85.อย่าเสียท่า

ตอนที่ 1 อย่าละเลย

เราเริ่มนั่งสมาธิ…นั่งโดยไม่ต้องคาดหวังอะไร มันเป็นยังไงก็รู้มันเป็นอย่างนั้น รู้อย่างที่มันเป็น ถ้าเราอยากให้นั่งแล้วเป็นอย่างนี้เป็นอย่างนั้น เขาเรียกว่า “ความยึดมั่นเกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว” ความยึดกายยึดใจนี้เป็นของเราเกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นตลอดทางก็คือ มีแต่อัตตา พาอัตตาปฏิบัติธรรม

แค่รู้สึก” มีความรู้สึกในร่างกายรู้สึกได้ หยาบ ละเอียด ถ้าเราจะรู้สึกมันก็รู้สึกได้ แต่เราละเลย ชอบรู้เรื่องคนอื่น ชอบรู้สิ่งภายนอก ชอบคิดปรุงแต่ง เหล่านี้เรียก “โมหะ” คือ เราละเลย เรามีกายให้รู้สึกอยู่ มีใจให้รู้สึกได้ แต่เราละเลย รู้สึกอยู่แค่นี้มันรู้สึกเบื่อ น่าเบื่อไม่มีสีสันไม่ฉูดฉาดไม่มีรสชาติ ถ้าเรายังรู้สึกแบบนั้นแปลว่า เรายังไม่รู้ว่าการส่งจิตออกนอกนี้เป็นทุกข์เป็นเหตุแห่งทุกข์” เรายังไม่รู้จักความทุกข์จริงๆ

พวกเรามีบุญมหาศาลเลยที่ได้โอกาสบวช ได้โอกาสปฏิบัติธรรม ได้โอกาสใช้ชีวิตที่วิเวกสันโดษ ได้โอกาสอยู่ในสถานที่ที่ดีแบบนี้ ได้โอกาสมีครูบาอาจารย์ มีคนอุปถัมภ์อุปฐากดูแลสร้างสถานที่แห่งนี้ให้กับเราอยู่ เทียบกับคนในโลก 6-7 พันล้านคน คนในประเทศไทย 70 กว่าล้านคน เราได้โอกาสนี้ จะไม่เรียกว่ามีบุญมหาศาลได้ยังไง เพราะฉะนั้น ใช้โอกาสนี้ที่จะไม่ละเลย ไม่หนีความเบื่อ อดทนให้ได้

ช่วงชีวิตคนๆ นึงมันไม่ได้ยาวหรอก ลองคิดย้อนกลับไปตั้งแต่เราเกิดมา รู้สึกไหมว่ามันสั้นจังเลย 40 ปี 50 ปี แป๊บเดียวทำไมเรา 50 แล้ว ชีวิตเราไม่ยาว ผ่านมามากแล้วเลยครึ่งชีวิตแล้ว เพราะฉะนั้น “อย่าละเลยหน้าที่” หน้าที่นี้มันง่ายแต่ถูกละเลยเพราะมันจืดชืด แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เราเข้าใจว่าโลกนี้มันมีแต่ทุกข์ ไม่มีความสุขที่ไหนในโลกนี้เลย ความจืดชืดนี้มันก็กลายเป็นความสุขแทน

ความสุขทางศาสนาพุทธ คือ “การที่จิตใจมีความเป็นปกติธรรมดา ไม่ติดกับอะไรไม่ถูกอะไรลากไป ถ้าถูกลากไปหรือติดก็รู้ทัน อดทนที่จะไม่เข้าไปตามความเคยชินเดิมๆ ถ้าเราอดทนได้มันจะค่อยๆ เปลี่ยน มันจะค่อยๆ เดินออกจากเส้นทางเก่า

พอเราเดินออกมาจากเส้นทางเก่า เราจะเห็นเลยว่าไอ้ที่เราเคยเดินมันเป็นยังไง เห็นชัดเลย ถ้าเรายังไม่ออกมามันเห็นไม่ชัด มันเลยอยากจะกลับไปทำเหมือนเดิมตามกิเลสเหมือนเดิม มันเห็นไม่ชัด เห็นโทษเห็นภัยไม่ชัด

เหมือนคนเราแข็งแรงดี กินได้ทุกอย่างไม่ป่วย ใครพูดอะไรก็ไม่ฟังก็กินมาตั้งนานแล้วไม่เห็นเป็นไรเลย รอวันที่พังก่อน รอวันที่ป่วยก่อน ถึงจะรู้ว่าไอ้ที่ผ่านมานี่มันแย่จริงๆ กินแต่ของไม่ดี ใช้ชีวิตผิดปกติ

เพราะฉะนั้น พวกเราไม่ต้องรอให้ถึงวันนั้น ไม่ต้องให้คำว่าไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตามาอยู่ในชีวิตเรา เราฉลาดกว่านั้น เรารู้ก่อน เมื่อรู้ก่อนแล้วก็รู้ว่าชีวิตที่เหลือจะดำเนินยังไง ใช้ชีวิตยังไง

