109.ซ้อมรบ 18 – คาด

ตอนที่ 1 ง่ายแค่นี้เองหรอ

อย่าเผลอที่จะพยายามทำให้มันเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ แค่รู้สึก อยู่ในโหมดแค่รู้สึก มีอะไรให้รู้ก็แค่รู้สึก ไม่เกินไปกว่าแค่รู้สึก พอจิตใจหลงไปคิดก็แค่รู้ทัน ไม่ต้องไปคิดว่าไม่ดี แย่จังหลงไปอีกแล้ว อย่าลืมว่า เราต้องมีธรรมชาติหลงและรู้ มันถึงจะเป็นธรรมชาติ

จิตมันไปรู้สึกตรงไหนของร่างกายก็แค่รู้สึก จิตมันออกไปจากร่างกายก็แค่รู้ทันว่าลืมร่างกายไปแล้ว จะมีอาการอะไรเกิดขึ้นในร่างกายมันก็เป็นเรื่องของร่างกาย “ไม่เกี่ยวกับเรา” แค่รู้ รู้แล้วก็ผ่านไป ไม่ต้องพยายามไปหาทางแก้ มันจะมีอะไรมากขึ้นหรือน้อยลงก็เรื่องของมัน “ไม่เกี่ยวกับเรา” เราก็แค่รู้ว่ามันเป็นแบบนี้ ฝึกแบบนี้ไว้ การฝึกแบบนี้จะช่วยเราตอนเราใกล้จะตายได้ เมื่อเราฝึกที่จะเห็นร่างกายเป็นแค่สิ่งหนึ่งที่กำลังถูกรู้ ไม่ใช่เรา มันกำลังเกิดอะไรขึ้นกับร่างกาย เราจะมีสติเพียงพอที่จะ “แค่รู้แค่เห็น” ว่าอะไรกำลังเกิดขึ้น จะไม่ตื่นตระหนกตกใจกลัวเพราะเราเคยฝึกที่จะเห็นร่างกายอย่างที่มันเป็นอยู่แล้ว

เพราะฉะนั้น ฝึกตั้งแต่วันนี้ ไม่ต้องพยายามแก้ไขอะไร เห็นอย่างที่มันเป็น รู้สึกอย่างที่มันเป็น รู้แล้วก็ผ่านไป การรู้กายรู้ใจไม่ใช่เรื่องแปลกแหวกแนวหรือพิสดารอะไรที่ต้องทำอะไรพิเศษ มันก็เหมือนเรารู้เรื่องชาวบ้าน เวลาเรารู้เรื่องชาวบ้านต้องทำอะไรมั้ย สนุกด้วยซ้ำใช่มั้ยรู้เรื่องชาวบ้านเนี่ย “เราก็แค่เปลี่ยนมารู้เรื่องตัวเอง” แค่นั้นเอง ไม่มีอะไรพิเศษมากกว่านั้นเลย แค่หันเหความสนใจจากที่เคยสนใจข้างนอกก็แค่มาสนใจกายและจิตนี้ว่ามันเป็นยังไง เคยสนใจการเมืองเศรษฐกิจสังคมยังไงก็หันมาสนใจตัวเองแบบนั้น มันก็กิริยาเดียวกัน “แค่เปลี่ยนที่สนใจเฉยๆ” แต่พอสนใจตัวเองก็แค่ให้ดูเฉยๆ เห็นเฉย รู้เฉยๆ หรือที่เรียกว่า “แค่รู้สึก” ไม่ต้องวิเคราะห์วิจัยวิจารณ์

เห็นมั้ย พอมันไม่ทำอะไรปุ๊บ มันก็คลาย…ผ่อนคลายออก ยิ่งปฏิบัติธรรมจะรู้สึกว่า อุ้ย! ทำไมมันง่ายจัง มันง่ายเกินกว่าที่คิดไว้ตั้งแต่แรก หรือถ้าคิดย้อนกลับไปตั้งแต่เริ่มปฏิบัติธรรมก็จะรู้สึกว่าวันนี้มันง่ายกว่าวันแรกที่เราเคยทำตั้งเยอะ นั่นแปลว่ากำลังมาถูกทางแล้ว

