94.ซ้อมรบ 3 – แสวงหา

 

ตอนที่ 1 เนืองๆ

อย่าลืมว่าเราไม่ได้นั่งเอาความสงบ  นั่งเพื่อที่จะตื่นขึ้นมา… “ตื่นรู้”  รู้ร่างกาย รู้ความรู้สึกทางจิตใจ

เราไม่ได้นั่งเพื่อได้รับความสบาย เรานั่งเพื่อจะเรียนรู้ความเป็นจริงของกายและจิตนี้ว่ามันเป็นยังไง

สังเกตตัวเอง…นั่งอยู่นี่ได้เรียนรู้มั้ย?  กำลังเห็นร่างกายที่มันนั่งอยู่นี่มั้ย?  ที่ว่านั่งนิ่งๆ มันนิ่งจริงมั้ย? หรือมันมีความเคลื่อนไหวอยู่เหมือนกัน มันต้องมีความเคลื่อนไหวแน่นอนเพราะเราต้องหายใจ ถ้าเราสังเกตให้ละเอียดแม้กระทั่งเรานั่งเฉยๆ ไม่ได้หายใจ มันก็จะมีความเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ อยู่ตลอดเวลา

แต่เพราะเราไม่เคยสังเกตร่างกายอย่างละเอียด เราเลยไม่เคยรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้างกับร่างกายนี้ ร่างกายนี้กำลังแสดงอะไรอยู่บ้าง เราถึงไม่เคยรู้

เพราะฉะนั้น เราต้องจำไว้ว่า “เราปฏิบัติธรรมเพื่อจะเรียนรู้กายและจิตนี้ตามความเป็นจริง

การปฏิบัติธรรมแล้วมุ่งไปในทางอื่นนั้น ไม่ใช่ศาสนาพุทธ  บางคนมาปฏิบัติธรรมเพราะอยากได้บุญ บางคนอยากสงบ เหล่านี้ไม่ใช่จุดมุ่งหมายของศาสนาพุทธ แต่เป็นผลพลอยได้ที่จะได้อัตโนมัติอยู่แล้ว

บุญสูงสุดในศาสนาพุทธคือ การเห็นสรรพสิ่งในโลกนี้รวมทั้งกายและจิตนี้ตามความเป็นจริง เรียกว่ามีสัมมาทิฏฐิ “สัมมาทิฏฐิ” คือ เนื้อแท้ของศาสนาพุทธ คือ มีความเห็นถูก เห็นถูกว่าสรรพสิ่งนั้นว่างจากความเป็นสัตว์ตัวตนบุคคลเราเขา กายก็เป็นแค่กาย จิตก็เป็นแค่จิต ล้วนเป็นของ สักว่า สักว่า ไม่ใช่ของเรา

ค่อยๆ เรียนรู้มันไป ค่อยๆ เรียนรู้ ยังไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร ค่อยๆ เรียนรู้ ขอให้เรียนรู้จริงๆ และความเข้าใจในธรรมะมันจะค่อยๆ เข้าใจลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ ใช้เวลา  ไม่ใช่ต้องเข้าใจวันนี้เลย อาศัยการปฏิบัติ อาศัยการเรียนรู้ลงมาที่กายที่จิตนี้ ความเข้าใจจะค่อยๆ เกิดขึ้นเอง

คำว่า “เรียนรู้กายและจิตนี้” เป็นยังไง? กายมันนั่งอยู่อย่างนี้…รู้มั้ยมันนั่งอยู่? ไม่ใช่รู้แว่บนึงแล้วก็เลิก เข้าไปคิดแทน รู้เนืองๆ มันนั่งอยู่ก็เห็นมันนั่งอยู่ เห็นเนืองๆ

