101.ซ้อมรบ 10 – ชีวิตมนุษย์

ตอนที่ 1 ชีวิตมนุษย์

เมื่อกี้สังเกตมั้ยว่า เสียงก็สักแต่ว่าเสียง  เปลี่ยนการกระทบทางตาหูจมูกลิ้นกายใจให้กลายเป็นปัญญา ไม่ใช่ไหลไปตามสิ่งที่เข้ามากระทบจนเป็นอารมณ์ ยินดีพอใจ ไม่ยินดีไม่พอใจ ใช้กิเลสนำชีวิต ใช้ความโลภความโกรธความหลงนำชีวิต  พลิกทุกอย่างที่เข้ามากระทบให้กลายเป็นปัญญาเห็นมันในมุมของปัญญา ในมุมของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา 

เรากำลังสร้างให้เกิดความเคยชินที่จะมีสัมมาทิฏฐิ … “สัมมาทิฏฐิ” คือ เนื้อแท้ของศาสนาพุทธ คือ เห็นถูก…เห็นตามความเป็นจริง ไม่เกี่ยวกับความเชื่ออะไรทั้งนั้น

ทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเรานี่เป็นเหมือนคุณครูของเรา ยิ่งทุกข์มากเท่าไหร่ เราจะรู้จักว่าความพ้นทุกข์อยู่ที่ตรงไหน ยิ่งสุขสบายมากเท่าไหร่ เราจะยิ่งหลงเพลินนึกว่าชีวิตนี้ดีอยู่แล้ว บุญหนุนนำอยู่ ชีวิตก็สุขสบาย วันนึงบุญหมด ความทุกข์ถาโถมเข้ามา ถ้าไม่ฝึกตั้งแต่วันนี้อาจจะต้องฆ่าตัวตายเพราะทนทุกข์นั้นไม่ไหว คนเราฆ่าตัวตายก็เพราะหนีความทุกข์นั่นแหละ เพราะไม่เรียนรู้ทุกข์ตั้งแต่วันนี้ ไม่รู้จักความจริงของชีวิตว่าเป็นยังไง พอไม่มีทางออก ทางออกสุดท้ายคือ ฆ่าตัวตาย เป็นทางออกของคนในโลกที่ไม่เข้าใจความจริงว่าโลกนี้มีแต่ทุกข์

ถ้าเคลิ้มให้ลืมตาขึ้น  ลืมตาก็รู้สึกร่างกายได้ ไม่จำเป็นต้องหลับตาอย่างเดียว แต่พอลืมตา จิตก็จะออกนอกง่าย …หลงไปดูก็รู้ทัน ส่งออกไปดูแล้ว ขณะที่ส่งออกไปดูนั้นลืมร่างกายแล้ว แต่ธรรมชาติของจิตนั้นเป็นแบบนั้น เราเรียนรู้ว่า ธรรมชาติมันเป็นแบบนี้ ไม่ได้ห้ามไม่ให้มันออก เรามีหน้าที่เรียนรู้ว่าธรรมชาติมันเป็นแบบนี้ มันออก มันชอบออกด้วย มันชอบลืมตัวด้วย มันชอบหลงเพลิน…เพลินไปในความคิด ความหวัง เพลินไปในอนาคต จมอยู่ในอดีต …ชีวิตเรามันก็มีแค่นี้แหละ ไม่ได้ซับซ้อนเลย จมอยู่ในอดีต คาดหวัง แล้วก็ไม่อยู่กับปัจจุบัน…ชีวิตมนุษย์ก็มีแค่นี้แหละ

เพราะฉะนั้น จะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์เริ่มจากการมี “สติ รู้เนื้อรู้ตัว”ให้ได้… รู้เนื้อรู้ตัว รู้ทันอารมณ์ที่เกิดขึ้นในจิตใจ รู้ทันความยินดีพอใจ ความไม่ยินดีไม่พอใจ และถือศีล 5 เอาไว้ เก็บปากเก็บมือเก็บเท้าเก็บสีหน้าไว้ ไม่ให้มันออกมาเพ่นพ่าน แล้วชีวิตจะเริ่มปกติขึ้น