คนที่ฝึกมานานพูดกับผมทุกคน “มันง่ายแค่นี้เองเหรอ” มันง่ายจนดูไม่น่าเชื่อถือว่าทำแค่นี้เหรอ ในใจคิดว่านี่จะเอานิพพานนะให้ทำแค่นี้เองเหรอ? ทำแค่นี้แหละ แต่ต้องอดทน ต้องเสียสละ ต้องทิ้งวิถีชีวิตแบบเก่าๆ เสียสละทั้งชีวิตเพื่อการปฏิบัติธรรม มันยากตรงนี้แหละ ทิ้งความเชื่อเดิมๆ ได้มั้ย ทิ้งความเชื่อที่ถูกสั่งสมมาตั้งแต่เด็กได้มั้ย ทิ้งการประณามหยามเหยียดจากคนรอบข้างได้มั้ย หลวงปู่ดูลย์ยังพูดว่า “การปฏิบัตินั้นไม่ยาก ยากเฉพาะผู้ไม่ปฏิบัติ” ท่านก็รับรองนะว่าไม่ยาก เพราะฉะนั้น การปฏิบัติถ้าเริ่มยาก เริ่มวุ่นวาย เริ่มต้องทำอะไรเยอะแยะ ต้องระวังนะ

หัวใจการปฏิบัติคือ ไม่มีการทำอะไร…มีแค่รู้ ไม่มีการจัดการแทรกแซงจิตใจ ให้มันเป็นอย่างที่อยากให้เป็น อย่างที่ไปอ่านมาไปฟังมาว่าดี นั่นคือการทำอะไร…ไม่ใช่แค่รู้

 

ตอนที่ 2 อยู่ในตัวเราอยู่แล้ว

พี่สาวออกจากคอร์สไปก่อนแล้วเมื่อกี้ไลน์มารายงานว่า นั่งสมาธิแล้ว 1 ชั่วโมงแล้วก็บอกว่า เพิ่งรู้ว่ากลับไปในโลกนี่เต็มไปด้วยความฟุ้งซ่านขนาดไหน เต็มไปด้วยทุกข์ขนาดไหน เมื่อก่อนไม่เคยรู้เลย เพราะฉะนั้น ชีวิตของเราถ้าไม่ได้รู้จักสภาพสภาวะที่ดีกว่ามันออกจากที่เดิมไม่ได้ มันไม่รู้จักว่ามีที่ดีกว่านี้เหรอ ชีวิตมีที่ไปที่ดีกว่าปัจจุบันที่เป็นอยู่เหรอ จนกว่าจะได้ลองมาปฏิบัติด้วยตัวเอง ศาสนาพุทธเราจึงเป็นศาสนาที่พระพุทธเจ้าบอกว่า “จงลองมาดูเถิด ไม่ใช่บอกว่าจงเชื่อเถิด” จะเห็นว่าถ้าเราไม่เปิดโอกาสให้ตัวเองที่จะมาลองดู เราไม่มีวันที่จะรู้จักคำสอนที่มีค่าสูงสุดในโลกนี้ และเมื่อเราได้ลองแล้วเราก็จะได้รู้ว่า มันไม่ไกลเกินเอื้อมนะ “ความจริงทั้งหมดมันอยู่ในตัวเราอยู่แล้ว” ไม่ต้องซื้อ ไม่ต้องหา ไม่ต้องขอใคร ไม่ต้องใช้ความสามารถพิเศษอะไรเลย ถ้าเคยรู้เรื่องชาวบ้านได้ก็รู้เรื่องตัวเองได้เหมือนกัน มันใช้กิริยาเดียวกัน มีใครในห้องนี้รู้เรื่องชาวบ้านไม่เป็นมั้ยในชีวิตที่เกิดมาเลย ชำนาญทุกคน

เราทำงานก็มีจดโน้ต มีคำเตือนตัวเองที่ต้องไปทำนี่ ต้องไปทำนั่น ต้องไปทำนู่นนะ เตือนตัวเองเรื่อยๆ ส่วนใหญ่ไปทำอะไรที่ไม่ต้องทำน่ะ…ขยันทำสิ่งที่ไม่ต้องทำ มีคำเตือนตลอด ก็ใช้กิริยานั้นมาเตือนตัวเองว่า “อย่าลืมรู้กายรู้ใจ” มันก็เป็นกิริยาเดิมที่เราชอบทำ แต่แค่เปลี่ยนที่ทำแค่นั้น เปลี่ยนเรื่องทำแค่นั้น เพราะฉะนั้น ถ้ารู้อย่างนี้จะให้บอกว่าการปฏิบัติมันยากนี่ แหม…พูดยาก พูดไม่ได้เลย มันยากหน่อยตรงที่มันปฏิบัติคนเดียวไม่ค่อยได้ นั่งๆ แป๊ปๆ ขี้เกียจแล้ว ไปดีกว่า