เนืองๆ” แปลว่าอะไร? ไม่ใช่เพ่งจ้องมันเอาไว้ คือ เดี๋ยวเห็นมันนั่ง แล้วเดี๋ยวก็ลืม จิตใจมันไปคิดแล้ว ก็รู้ทันพอจิตใจไปคิดแล้ว  รู้ทันปุ๊บ มันก็กลับมาที่ร่างกายเอง ไม่ใช่ดึงมันกลับมา พอมันกลับมาที่ร่างกาย เราก็เห็นร่างกายนี้มันนั่งอยู่เหมือนเดิม อาจจะเห็นจิตใจว่ามันวิ่งไปที่ก้นบ้าง มันวิ่งไปที่ขาบ้าง มันไปรู้สึกที่ตรงนั้นตรงนี้ของร่างกายบ้าง ก็รู้ว่ามันไปแบบนั้น  แล้วเดี๋ยวมันไปคิดอีกแล้ว ก็รู้ทันอีกว่ามันไปคิดแล้ว   แล้วมันก็จะกลับมาที่ร่างกายอีก มันไปได้แค่นี้แหละ มันไปไหนไม่ได้มากกว่านี้

ยกเว้นว่าจิตใจไปคิดปุ๊บ เราก็เข้าไปผสมปรุงแต่งกับมันด้วย  อันนั้นไปไกลเลย หลงเลย  เนี่ย! ต้องรู้  แต่แรกๆ มันจะลงยาวหน่อยไม่เป็นไร   เพราะว่าเมื่อก่อนหลงยาวกว่านี้คือ หลงตั้งแต่ตื่นจนหลับเลยไม่เคยรู้อะไรเลย  อันนี้หลงสัก 5 นาทีไม่เป็นไร…ค่อยๆ ต่อไปมันจะสั้นเข้าๆ กลายเป็น ไปปุ๊บ! รู้….ไปปุ๊บ! รู้ นั่นแหละมันก็วนอยู่ตรงนี้แหละ  อันนี้เรียกว่า “เนืองๆ” ไม่ใช่เพ่งจ้องไว้ที่ใดที่หนึ่ง รู้อยู่ในกายในจิตอย่างนี้ ค่อยๆ ฝึกที่จะรู้ไป… “การฝึกที่จะรู้” นี่เค้าเรียกว่า ฝึกสติ…การเจริญสติ…เจริญสติปัฏฐาน 4

จริงๆ ผมก็ไม่อยากจะพูดคำศัพท์บาลีเยอะ ก็พูดง่ายๆ ในลักษณะแบบนี้ให้เราเข้าใจกัน ไม่อยากจะพูดในเชิงตอนนี้เป็นสมถะ  ในเชิงตอนนี้เรากำลังทำวิปัสสนา  เดี๋ยวจะงงกัน เอาเป็นว่าทำสิ่งที่ผมบอกให้ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ก่อน

 

ตอนที่ 2 ให้มันตื่นขึ้นมา เพื่อจะเรียนรู้มาที่ตัวเอง

ถ้าเคลิ้ม ให้ลืมตาขึ้นมา  “ให้มันตื่น”  ให้มันตื่นเข้าไว้ ไม่ใช่หลับ!  เมื่อตื่นขึ้นมา เราจะรับรู้ได้ทั้งภายในและภายนอก เราจะไม่หลงอยู่ที่ใดที่หนึ่ง เราจะไม่หลงอยู่ข้างนอก หรือเราจะไม่หลงอยู่ข้างใน เราจะรับรู้ทุกสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น “ตรงหน้า ปัจจุบัน” ด้วยจิตใจที่ “เป็นกลาง” ปราศจากความพอใจและไม่พอใจใดๆ ทั้งนั้น

อย่าลืมว่าการปฏิบัติธรรม “ไม่มีการทำอะไรเพื่อจะได้อะไรทั้งนั้น” ไม่มีเป้าหมาย ไม่มีความคาดหวัง เป็นเพียงแค่ “การเรียนรู้กายและจิตนี้อย่างที่มันเป็นเท่านั้น”  มันเป็นยังไงก็รู้มันเป็นอย่างนั้น  ไม่มีหน้าที่แทรกแซงร่างกายและจิตใจนี้  ไม่มีหน้าที่จัดการให้มันดีกว่านี้  มีหน้าที่แค่ “ตื่นรู้” ดูมัน