จิตใจที่เป็นปกติ” เป็นจิตใจที่ไม่มีราคะ ไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะ เป็นจิตใจที่พร้อมจะเห็นตามเป็นจริงได้ ปราศจากกิเลส ปราศจากความอยาก เป็นจิตใจที่เป็นกลางๆ ไม่มีความยินดี ไม่มีความยินร้าย พร้อมจะเห็นทุกสิ่งตามความเป็นจริง เห็นตัวเองเหมือนเวลาเห็นคนอื่น เวลาดูคนอื่น นินทาคนอื่น วิจารณ์คนอื่น ไม่อึดอัดไม่แน่นใช่มั้ย ไม่เพ่งด้วย สนุกอีกต่างหาก ….ดูตัวเองก็เหมือนดูคนอื่น

 

ตอนที่ 2 เริ่มชีวิตใหม่ด้วยตัวเราเอง

คอร์สนี้เราจะเปลี่ยนวิถีชีวิตของคนอีกหลายคน การที่เราจะเปลี่ยนชีวิตใคร หรือชีวิตของใครกำลังจะเปลี่ยนแปลง กรรมมันจะมา มารมันจะมาขัดขวางทำให้เราเลิก หลอกเราทำให้เราท้อแท้ อย่าหลงตามมัน

จับหลักเอาไว้ ยึดหลักเอาไว้ เรามีหน้าที่ที่สำคัญที่สุดในชีวิต เมื่อกงล้อธรรมจักรของพระพุทธเจ้าเคลื่อนไปแล้ว จะไม่ให้อะไรต้านทานได้ ไม่ต้องกลัวความทุกข์ความเจ็บปวดความทรมานอะไรทั้งนั้น เราจะผ่านทุกสิ่งไปด้วยสัมมาสติ สัมมาสมาธิ และการเห็นสิ่งเหล่านั้นตามความเป็นจริง แล้วเราจะผ่านมันไปด้วยกัน

มีอารมณ์เกิดขึ้นในใจให้รู้ทัน…ไม่ใช่เรา  เมื่อเราเริ่มเปลี่ยนวิถีชีวิตของเราที่จะไม่ทำตามกิเลส ไม่ไปตามความยินดีพอใจ หรือความไม่ยินดีไม่พอใจ ไม่ไปตามวิถีชีวิตความคิดความเชื่อเดิมๆ …กรรมเราจะเปลี่ยน เราเปลี่ยนกรรมได้ด้วยการสร้างกรรมใหม่ที่ถูกต้อง เมื่อสร้างกรรมใหม่ ชีวิตใหม่จะเกิดขึ้น เมื่อเราฝืนวิถีชีวิตความคิดความเชื่อเดิมๆ เราคือคนใหม่ เราไม่ได้เชื่อ หรือคิดอะไรแบบเดิมๆ อีกแล้ว เราเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าแล้ว 

ถ้าเราเริ่มชีวิตใหม่ด้วยตัวของเราเอง ต่อไปถ้าชอบไปดูหมอดูก็จะดูไม่ถูกแล้ว หมอดูอาศัยดูอะไร? ดูวันเกิด ดูดวงดาวเวลาเกิด…นั่นมันกรรมในอดีตแล้ว  ถ้าเราไม่ปฏิบัติธรรม ชีวิตเราก็ตามความเคยชินเก่าๆ ก็คือตามวันเกิดตามเวลาเกิดนั่นแหละ หมอดูดูยังไงมันก็ถูก สถิติมันเป็นแบบนั้น

