105.ซ้อมรบ 14 – ทำอะไรโง่ๆ แบบนี้

ตอนที่ 1 การเห็นอย่างวิเศษ 

ชีวิตเรามีความสุขจากการพึ่งพิงสิ่งภายนอกตลอดชีวิต ต้องเจอคนนี้ ต้องเห็นคนนั้น ต้องได้ยินได้ฟังได้สัมผัสแบบนี้ ถึงจะเรียกว่ามีความสุข ถึงจะรู้สึกว่าได้รับความสุข  เราไม่เคยมีความสุขที่ปราศจากการพึ่งพิงสิ่งภายนอก

แต่พอเรามาปฏิบัติธรรม เราจะเริ่มพบความสุขที่เกิดขึ้นจากภายในไม่เกี่ยวกับใคร  เป็นความสุขจากการเห็นกายและจิตนี้ตามความเป็นจริง  ถ้าใครปฏิบัติแล้วเคยสัมผัสความสุขจากการ ‘ได้รู้ได้เห็นกายและจิตนี้ตามความเป็นจริง’ ก็แปลว่าการปฏิบัตินั้นได้เข้าไปลึกซึ้งในชีวิตของเราแล้ว

ความสุขที่เราเคยได้รับในโลก ไปสังเกตดู เป็นความสุขที่พาเราหลงเพลิน เพลิดเพลิน  แต่ความสุขจากการเห็นตามความเป็นจริง มันไม่เพลิดเพลิน แต่เป็นความรู้สึกอัศจรรย์ ทำนองว่า “โอ้อย่างนี้ก็มีด้วย”  และรู้เลยว่าถ้าไม่ภาวนาไม่ปฏิบัติธรรม ไม่มีวันจะเห็นความจริงแบบนี้

เหมือนคนที่ปฏิบัติธรรมตามที่ผมสอนไว้  คำว่า “ไม่ทำอะไร”…ไม่มีการทำอะไร  วันนี้เราก็เข้าใจอย่างนึง พอเราปฏิบัติผ่านไปๆ  เราก็…อ๋อเข้าใจแล้ว ไม่ทำอะไรนี้เป็นยังไง  ผ่านไปอีก เข้าใจลึกซึ้งมากขึ้นไปอีก สิ่งที่คิดว่าเคยไม่ทำอะไร อ้าว! ยังทำอยู่นี่ การที่เข้าใจว่า เอ้ย! ยังทำอยู่นี่ เพราะมันมีความจริงบางอย่างแสดงขึ้นมา แสดงให้เห็นว่ามันไม่เกี่ยวกับเราเลย  ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ทำงานของมันเอง  ความอัศจรรย์ใจมันเกิดขึ้นจากการค่อยๆ เข้าไปประจักษ์แจ้งความจริงในแต่ละชั้นๆ ไปเรื่อยๆ 

การค่อยๆ เห็นความจริงแล้ว..ว้าว! ไปได้เรื่อยๆ นี้ มันก็อนุมานได้ว่าเป็นความสุข แต่มันก็ไม่เชิงเป็นความสุขหรอก แค่พยายามใช้คำเดียวกันเปรียบเทียบกับความสุขในโลกเฉยๆ แต่ในความเป็นจริงก็คือ ความอัศจรรย์ หรือที่พระพุทธเจ้าใช้คำว่า “วิปัสสนา แปลว่า การเห็นอย่างวิเศษ แปลว่า ไม่ใช่การเห็นธรรมดา การเห็นตามความเป็นจริงนั้นเป็นการเห็นอย่างวิเศษ  เมื่อเราได้เห็นซักครั้งหนึ่ง…มันก็เลยว้าวว! แต่พอได้เห็นเลยเรื่อยๆ มันก็ไม่ค่อยว้าวแล้ว แต่มันก็ยังวิเศษอยู่