คนในโลกนี้ลืมตาตื่นขึ้นมาทุกเช้า แต่จิตใจหลับทั้งวัน หลับ…ฝัน เรียกว่าฝันกลางวัน เคยอยู่แต่ในความคิดตั้งแต่ตื่นเลย  ไม่เคยรู้สึกตัว  ไม่เคยเห็นกายและจิตที่มีอยู่กับตัวเองนี้เลย

เพราะฉะนั้น เรามาที่นี่ มาเพื่อที่จะฝึกเรียนรู้  ตื่นแล้วให้มันตื่นจริงๆ ไม่ใช่ตื่นแต่ร่างกาย ให้จิตใจมันตื่นด้วย ตื่นขึ้นมาเพื่อจะเรียนรู้สิ่งที่เรามีอยู่แล้วว่ามันเป็นยังไง เรียนรู้มาที่ตัวเอง…แล้วจะเข้าใจทุกสิ่งบนโลกนี้

 

ตอนที่ 3 แสวงหา

ศาสนาพุทธมุ่งไปถึงจุดสูงสุดคือ “ความพ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิง” พระพุทธเจ้าพูดถึงความพ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิงไม่ใช่การได้ความสุข  แต่เมื่อเราพ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิง  ความสุขก็เป็นผลพลอยได้ที่ตามมาแค่นั้น แต่ไม่ใช่เป้าหมายสูงสุด  ศาสนาพุทธไม่ใช่เรื่องลึกลับ

เปรียบเทียบง่ายๆ เหมือนเราเคยเข้าใจผิดคนๆ นึง เข้าใจผิดมาตลอดชีวิตเลย  แล้วก็ทุกข์กับมันนี่แหละ  คิดว่าเค้าเป็นอย่างนี้ เค้าเป็นอย่างนั้น เค้าทำอย่างนี้ เค้าทำอย่างนั้น พอวันนึงเรารู้จักมากเข้าๆ อ่อ! เข้าใจแล้ว เค้าไม่ได้เป็นแบบนั้น เค้าทำอย่างนั้นเพราะเค้ามีสาเหตุมีเหตุผลแบบนี้ จิตใจเค้าไม่ได้คิดร้าย ไม่ได้คิดไม่ดี ไม่ได้ตั้งใจทำแบบที่เราคิดซักอย่างนึงเลย พอความเข้าใจนั้นเกิดขึ้น เป็นยังไง? ความทุกข์ก็จางคลายไปทันทีเพราะเราเข้าใจคนคนนั้นตามความเป็นจริงแล้ว

เหมือนกัน การที่เราเข้าใจกายและจิตนี้ตามความเป็นจริงจนเราหลุดพ้นจากมัน ไม่ยึดมั่นถือมั่นกับมัน เข้าใจว่าโลกนี้ว่างจากความเป็นสัตว์ตัวตนบุคคลเราเขา เมื่อความเข้าใจนั้นเกิดขึ้น ความพ้นทุกข์ก็บังเกิดขึ้นในทันที

จริงๆ แล้วพระพุทธเจ้าก็สอนสิ่งง่ายๆ สอนเรื่องที่เป็นธรรมชาติอยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องพิสดารอะไรเลย แต่เราแค่ไม่ทำกันแค่นั้นเอง เราอยากพ้นทุกข์ เราอยากมีความสุข เราวิ่งไปทำอะไร?…ไปหาเงิน ไปมีลูก มีสามี มีภรรยา ซื้อนู่นซื้อนี่เข้าบ้านหวังว่าจะได้ความสุข วันหยุดก็ไปเที่ยวหวังว่าจะได้ความสุข สุขอยู่ 3-4 วันที่ไปเที่ยว ทุกข์อีก 300 วันที่ทำงาน ชีวิตเราเอาแค่นั้น โง่แค่นั้น