เวลาปฏิบัติไปแล้วมีอะไรเกิดขึ้นในกายในใจแล้วมีคำถามว่าทำไม? ทำไมเป็นแบบนี้? ทำไมเป็นอย่างนี้? จะทำยังไงดี? ให้รู้ทันว่าตอนนั้น “ตัวตนกำลังเกิดขึ้นแล้ว” เราไม่ใช่แค่รู้สึกแล้ว เอ๊ะ!ทำไมไม่เป็นเหมือนเมื่อวาน มันควรจะดีกว่านี้ แปลว่าเราอยู่กับอดีตแล้ว เราอยู่กับอนาคตแล้ว เราอยู่กับความคาดหวังแล้ว ทั้งหมดนี้อยู่ได้เพราะมีคำว่า “เรา” อยู่ข้างหลัง ให้รู้ทัน “รู้ทันความเป็นเราเกิดขึ้นแล้ว

 

ตอนที่ 3 คาด

เห็นได้มั้ยว่าอาการต่างๆ ทางร่างกายก็เปลี่ยนแปลง เราไม่ได้ทำอะไรมันเปลี่ยนเอง บางทีมันก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ไม่ได้หายไปไหน ก็ต้องเข้าใจว่า ก็เป็นอย่างนั้น ไม่ใช่…ทำไมไม่หาย เอาอีกแล้ว เท่ากับเราไม่ได้เห็นอย่างที่มันเป็น การเห็นอย่างที่มันเป็นคือ “มันเป็นยังไงก็รู้มันเป็นอย่างนั้น” อย่าลืมที่บอก เราไม่ได้เป็นผู้จัดการ เราเป็นแค่ผู้สังเกตการณ์ เป็นผู้จัดการได้เงินเดือน เป็นผู้สังเกตการณ์ได้ปัญญา บางทีพวกเราก็เหมือนปลาทองนะ พูดแล้วพูดอีก พูดแล้วก็ลืม บอกให้สังเกตการณ์ก็ชอบจัดการ หลักการปฏิบัติธรรมลืมง้ายง่าย โกรธใครนี่จำแม่นเหลือเกิน

อย่าไปคาดหวังกับอะไร แค่รู้ แค่เห็น เป็นแค่ผู้สังเกตการณ์ สังเกตมั้ยพวกเราชอบคาด คาดหวังเกิดจากอะไรคำว่า “คาด” “คาดการณ์” คาดการณ์ไว้ต้องเป็นอย่างนี้ต้องเป็นอย่างนั้น แล้วก็ผิดคาดทุกที

พอผิดคาดก็ทุกข์ เซ็ง เบื่อ เศร้า เหงา หงอย สารพัดอกุศลเกิดขึ้นเต็มจิตใจ เพราะเราไปคาดการณ์เอาไว้ ต่อด้วยคาดหวัง คาดหวังว่านั่งแล้วจะต้องเป็นอย่างนี้เป็นอย่างนั้น เดินก็คงจะเป็นอย่างนี้เป็นอย่างนั้น คาดการณ์ว่าคนนี้ควรจะต้องเป็นอย่างนี้กับเรา เรื่องนี้คงต้องเป็นอย่างนั้น มีสารพัดคาดแล้วก็ผิดคาดบ่อยๆ เลยทุกข์ “จะคาดการณ์ จะคาดหวัง สุดท้ายจบที่คาดไม่ถึง” เพราะฉะนั้น เราแค่รู้อย่างที่มันเป็น มันจะไม่มีการคาดการณ์ ไม่มีความคาดหวัง มันจะพอดีที่ปัจจุบันนั้นๆ

เมื่อเราปฏิบัติเป็นแล้ว ก็ต้องปฏิบัติให้มาก ปฏิบัติให้พอ เรียกว่า “ปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรม” ผลมันถึงจะบังเกิด

สังเกตมั้ยว่าเวทนามันเกิด มาถึงวันนี้เราก็แค่รู้สึกว่า สักว่าเป็นเวทนาเฉยๆ เราไม่ได้เข้าไปอินหรือเข้าไปเป็นเหมือนเมื่อก่อน เวทนาก็แค่ถูกรู้ มีอยู่แต่ไม่ได้ไปเป็นกับมัน ไม่ได้ทุรนทุรายไปกับมัน สมมติเวทนามันขึ้นมากๆ จนไม่ไหว ความไม่ไหวนั้นก็ไม่ใช่เราไม่ไหว เพียงแต่เรารู้ได้ว่าถ้ามีเวทนาขนาดนี้ ก็สมควรที่จะขยับซักหน่อย แต่ไม่ใช่เป็นทำนองว่า ทุกข์กับมันเหลือเกินไม่ไหวแล้วชั้นอยากขยับ