พวกเราที่เป็นลูกศิษย์มานาน หลายคนพอตอนเริ่มปฏิบัติก็จะมีการบ้านมาส่ง สภาวธรรมหรืออะไรก็ตามที่ได้รู้ได้เห็นขึ้นมาก็มาเล่ามาอธิบายให้ฟัง  และมักจะปิดท้ายด้วยคำว่าทำยังไงต่อ? คำตอบผมก็มักจะมีคำตอบเดียวคือ “ไม่ต้องทำอะไร” ทำเหมือนเดิม ทุกครั้งคนที่มาถามก็จะกลับไปด้วยความเซ็งๆ เล็กน้อย…ว่ามีแค่นี้เหรอ  มาถามแล้วถามอีกจนเลิกถาม เพราะรู้แล้วว่าจะตอบอะไร

ผมยืนยันว่า “ไม่ให้ทำอะไร” ทำแค่นี้แหละ  เวลาผ่านไปๆ ความเข้าใจในความเป็นจริงก็ค่อยๆ เกิดขึ้นๆๆ จนเข้าใจด้วยตัวเองว่า เออ… “มันง่ายจริงๆ  มันไม่ต้องทำอะไรเยอะแยะจริงๆ ด้วย”  แค่อดทนที่จะทำหน้าที่ง่ายๆ โดยไม่เลิก ไม่ลดละ ทำหน้าที่อย่างมีวินัยไปเรื่อยๆ แล้วความจริงจะค่อยๆ ปรากฏออกมา จนเราเข้าใจว่าแม้กระทั่งสติสมาธิที่เราพยายามเจริญอยู่นี้… “มันก็ไม่ใช่ของเรา” แล้วมันก็จะทำงานเองให้เราดูด้วย

ลองคิดดูว่าถ้าเราฝึกไปจนวันนึงเรานั่งเห็นจิตมันออกไป แล้วสติอัตโนมัติก็ทำงาน กลับมาที่ตัว แล้วเดี๋ยวมันก็ออกไป เราก็เห็นสติอัตโนมัติมันก็ทำงาน ก็กลับมาที่ตัว มันจะสนุกแค่ไหน เราไม่ต้องทำอะไรซักอย่างนึงเลย เรา “แค่ดูมันเฉยๆ

สังเกต…ทุกวันไม่เหมือนกัน อารมณ์ความรู้สึกต่างๆ แม้กระทั่งร่างกายก็ไม่เหมือนกัน ทุกวันทุกเวลา เช้าสายบ่ายเย็นกลางคืนไม่เหมือนกัน “เปลี่ยนแปลง” แม้กระทั่งเดินไปเดินมามันก็เปลี่ยนแปลง รอบนี้เป็นแบบนี้ เดินกลับไปก็เป็นอีกแบบนึง อย่าอยากให้มันเป็นอย่างที่เราอยากให้เป็น “มีหน้าที่แค่รู้อย่างที่มันเป็น

 

ตอนที่ 2 ทำอะไรโง่ๆ แบบนี้ 

เราหยุดยืน เห็นร่างกายมันยืน รับรู้ถึง “ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม” แล้วก็ออกเดินต่อ “ทุกการหยุดจะส่งเสริมกำลัง” ให้เราสามารถเดินต่อไปได้ด้วยความรู้เนื้อรู้ตัว ถ้าเราเห็นร่างกายนี้มันเดินอยู่ มันหยุดอยู่ มันหมุนอยู่ มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมอยู่เนืองๆ เราจะเห็นจิตที่มันจะแวบไปคิดนี่จะแวบไปดูนั่น เราจะเห็นเร็ว ยังไม่ทันไป เราเห็นก่อน  หรือเรียกว่าจะแวบไปให้ความสนใจสิ่งใดสิ่งหนึ่งภายนอก เราจะเห็นความรู้สึกที่เรียกว่าให้ความสนใจที่จะออกนอกก่อน พอเห็นทันมันก็จบที่ตรงนั้น…ไปต่อไม่ได้