เราเป็นชาวพุทธ แต่ใช้ชีวิตตามความอยาก เราไม่ใช่ชาวพุทธ เราเป็นชาวอะไรก็ไม่รู้  คิดว่าเราโง่แค่ไหนที่เราใช้ชีวิตแบบนั้นมาตลอดตั้งแต่เราเกิดมา ทั้งที่เรามีพระพุทธเจ้าอยู่กับเราตั้งแต่เกิด เราอยู่ในประเทศที่มีศาสนาพุทธที่เรียกว่าเป็นศาสนาประจำชาติเลยก็ได้ แต่เราไม่สนใจ เรามีพระพุทธรูปตั้งอยู่ที่บ้านทุกบ้าน แต่เราไม่เคยใส่ใจ เห็นเป็นของงมงาย เห็นเป็นของศักดิ์สิทธิ์บ้าง งมงายบ้าง ไม่รู้เรื่องเลยพุทธเจ้าสอนอะไร สอนเรื่องใกล้ๆ ตัวเรานี่แหละแต่เราไม่เคยศึกษา ไปทำเรื่องอื่นทำอย่างอื่นที่คิดว่าจะพ้นทุกข์ได้ คิดว่าชีวิตจะดีขึ้นได้ ทำมานานเท่าไหร่แล้ว ลองดู…ดีขึ้นมั้ย? มีอะไรดีขึ้นมั้ย? แล้วถ้ามันยังไม่ดีขึ้นแล้วยังจะซื่อบื้อทำต่อนี่..จะเรียกตัวเองว่าอะไร

ทุกคนเคยเป็นเด็ก ตอนเราเรียนประถม เราอยากขึ้นมัธยม เราเรียนมัธยม เราเห็นคนเรียนมหาวิทยาลัย เราก็คิดว่ามันน่าจะดีกว่า ถือหนังสือ 2-3 เล่มไปเรียนไม่ต้องถือกระเป๋า แค่นั้นเราก็รู้สึกว่าเท่กว่าแล้ว อยากจะเรียนมหาลัย พอเรียนมหาลัยเห็นคนทำงาน…ก็อยากทำงาน ถ้าเราทำงานนี้น่าจะดีกว่า สังเกตมั้ยว่าเราไม่เคยพอใจกับตอนนี้เลย ชีวิตเราทั้งชีวิตเรามองไว้ที่อนาคต เราอยู่กับแต่อนาคต เค้าเรียกว่า อยู่แต่ในความคิด อยู่แต่ในความหลง อยู่กับความหวังว่าจะได้ความสุขซักวันหนึ่ง

เนี่ย! หัดพิจารณาชีวิตให้มาก… มันได้หรือยังที่วางเอาไว้? ที่หวังว่าจะดีแบบนั้นมันได้หรือยัง? หวังว่ามัธยมแล้วดีกว่าประถม มหาลัยดีกว่ามัธยม หรือว่าทำงานแล้วดีกว่าเรียน หรือว่ามีครอบครัวมีแฟนมีลูกแล้วดีกว่าตอนไม่มี…มันจริงแบบนั้นหรือเปล่า? ถ้ามันจริงต้องหยุดแสวงหาแล้ว แต่ยังแสวงหาอยู่ ยังแสวงหาความสุขที่ยิ่งกว่านี้อยู่…เพราะอะไร? เพราะมันยังไม่ใช่!! ใจลึกๆ มันยังไม่พอ…ทำไมมันไม่พอ? เพราะมันยังไม่เจอความสุขที่แท้จริง แล้วต่อให้หาไปอีกจนตายก็ไม่เจอ นี่เป็นการบอกล่วงหน้าเลย เพราะมันคือเส้นทางเดิมๆ วิถีชีวิตเดิมๆ ที่เราพยายามจะได้ความสุขแต่มันไม่เคยได้ ใครจะลองใช้ชีวิตที่มีอยู่นี้แสวงหาในวิธีแบบเดิมๆ อีกซัก 10 ปีก็ได้ แล้วจะรู้ว่าไม่ได้