แต่เมื่อเราเริ่มเปลี่ยนวิถีชีวิตนั่นคือ การเกิดใหม่ จำไว้ ทุกครั้งที่เราเปลี่ยนวิถีชีวิตไม่ทำตามกิเลสนั่นคือการเกิดใหม่ ของเก่าใช้ไม่ได้แล้ว กรรมเก่าก็แค่ให้ผลจนหมด หมดเหตุผลก็หมด แล้วกรรมใหม่จะให้ผลเป็นชีวิตใหม่ แล้วถ้าเรามีชีวิตใหม่อยู่ทุกขณะ ชีวิตเราจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เราเป็นคนกำหนดชีวิตของตัวเองตามเส้นทางที่พระพุทธเจ้าวางเอาไว้

อย่าลืมว่าเราไม่ต้องกลัวหลง สังเกตมั้ยว่าเราฟังเทศน์มา 2 วัน 3 วัน คนที่ชอบเพ่งก็คลายลง คลายเอง มีเหตุปัจจัยคือ เราได้ฟังธรรมที่ถูกต้อง เราเลิกที่จะทำอะไร เป็นแค่ผู้สังเกตการณ์ เวลาเรากลัวหลงนี่เกิดอะไรขึ้น? เกิดคนขึ้น คนคือ อัตตา อยากดี เพราะความอยากดีจึงกลัวหลง แต่ถ้าเราต้องการได้ความจริง ไม่ต้องกลัว มันหลงก็รู้ว่ามันหลงแล้ว พระพุทธเจ้าก็เป็นผู้ที่ปราศจากความกลัว ความกังวลใดๆ ทั้งสิ้นอีกแล้ว

 

ตอนที่ 3 ความสุขที่แท้จริง

เคยถามบางคนว่าชีวิตทุกข์มั้ย? เค้าตอบว่า ไม่ทุกข์ สบายดี ก็เลยถามต่อว่าเคยกลัวมั้ย? กลัวหิว กลัวไปโน่นไม่ทัน กลัวไปนี่ไม่ทัน กลัวเค้าว่าเรา…อันนี้ไม่ทุกข์เหรอ  กังวลนี่กังวลนั่น อันนี้ไม่ทุกข์เหรอ…เนี่ย! คนมันไม่เคยเห็นตัวเอง เลยไม่รู้ว่าชีวิตนี้มันทุกข์ขนาดไหน นึกว่าทุกข์คือ ต้องร้องไห้อย่างเดียวเรียกว่าทุกข์ คิดฟุ้งซ่านนอนไม่หลับ…ทุกข์มั้ย? คิดไม่หยุดซักทีเรื่องนี้ไม่อยากคิดแล้ว แต่มันก็ยังคิด…ทุกข์มั้ย? เราทุกข์กับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มากมาย แต่เราละเลยที่จะเรียนรู้ว่าชีวิตนี้เป็นทุกข์แสนสาหัส นี่เค้าเรียกว่า จิตใจเต็มไปด้วยโมหะคือ “ความหลง” ไม่รู้จักอะไรเป็นทุกข์ ดิ้นรนจะหาความสุข

ไปเที่ยวญี่ปุ่น เที่ยวไต้หวัน…แค่เก็บกระเป๋าก็ทุกข์แล้ว จะเอาอะไรไปดี เอาชุดไหนดี ต้องเตรียมอะไรไปบ้าง…ไปแล้วต้องสนุกด้วย คาดหวังอีก ต้องได้ความสุข ยังไม่ไปเลย…ทุกข์แล้ว แต่ไม่เห็นเพราะชีวิตอยู่กับอนาคต หวังว่าจะได้ความสุขข้างหน้า

ความสุขที่แท้จริงคือ การได้เห็นกายและใจนี้ตามความเป็นจริง เป็นความสุขจากการมีปัญญา ไม่ใช่ความสุขภายใต้ความอยากของกิเลส เราไม่สามารถได้รับความสุขที่อยู่บนกระทะร้อนๆ ของความอยากได้ นั่นเป็นความโง่ของคนในโลกนี้ที่คิดว่านั่นคือความสุข