เดินให้มีลักษณะของความตื่นรู้ ไม่ใช่เดินเอื่อยเฉื่อย เราอาจจะเดินไม่เร็ว แต่จิตใจนี้ให้มันตื่นรู้ เดินด้วยความตื่นรู้  ไม่ใช่ดูป้อๆ แป้ๆ หมายถึงจิตใจ ไม่ใช่ท่าเดิน

แค่เห็นร่างกายนี้มันกำลังเดินอยู่ มันกำลังเป็นอะไรอยู่ ท่าไหนก็รู้ แค่เห็นไม่ต้องตั้งใจจะให้ไม่ลืม

หลงกับรู้เป็นธรรมชาติที่จะเกิดขึ้น” ให้มันเกิดธรรมชาติแบบนั้น การที่เราปล่อยให้หลงกับรู้มันเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ นั่นเราจะได้เห็นว่าวิญญาณขันธ์นี่มันก็ไม่เที่ยง เดี๋ยวมันก็รู้ เดี๋ยวมันก็หลง แล้วเดี๋ยวมันก็รู้ แล้วเดี๋ยวมันก็หลง ควบคุมบังคับบัญชาให้มันเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งเลยไม่ได้ เราจะเห็นอนัตตาของจิต เราจะเห็นร่างกายนี้เป็น Background แล้วจิตมันไปไหน ก็รู้ทัน

เราปฏิบัติธรรมอยู่ทุกวี่ทุกวัน บางทีปฏิบัติไม่เป็นซะงั้น อันนี้เป็นเรื่องปกติของนักปฏิบัติมืออาชีพทุกคน บางวันงงทำไงว่ะ ไม่ต้องงง เป็นเรื่องธรรมดา  ครูบาอาจารย์ทุกคนก็เคยรู้สึกแบบนั้น  บางทีงงไม่รู้จะดูอะไร จะดูยังไง ขั้นแรกเลยให้เห็นว่า “ความสงสัยเกิดขึ้นแล้ว” พอรู้ความสงสัยเกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่เราทำได้ง่ายๆ เลยคือ “รู้สึกตัว”  ที่เคยบอกหลวงปู่มั่นเคยพูดว่า “ดูจิตไม่ได้ให้ดูกาย ดูกายไม่ได้ทำสมถะ” เราไม่รู้จะปฏิบัติยังไงงงๆ เดินไปก่อน เดินตะพืดตะพือไป เดินรู้สึกตัวตะพืดตะพือไป ไม่ต้องเอาถูกเอาผิดเอาอะไรทั้งนั้น ให้มันมีความรู้สึกตัว รู้เนื้อรู้ตัวไว้เป็นใช้ได้

อย่างที่ผมพูดหลายครั้ง เวลาเราฟังข้อมูลเรื่องสติ เรื่องสมาธิ เรื่องปัญญา ฟังเยอะๆ นี่…งง เอ๊ะ! มันยังไงดีนะตอนนี้  ผมถึงพยายามหลีกเลี่ยงอะไรพวกนี้ แล้วมักจะบอกแค่ว่า เวลาเดิน…ก็แค่เห็นร่างกายนี้มันเดินอยู่  เวลาหยุด…ก็เห็นร่างกายนี้มันหยุดอยู่   รู้สึกแล้วก็เห็นร่างกายมันหมุนอยู่  รู้สึกแล้วก็เดินต่อ ก็เห็นร่างกายมันเดิน  ผมพูดแค่นี้แหละ มันจะประกอบด้วยสติประกอบด้วยสมาธิ แล้วเดี๋ยวเมื่อเหตุปัจจัยมันพร้อม มันก็จะเจริญปัญญาเห็นในมุมของไตรลักษณ์ได้ …

อดทน” ที่จะแค่เห็นร่างกายนี้มันเดิน อดทนต่อความรู้สึกว่าแค่นี้เหรอ อดทนต่อความรู้สึกที่จะรู้สึกว่าตัวเองรู้น้อยไป