สุดท้ายก็ต้องหันหน้าเข้ามาหาพระพุทธเจ้า แต่เวลาเหลือน้อยแล้วตอนนั้น ร่างกายก็อ่อนแอลงแล้ว จะมานั่งสมาธิอย่างนี้เป็นชั่วโมงอาจจะไม่ไหว เดินจงกรมเป็นชั่วโมงอาจจะไม่ไหว ใจอยากจะทำแต่ทำไม่ได้แล้ว จะต้องนึกเสียดายอีกว่าทำไมตั้งแต่วันนั้นที่มีคนบอกเราแล้วเราไม่ทำ

ชีวิตนี้มันสั้นนัก ถ้ายังไม่มัวเอ้อระเหย ไม่เข้าใจความจริงของชีวิตว่าเกิดมาเพื่ออะไรกันแน่  ชีวิตข้างหน้าลำบากแน่นอน ไม่มีใครช่วยเราได้นอกจากตัวเราเอง แฟนก็ช่วยไม่ได้ ลูกก็ช่วยไม่ได้ พ่อแม่ก็ช่วยไม่ได้ เราป่วยเค้าก็จับเราเข้าโรงพยาบาล เค้าช่วยอะไรเราไม่ได้ เค้าให้ใครไม่รู้ช่วยเรา

เพราะฉะนั้น รีบกลับมาเรียนรู้ตัวเองให้มาก  เรียนรู้จนเข้าใจความเป็นจริงสูงสุดว่า แท้จริงนี้สรรพสิ่งนั้นว่างจากความเป็นสัตว์ตัวตนบุคคลเราเขา ไม่มีเราจริงๆ เราเป็นเพียงสมมติ  เรียนรู้ จนจิตนั้นปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่าง เข้าใจทุกสิ่งตามความเป็นจริง แล้วจะถึงความพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง แล้วความสุขที่แท้จริงจะปรากฏขึ้นมาต่อหน้าต่อตาเราเองโดยที่ไม่ต้องแสวงหาเลย

 

ตอนที่ 4 ใช้ชีวิตที่เหลือให้สมกับคุณค่าที่เราได้เกิดมา

ใช้เวลาอยู่กับตัวเองให้มาก รู้จัก เรียนรู้การอยู่กับตัวเอง การเห็นร่างกาย มันยืน มันเดิน มันนั่ง มันนอนเป็นยังไง การเห็นจิตใจ เห็นความรู้สึกนึกคิดที่เปลี่ยนแปลง หรือเกิดขึ้น หรือดับไปหมดไป จางคลายไป ใช้เวลาที่นี่เรียนรู้สิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่อยู่ที่นี่ก็นั่งคิดโน่นคิดนี่ คุยกับคนโน้นคนนี้ นั่นเท่ากับว่าไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย

เราอยู่กับความคิดมามากแล้ว มากเกินพอแล้ว ต่อไปนี้อยู่กับตัวเอง “รู้สึกตัว” ไว้ … 3 ข้อที่ผมเคยบอกไว้ตลอด

รู้สึกตัว

พ้นออกจากโลกของความคิดปรุงแต่งทั้งปวง มีความคิดเกิดขึ้นไม่ตามมันเข้าไป รู้ทันมัน

แล้วหันมาดูจิตใจบ่อยๆ ตอนนี้จิตใจเป็นยังไง..รู้มั้ย?  จิตใจคือ ความรู้สึกนึกคิด อารมณ์ต่างๆ เป็นยังไงรู้มั้ย?  มันเป็นยังไงก็ได้ ความสำคัญคือ “กิริยา” ที่ได้หันกลับมา รู้จักว่าตอนนี้เป็นยังไง คือ การฝึกที่จะกลับมา มีสติที่จะกลับมา… รู้เนื้อรู้ตัว รู้กายรู้ใจ  นี่คือหน้าที่ของเรา หน้าที่ที่ต้องทำตั้งแต่ตื่นจนหลับ