ลองฝึกที่จะมีปัญญาขึ้นมา แล้วก็จะรู้จักความสุขแบบใหม่ ความสุขที่ไม่มีอะไรเสียดแทง ไม่มีอะไรบีบคั้น เป็นความสุขที่บริสุทธิ์จากการเห็นตามความเป็นจริง เป็นวิชาที่ไม่มีสอนตั้งแต่อนุบาลยันปริญญาเอกที่เราเรียนมา ประเทศนี้ก็สอนวิชานี้ฟรีๆ เราไปเรียนอนุบาลถึงปริญญาเอก เสียตังค์มากมายได้อะไร? ได้อัตตาตัวตน มานะทิฎฐิที่พอกพูนขึ้นเรื่อยๆ ว่ากูเก่ง

ไปสังเกตชีวิตให้ดีว่ามันผิดพลาดเยอะขนาดไหนในชีวิตที่ผ่านมา เพราะสิ่งเดียวคือ ความเห็นผิด “มิจฉาทิฏฐิ”  คิดว่ามีตัวเราจริงๆ  เพราะมี “กู” มันก็เลยมีของกู มันก็เลยมีมึง มีของมึง ตั้งแต่วันนั้นแหละชีวิตก็เริ่มค่อยๆ พังไปเรื่อยๆ เพราะเข้าใจผิดกับชีวิต

ถ้าเราเข้าใจผิดเรื่องอะไร มีโอกาสมั้ยที่จะใช้ชีวิตได้ถูกต้อง ถ้าเราเข้าใจผิดกับอะไรๆ มีโอกาสมั้ยที่จะเราดำเนินชีวิตหรือจัดการกับสิ่งเหล่านั้นได้อย่างถูกต้อง…มันไม่มี จนกว่าจะเห็นถูกหรือเข้าใจถูก การดำเนินชีวิตจึงถึงจะเริ่มถูก เรื่องเหล่านี้เราอาศัยมีคนบอกคนสอน และที่สำคัญที่สุดคือ ตัวเราเอง เปิดใจ รับฟัง นำไปปฏิบัติ พิจารณาตามจนเห็นตามความเป็นจริงได้

 

ตอนที่ 4 ปฏิบัติธรรมเพื่อเห็นกิเลสในใจตัวเอง

พระสารีบุตรก็เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า ไปบวชกับพระพุทธเจ้า ส่วนแม่นี่อยู่ศาสนาพราหมณ์ เชื่อเทพเจ้า เชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรแบบนั้น เวลาพระสารีบุตรผ่านมาแถวบ้านแม่ ก็แวะพาลูกศิษย์มาด้วย แม่ก็เตรียมที่นอนเตรียมอะไรให้ทุกครั้งที่ลูกกลับมา เห็นเป็นลูกแต่ก็ไม่ได้เลื่อมใสศรัทธาเหมือนคนอื่นที่เค้าเลื่อมใสศรัทธากัน จนวันนึงแม่กำลังจะตาย พระสารีบุตรก็มา ในประวัติแม่ก็เห็นว่าเทพเทวดาที่ตัวเองเคารพนับถือเลื่อมใสศรัทธาต่างเข้าไปประชุมอยู่ในห้องนอนพระสารีบุตรเพื่อฟังธรรม จิตใจจึงเกิดความเลื่อมใสศรัทธาพระสารีบุตรลูกตัวเองขึ้นมา วันสุดท้ายก่อนจะตายถ้าผมจำไม่ผิด แม่ก็บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันขึ้นมา