เหมือนครั้งหนึ่งท่านเขมานันทะได้รู้จักหลวงพ่อเทียน  หลวงพ่อเทียนสอนให้ขยับมือ 14 จังหวะ ท่านเป็นพระที่ข้อมูลในพระไตรปิฎกเยอะมหาศาล มีความรู้ปริยัติเรื่องสติสมาธิปัญญาเต็มเปี่ยม เรียกว่าท่านเป็นเลิศในการวิเคราะห์เนื้อหาในพระไตรปิฎกเลย  หลวงพ่อเทียนสอนให้ขยับมือ 14 จังหวะ ท่านเขมานันทะรับไม่ได้ ท่านพูดถึงขนาดว่าให้มานั่งทำอะไรโง่ๆ แบบนี้ สู้มานั่งวิเคราะห์วิจัยเนื้อหาธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอนดูจะมีอะไรมากกว่ามานั่งทำอะไรโง่ๆแบบนี้  ท่านใช้เวลา 6 ปีอยู่กับหลวงพ่อเทียนแต่ไม่ทำตาม  วันนึงเข้าห้องน้ำ นั่งนาน เลยเริ่มขยับมือ พอขยับมือท่านเลยรู้สึกถึงความตื่นขึ้นมา รู้สึกตัวขึ้นมา หลุดออกจากความคิดที่ท่านเข้าไปอยู่มาตลอดชีวิต  นับตั้งแต่วันนั้นท่านก็เริ่มทำอะไรโง่ๆ จวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต

สมัยหนึ่งหลวงปู่มั่นเดินจงกรม เดินไปก็เดินกลับ เดินไปก็เดินกลับ ชาวบ้านชาวดอยเดินมาเห็น คนเหนือเรียก ตุ๊เจ้า ถามหลวงปู่มั่นว่า “ตุ๊เจ้าหาอะไร เห็นเดินไปเดินมาหลายรอบแล้ว” หลวงปู่มั่นตอบ “หาพุทโธ” ชาวบ้านช่วยกันหาใหญ่เลย เดินไปเดินมาเหมือนกัน หาพุทโธตามพื้น สมมติว่าท่านก็เดินแล้วพุทโธไปเรื่อย ชาวบ้านก็อาจจะคิดเหมือนกันว่ามาเดินทำอะไรโง่ๆ แบบนี้ ไม่เห็นจะได้ประโยชน์อะไรเลย  เพราะฉะนั้น ไม่ต้องแปลกใจที่ผมจะให้เดินและก็เห็นร่างกายนี้มันเดินอยู่… “ทำโง่ๆ แบบนี้แหละ

 

ตอนที่ 3 อดทน 

เราทุกคนต้องอดทนทั้งชีวิตที่จะทำเรื่องน่าเบื่อๆ แบบนี้  ในหมู่พวกเราก็มีบุคคลตัวอย่างที่น่าสนใจคือ หลวงพี่ หลวงพี่มักจะมาปรึกษาเวลาเกิดปัญหาในการปฏิบัติธรรม  เริ่มจากไลน์มาตุ๊งแหน่วๆ แล้วผมก็ตอบไป  เวลาผ่านไปมาอีก…ตุ๊งแหน่วๆ เริ่มยาว  ผมก็ตอบไป  คำตอบสุดท้ายมักจะเป็นคำถามที่หลวงพี่ถามว่า “แค่นี้เหรอ?” ผมบอก “แค่นี้แหละ” พอหลวงพี่อยากได้คำตอบแบบอื่นบ้าง ก็จะเขียนมายาวขึ้น เขียนมาเป็น 10-20 ข้อความให้ผมตอบให้ได้  บางครั้งผมก็แกล้งไม่ตอบ จนกว่าผมจะได้รับคำตอบจากหลวงพี่ว่า “อ๋อ…รู้แล้ว” โดยที่ผมไม่ต้องตอบอะไรเลย ทำเหมือนเดิม  พออดทนที่จะทำเหมือนเดิม สภาวะอะไรที่กำลังติดอยู่ สุดท้ายมันก็ต้องผ่านไป

