข้าใจของมันเอง ปล่อยวางเอง หลุดพ้นเอง

อย่าไปจริงจังกับอะไรที่กำลังเกิดขึ้นในกายในใจนี้มาก แค่หายใจเข้าอาการต่างๆ ก็เปลี่ยน แค่หายใจออกอาการต่างๆ ก็เปลี่ยนอีก จะไปเอาจริงเอาจังอะไรกับเรื่องที่มันเปลี่ยนแปลงง่ายๆ เรื่องที่มันไม่เที่ยง ทุกข์แทบเป็นแทบตาย นอนตื่นมาก็หาย จะไปเอาจริงเอาจังอะไรกับชีวิตมากมาย

เมื่อความรู้เนื้อรู้ตัวเราค่อยๆ เพิ่มขึ้นต่อเนื่องขึ้นนั่นหมายถึง กำลังของสมาธิก็จะค่อยๆ แข็งแรงขึ้น แล้วเมื่อมีเวทนาเกิดขึ้น เราก็จะเห็นมันเฉยๆ ไม่มีความกลัวว่ามันมาอีกแล้ว เมื่อจิตใจมีสมาธิ มันจะไม่กลัวเวทนา และเมื่อมันมา ก็รู้สึกพร้อมที่จะเห็นมันได้ เรากำลังจะได้ความสุขจากการเห็นตามความเป็นจริงอีกแล้ว มันจะโชว์สเต็ปการเปลี่ยนแปลงให้ดู มันจะโชว์สเต็ปการบีบคั้นให้ดู มันจะโชว์สเต็ปว่ามันควบคุมบังคับบัญชาไม่ได้ให้ดู เราก็เป็นแค่ผู้ชม ความจริงมันแสดงตัวตลอดเวลา อยู่ที่เราจะดูว่ามันหรือเปล่า หรือจะหนีมัน

เมื่อเวทนามันมากกว่าระดับสมาธิที่มีอยู่ เกินกว่าจะเห็นเฉยๆ ได้ เราก็ขยับ ก่อนหน้านั้นที่เวทนาก่อตัวขึ้นที่ยังมีกำลังน้อยกว่าสมาธิ เราก็สามารถใช้สมาธิที่มีอยู่นั้นเห็นความเปลี่ยนแปลงขึ้นๆ ลงๆ ของมันได้อยู่แล้ว แต่เนื่องจากเราไม่ได้ไปเข้าฌาน เราไม่มีสมาธิมากพอที่จะทนเวทนาที่เข้มข้นขึ้นไปเรื่อยๆ ได้ แต่เราก็สามารถได้เห็นความจริงในระดับที่สมาธิเพียงพอแล้ว เมื่อมันเข้มข้นขึ้นมากเกินกว่าจะเห็นเฉยๆ ได้ เราก็พิจารณาแล้ว เห็นสมควรว่า ขยับซักหน่อย มันไม่ได้หายไปซะหมดเกลี้ยงหรอก ก็ยังมีอยู่ แล้วก็จะแสดงความจริงต่อไปในระดับที่สมาธิที่เรามีอยู่จะเห็นได้ จะปวดมากปวดน้อย มันก็แสดงความจริงเท่ากัน

 

14-04-2562

Camouflage

 

YouTube : https://youtu.be/dcjKGdiniY8

คลิปเสียงธรรมะทั้งหมดของอาจารย์ Camouflage : https://goo.gl/RDZFMI

======================

5 ช่องทางการอ่านและฟังธรรม

1) Facebook : สุขกาย สุขใจ SookGuySookJai
http://www.facebook.com/sookguysookjai

2) Line : @camouflage.talk
https://line.me/R/ti/p/%40camouflage.talk

3) YouTube : สุขกาย สุขใจ SookGuySookJai
https://goo.gl/in9S5v

4) Website: https://camouflagetalk.com/

5) Podcast : Camouflage – Dhamma Talk
https://itun.es/th/t6Mzdb.c
วิธีการติดตั้ง https://goo.gl/tBMY9S