เพราะฉะนั้น เราทุกคนในนี้ต้องเป็นลูกซักคนนึงนั่นแหละ “ให้ฝึกตัวเอง แล้วความกตัญญูที่แท้จริงแบบนี้จะเกิดขึ้น” ไม่ใช่กตัญญูโดยการพาพ่อแม่ไปทำตามความอยาก หาความสุขจอมปลอมให้เรื่อยๆ หลอกเค้าว่าโลกนี้มีความสุข เรามีหน้าที่ช่วยให้คนที่เรารักเห็นตามความเป็นจริง แม้ว่ามันจะต้องทุกข์ก็จำเป็น… ผู้ใดเห็นทุกข์ ผู้นั้นถึงจะเห็นธรรม

พ่อพระพุทธเจ้าคือ พระเจ้าสุทโธทนะ พยายามทุกวิถีทางที่จะไม่ให้ลูกหรือเจ้าชายสิทธัตถะมีความทุกข์ ท่านสร้างปราสาท 4 ฤดู ปรนเปรอทุกอย่าง ให้ความสุขทุกอย่าง ให้ผู้หญิงเป็นร้อย…นั่นเพราะอะไร? ทำไปด้วยความเห็นผิด สุดท้ายเจ้าชายสิทธัตถะแอบออกจากวังไปดูข้างนอก ไม่รู้จักแม้กระทั่งมีคนแก่ด้วย ไม่รู้จักแม้กระทั่งมีคนเจ็บป่วยด้วย แล้วก็ไม่เคยเห็นคนตายด้วย แต่ด้วยปัญญาบารมีที่ท่านสั่งสมมา  เห็นปุ๊บนี่….ไม่ไหว! รับไม่ได้เลยว่าทำไมชีวิตคนถึงทุกข์ขนาดนี้ จึงได้ตัดสินใจหนีออกจากวังไปหาเส้นทางสู่ความพ้นทุกข์ด้วยตัวเอง

จากเจ้าชายที่อยู่ในวัง สบายเหมือนพวกเราอย่างนี้ มีแอร์มีผ้าห่ม มีคนทำอาหารให้กินดีๆ แต่ท่านออกไปอยู่ป่า พวกเราไม่ต้องถึงกับป่านะ แค่ไปวัดหลวงพ่อเจอยุงกัดก็จะวิ่งแจ้นกลับบ้านแล้ว…อยู่ในห้องแอร์ดีกว่า แล้วป่ามันจะขนาดไหน มีทั้งแมลง สัตว์เล็กสัตว์น้อย สัตว์ใหญ่ ข้าวก็ไม่มีจะกิน กินเท่าที่เค้าให้ สมัยก่อนนี้เรียกว่าเป็นขอทาน ภิกขุแปลว่า ผู้ขอ ต้องไปขอทานเค้า…เนี่ยมันเป็นการทำลายอัตตาตัวตนเบื้องต้น จากเป็นเจ้าชายกลายเป็นต้องไปขอเค้า ขอกิน กินวันละมื้อ นี่คือความทุกข์ทรมานของคนๆ นึงที่หาทางพ้นทุกข์ให้กับพวกเรา

พระเจ้าสุทโธทนะที่เป็นพ่อก็เสียใจมากที่เจ้าชายสิทธัตถะหนีออกไป แม่ เมีย ทุกคนเสียใจ พสกนิกรที่คาดหวังว่า เจ้าชายสิทธัตถะจะขึ้นมาครองราชย์แทนพระเจ้าสุทโธทนะล้วนเสียใจ แต่สุดท้ายเจ้าชายสิทธัตถะตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า ก็ได้กลับเข้าไปในวังรอเวลาถึง 7 ปี หรือ 8 ปี กลับไปในวังสอนบรรดาพ่อแม่พี่น้องตัวเอง เมีย ลูก จนทุกคนก็ได้ธรรมะเป็นพระอริยบุคคลหลุดพ้น ทั้งแม่และภรรยา ลูก ออกบวชตามพระพุทธเจ้าหมด