การมาเข้าคอร์สก็เพียงเพื่อมีเวลาที่จะฝึกฝนนิสัยใหม่นี้ แล้วนำมันกลับไปใช้ในชีวิตประจำวันให้ได้  ถ้ามาเข้าคอร์สแล้วก็โดนบังคับให้ฝึกให้ทำแล้วก็ทำ แต่พอออกจากคอร์สหรือแม้กระทั่งออกจากการปฏิบัติตรงนี้ แล้วก็ไปอยู่ในความคิดแล้ว นั่นไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย ไม่มีอะไรจะดีกว่าการปฏิบัติ

พระพุทธเจ้าสามารถเป็นศาสดาเอกของโลกได้มาถึง 2,600 ปี สิ่งที่ท่านทำมีเพียงสิ่งเดียวคือ “การปฏิบัติ” เมื่อท่านปฏิบัติตัวเองแล้วเข้าใจโลกตามความเป็นจริงแล้ว ท่านจึงมาบอกคนอื่นต่อ บอกผ่านมา 2,600 ปี จนถึงวันนี้ ยังมาถึงเราได้ เพราะฉะนั้น คำสอนที่ท่านค้นพบถ่ายทอดมามันมีคุณค่ามหาศาล แต่เราไปสนใจปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก

โลกเราทุกวันนี้วิเคราะห์วิจัยพัฒนาทุกอย่าง ก็เพียงเพื่อให้เราสุขสบายมากขึ้น ก็เพื่อให้เราไม่ทุกข์นั่นแหละ  สิ่งเหล่านั้นช่วยได้มั้ยให้เราไม่ทุกข์…ช่วยได้แต่เป็นความไม่ทุกข์ชั่วคราว  เราจะเข้าถึงความไม่ทุกข์ในโลกทุนนิยมแบบนี้ต้องใช้เงิน

แต่ศาสตร์ความไม่ทุกข์ของพระพุทธเจ้าใช้ความเพียร และมีเครื่องมือคือร่างกายและจิตใจนี้ ไม่ต้องเสียเงินสักบาท แต่จะสามารถเข้าถึงความพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง ไม่กลับคืนไม่หวนคืน โดยที่ไม่ต้องเสียเงินสักบาท

เพราะฉะนั้น เห็นคุณค่าของศาสตร์ของพระพุทธเจ้าให้มาก เห็นคุณค่าที่เราได้เกิดมาในประเทศไทยนี้ เห็นคุณค่าที่เราได้มีโอกาสฟังธรรมแบบนี้ ใช้ชีวิตที่เหลือให้สมกับคุณค่าที่เราได้รับแล้ว

ความรู้สึกในจิตใจเปลี่ยนแปลง…รู้ทัน  วิ่งไปคิดอนาคตแล้ว…รู้ทัน   ลืมร่างกายนี้ไปแล้ว…รู้ทัน

 

10-04-2562

Camouflage

 

YouTube : https://youtu.be/0xutzPT5pM4

คลิปเสียงธรรมะทั้งหมดของอาจารย์ Camouflage : https://goo.gl/RDZFMI

======================

5 ช่องทางการอ่านและฟังธรรม

1) Facebook : สุขกาย สุขใจ SookGuySookJai
http://www.facebook.com/sookguysookjai

2) Line : @camouflage.talk
https://line.me/R/ti/p/%40camouflage.talk

3) YouTube : สุขกาย สุขใจ SookGuySookJai
https://goo.gl/in9S5v

4) Website: https://camouflagetalk.com/

5) Podcast : Camouflage – Dhamma Talk
https://itun.es/th/t6Mzdb.c
วิธีการติดตั้ง https://goo.gl/tBMY9S