เวลามีเวทนาเกิดขึ้น สังเกตมั้ยว่าก่อนจะขยับเนี่ยมันมีความกลัวเกิดขึ้นก่อน กลัวว่าถ้าไม่ขยับเขยื้อนเดี๋ยวมันจะแย่ไปกว่านี้ ถ้าเราเห็นความกลัวนั้น เวทนาที่เมื่อกี้ว่าแรงๆ รู้สึกว่ามันเยอะมันจะลดลงทันที เพราะในขณะที่เกิดความกลัวขึ้นมันมีตัวเราไปรับเวทนานั้น มันเลยคูณสองขึ้นมา

การที่เราจะฝึกเห็นเวทนาไว้บ้างเป็นเรื่องดี เวลาเราใกล้จะตายมันก็มีเวทนาในร่างกายด้วย สมมติเราเข้าโรงพยาบาล เคยเห็นพ่อแม่เรานอนอยู่บนเตียง สายระโยงระยางขยับไม่ได้ เพราะป่วยหนักใกล้จะตาย เค้าทรมาน เพราะเค้าเมื่อยอยู่ท่าเดิมตลอด แต่พอไม่เคยปฏิบัติธรรม ไม่เคยเห็นเวทนาสักว่าเวทนา มันก็ทุกข์ดับเบิ้ลเข้าไปอีก เพราะว่าไม่เคยฝึก การที่เราฝึกแบบนี้มันช่วยเรามาก

วันหนึ่งทุกคนจะต้องตายและส่วนมากก็ต้องนอนเฉยๆ ขยับไม่ได้ก่อนจะตาย เวทนาก็จะมาเยือน ความเมื่อย ความปวด ถ้าเรามีโทสะกับเวทนาแบบนั้นไม่มีใครมาขยับให้เรา ไม่มีใครมายกเรา และตายไปตอนนั้นจะเป็นยังไง เพราะฉะนั้น อาศัยการฝึกตั้งแต่วันนี้ ฝึกไปทั้งชีวิตนั่นแหละ กาย เวทนา จิต ธรรม แค่รู้ แค่ดูมันไป

ระหว่างผมพูดไป สังเกตมั้ยเวทนามันก็ขึ้นๆ ลงๆ มันอาจจะไม่ได้หายไปเพราะเรายังอยู่ในท่าเดิมแต่มันขึ้นๆ ลงๆ เดี๋ยวก็เบา เดี๋ยวก็แรง เดี๋ยวก็เบา มันก็เป็นอย่างนั้น “มันแสดงอนิจจังอยู่ตลอดเวลา” ถึงบอกว่าถ้าเราอดทนที่จะไม่จัดการ ไม่แทรกแซง เราจะได้เห็นความจริงลักษณะนี้ แค่รู้ รู้เฉยๆ ไม่จัดการ ไม่แก้ไข ไม่แทรกแซง แล้วความจริงมันก็เปิดเผยออกมาเอง ไม่ต้องไปหาเลยเห็นอยู่ทนโท่ขาตัวเองนี่แหละ ผิวหนังก็สัมผัสอากาศร้อนหรืออากาศเย็น ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เราร้อนหรือเราเย็น เราเป็นส่วนเกิน ถ้ามีเราไปรับต้องทุกข์ ความปวดความเมื่อยที่อยู่ในขาอยู่ในหลังมันก็เป็นเรื่องของมัน ถ้าเราเข้าไปรับก็ต้องทุกข์

 

13-04-2562

Camouflage

 

YouTube : https://youtu.be/LKPz1njvIGQ

คลิปเสียงธรรมชุดสนามซ้อมรบ ครั้งที่ 1 วันที่ 9-16 เมษายน 2562

ฟังรวมคลิปเสียงธรรมได้ที่ https://goo.gl/RDZFMI

5 ช่องทางติดตามข่าวสาร
1) YouTube: https://goo.gl/in9S5v

2) Facebook : https://www.facebook.com/SookGuySookJai

3) Line : @camouflage.talk
https://line.me/R/ti/p/%40camouflage.talk

4) Podcast: Camouflage – Dhamma Talk
https://itun.es/th/t6Mzdb.c

วิธีการติดตั้ง https://goo.gl/tBMY9S

5) website : https://camouflagetalk.com/