ประวัติพระพุทธเจ้ารวมทั้งวงศาคณาญาติเหล่านี้เป็นสิ่งเราควรจะศึกษาจะได้รู้ว่า ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่คนเป็นถึงเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินก็ทิ้งทรัพย์สมบัติทั้งหมดออกบวช บุคคลเหล่านั้นมีความรับผิดชอบมากกว่าเราเยอะ ก็ยังตัดสินใจทิ้งทุกอย่าง เพราะฉะนั้น อย่าคิดว่าสิ่งที่เราติดอยู่เป็นเรื่องใหญ่ มันใหญ่เพราะเราคิดว่ามันใหญ่ แค่นั้นเอง

ยุคนี้เราก็ไม่ต้องดูใครไกลมาก ดูหลวงพ่อเรานี่แหละ เคยเป็นเจ้าของธุรกิจ 11 บริษัทอยู่อเมริกา มีเงินระดับที่เรียกว่าในสมัยนั้น 400-500 ล้านบาท หลวงพ่อตัดสินใจวันเดียวไม่เอาแล้ว วันรุ่งขึ้นเรียกทนายมา เซ็นต์ทุกอย่างให้กับลูกน้อง แล้วหลังจากวันนั้นตัวเองก็ไม่กลับอเมริกาอีกเลย

คนที่เคยอยู่มีชีวิตหรูหราไฮโซ ต้องไปอยู่วัดหนองป่าพง ที่อีสาน ฉันน้ำพริกซึ่งเผ็ดก็ฉันไม่ได้ ฉันอาหารอีสานไม่ได้ซักอย่าง เป็นคนอยู่ในเมืองหนาวชิคาโก้ ต้องไปอยู่อุบลซึ่งอุณหภูมิร้อนสุดๆ วัดสมัยก่อนก็ไม่ได้สวยงาม เป็นวัดจนๆ เต็มไปด้วยยุง มีพระป่วยเป็นมาเลเรียจนตายก็มี แต่อดทน ไม่กลับ เพราะรู้แล้วว่ากลับไปในโลกก็เหมือนเดิม ชีวิตก็เหมือนเดิม อยู่ทรมานแบบนี้ยังดีกว่ากลับไปในโลก

แต่ดูเราทุกวันนี้ ไม่มียุงซักตัว นั่งห้องแอร์ ที่นอนอย่างดี จะไปปฏิบัติธรรมที…ก็ถามว่า มีแอร์มั้ย มีที่นอนมั้ย มีโน่นมีนี่มั้ย  คนยุคก่อนก็ลำบากกว่าเราเยอะ

เพราะฉะนั้น ให้เข้าใจว่าเรามาปฏิบัติธรรมเพื่อจะเห็นตัวเอง เห็นกิเลสในใจตัวเอง ไม่ใช่มาเอาความสุข ความสบาย ความเอร็ดอร่อย…เรามาเพื่อจะเห็นตามเป็นจริง

อีก 5 นาที นั่งให้ตื่นเข้าไว้ “ตื่นรู้ เห็นตามความเป็นจริง” ไปคิดก็รู้ทัน มันเริ่มจะออกนอก แต่ยังไม่ทันคิด และถ้ามีสติเห็นได้ว่าลืมกายใจนี้ไปแล้ว…รู้ทัน เค้าเรียกว่า ช่วงนัวๆ

 

11-04-2562

Camouflage

 

YouTube : https://youtu.be/a310XjfQGS

คลิปเสียงธรรมะทั้งหมดของอาจารย์ Camouflage : https://goo.gl/RDZFMI

======================

5 ช่องทางการอ่านและฟังธรรม

1) Facebook : สุขกาย สุขใจ SookGuySookJai
http://www.facebook.com/sookguysookjai

2) Line : @camouflage.talk
https://line.me/R/ti/p/%40camouflage.talk

3) YouTube : สุขกาย สุขใจ SookGuySookJai
https://goo.gl/in9S5v

4) Website: https://camouflagetalk.com/

5) Podcast : Camouflage – Dhamma Talk
https://itun.es/th/t6Mzdb.c
วิธีการติดตั้ง https://goo.gl/tBMY9S