แต่เพราะเรา “ควานหา” เมื่อเกิดปัญหาขึ้น เราควานหาวิธี หาอุบาย หาอะไรที่จะทำ ที่จะแก้ไขจัดการให้มันดีขึ้นให้ได้  และนั่นคือ “กับดัก สร้างความเป็นเรา” ที่จะมีเรารับความทุกข์แบบนั้น และมีเราหนีความทุกข์แบบนั้นได้

สมัยก่อนหลวงพี่ก็เป็นคนที่สามารถหนีได้ทุกอย่าง แต่พอไม่ให้ทำอะไรนี่ มันยิ่งทรมานหนักเลย แต่จำเป็นต้องให้ทรมานแบบนั้น ถึงได้เข้าใจว่า ไม่ต้องทำอะไรนี่เป็นยังไง ถึงได้มีโอกาสเห็นความจริงว่า “มันเป็นเอง มันเปลี่ยนแปลงเอง มันทำของมันเอง

เมื่อก่อนหลวงพี่ก็เป็นนักผจญภัยไปทุกที่ พรรษาที่แล้วก็โดนจับขังอยู่ที่สวนธรรมไม่ให้ไปไหน ไม่เช่นนั้นทีมหมูป่าเราจะได้เห็นหน้าหลวงพี่ออกไปช่วย  แต่แล้วการที่ถูกขังก็ทำให้หลวงพี่เข้าใจการปฏิบัติธรรมในที่สุด เห็นตามความเป็นจริงได้

ถ้าเคยฟังท่านเขมานันทะเล่าเกี่ยวกับหลวงพ่อเทียนก็จะรู้ว่า หลวงพ่อเทียนนี่จับเณรขัง จับพระขังไม่ให้ออกมาเลยจากกุฏิ เพื่อจะได้เรียนรู้ตัวเอง เห็นตัวเอง ไม่ให้หนี

เพราะฉะนั้น เราเดินหรือแม้กระทั่งนั่ง สิ่งที่เราคาดหวังมีแค่เล็กๆ น้อยๆ ใช้คำพูดคาดหวัง เพราะเราชอบคาดหวังกัน เราคาดหวังแค่นิดหน่อยว่า “เรายังเห็นอยู่มั้ย” ร่างกายที่กำลังเดินอยู่หรือกำลังนั่งอยู่  ถ้าเราเห็นร่างกายมันเดินได้อยู่จริงๆ เนี่ย มันจะไม่มีความเบื่อเข้ามา การที่เราเป็นผู้เห็นร่างกาย เห็นจิตใจอยู่ สมาธิจะค่อยๆ เกิดขึ้น มีผลทำให้ความรู้สึกกายเบาจิตเบา ความเนื่องในปัจจุบันที่กำลังเห็นอยู่นั้น ทำให้เราพ้นจากกาลเวลา เมื่อเราพ้นจากกาลเวลา มันมีความเบื่อไม่ได้  “ความเบื่อเกิดขึ้นจากกาลเวลา” แต่ตอนที่สมาธิมันยังไม่ค่อยเกิด มันก็มีเบื่อ..ตอนนี้ต้องอาศัยความอดทน

 

12-04-2562

Camouflage

 

YouTube : https://youtu.be/5ApV1v8Drrs

คลิปเสียงธรรมชุดสนามซ้อมรบ ครั้งที่ 1 วันที่ 9-16 เมษายน 2562

ฟังรวมคลิปเสียงธรรมได้ที่ https://goo.gl/RDZFMI

5 ช่องทางติดตามข่าวสาร
1) YouTube: https://goo.gl/in9S5v

2) Facebook : https://www.facebook.com/SookGuySookJai

3) Line : @camouflage.talk
https://line.me/R/ti/p/%40camouflage.talk

4) Podcast: Camouflage – Dhamma Talk
https://itun.es/th/t6Mzdb.c
วิธีการติดตั้ง https://goo.gl/tBMY9S

5) website : https://camouflagetalk.com/