นักปฏิบัติธรรมเรามักหลงจะไปสนใจผลการปฏิบัติมาก หลงไปสนใจว่าตัวเองก้าวหน้าหรือยัง มัวแต่ไปสนใจผล มัวแต่ไปสนใจว่าทำไมเรายังเป็นอย่างนี้ ทำไมเรายังเป็นอย่างนั้น ทำไมเรายังทุกข์อยู่ ทำไมเรายังโกรธอยู่ ทำไมเรายังนี่นู่นนั่นอยู่ นักปฏิบัติไม่ควรเป็นแบบนี้แบบนู้นแบบนั้น ตัดสินตัวเอง เราหลงไปทำแบบนั้นกันมากที่สุด หลงไปแบบนั้นได้อะไร ตีโพยตีพายแบบนั้นได้อะไร โวยวายแบบนั้นกับตัวเองได้อะไร มีแต่บั่นทอนกำลังใจตัวเอง

การปฏิบัติทั้งหมดให้เหลือในชีวิตของเราทุกคนว่า “แค่มีหน้าที่จะสร้างเหตุไปเรื่อยๆ” ถ้าผลยังไม่ได้ดั่งใจ ก็เพราะสร้างเหตุยังไม่พอ ไม่ต้องไปหาอะไรเยอะแยะหาคำตอบมากมายกับทำไมทำไมทำไม ทุกปัญหามีคำตอบเดียวคือ “สร้างเหตุยังไม่พอ

จะสร้างเหตุยังไง?

รู้สึกตัว พ้นจากโลกของความคิดปรุงแต่ง ไม่ตามความคิดไป หันมาดูใจเราบ่อยๆ

จิตใจเป็นยังไงก็รู้ ปกติก็รู้ ไม่ปกติก็รู้ มันขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวก็รู้ มันขึ้นมันลงก็รู้ มันบวกมันลบก็รู้ มันไม่ใช่เรา เห็นการทำงานของกายของจิตนี้ เป็นเหมือนอีกคนหนึ่งไม่ใช่เรา เมื่อเกิดอะไรขึ้นกับกายกับจิตนี้ไม่ติดกับมัน…รู้ทัน

รู้จักความพอดีของตัวเอง บางคนก็ตั้งใจมาก กดดันตัวเอง ให้ลดความกดดันนั้นลงมา ความกดดันตัวเองไม่มีอะไรดี เพราะยิ่งกดดันตัวเองมากเท่าไหร่มันจะหาทางทำอีก ตกทางอีกแล้ว

รู้สึกไปเรื่อย อย่าละเลย รู้สึกแบบตื่นเนื้อตื่นตัวไม่ใช่เคลิ้ม เรารู้สึกน้ำหนักได้ขาทับกันอยู่รู้สึกได้ มือประสานกันอยู่วางอยู่ที่ไหนรู้สึกได้ อย่าละเลยมันมีอยู่แล้ว ความรู้สึกตัวมันมีอยู่แล้ว มันอยู่ที่เราอยากจะรู้สึกมั้ย ความเบื่อพาเราเลิกรู้สึกตัว กิเลสหลอกเราแบบนี้ หลอกง่ายๆ เลย

ครั้งนี้ผมกลับบ้านไป คนที่บ้านคนนึงก็ดูละคร อีกคนนึงก็พูด ผมเลยถามว่า อยู่เงียบๆ กันเป็นบ้างหรือเปล่า เขาอยู่ไม่ได้ ต้องหาอะไรทำ พออยู่เงียบๆ ก็เปิดทีวี พออยู่เงียบๆ ก็หาเรื่องคุยเล่าโน่นเล่านี่เล่านั่น หนีความทุกข์อยู่ตลอดเวลา แต่เขาไม่รู้ตัว เขานึกว่าชีวิตมีความสุขจังเลยได้ทำอย่างที่อยากทำ เพราะคิดว่านั่นเป็นความสุข ส่วนพวกเราไม่ได้ทำสิ่งที่อยากทำเป็นนักปฏิบัติ “รู้จักทวนกระแส

วันนี้ก็ขับรถกลับมาจากกรุงเทพ กลับมาทำความสะอาดบ้าน เตรียมจะมาที่นี่ 4 โมงกว่าก็หิวข้าวมาก ขานี่อ่อนเลย มือสั่นเล็กน้อยตามสภาพของร่างกาย แต่เรากลับรู้สึกว่า ดี! ร่างกายยังหิวเป็น ยังทำงานอยู่ ถ้าเป็นเราเมื่อก่อนนี้โมโหแล้ว…หิว ถ้าไม่ได้กินเดี๋ยวนี้จะโมโห เพราะเมื่อก่อนเราเอาร่างกายเป็นของเรา หน้ามืดตามัวโกรธ…ไม่รู้โกรธอะไรแต่โกรธ เพราะไม่ได้กิน เรานักปฏิบัติธรรมมันหิวแล้วก็เห็นมันหิว ร่างกายมันขาดอาหารแล้ว มันจะเป็นแบบนี้ ไม่มีแรงแบบนี้ แต่จิตใจกับมีความสุข…อ่อเป็นแบบนี้ ให้มันหิวบ้างไม่ใช่อิ่มตลอดเวลา

ถ้าเราเป็นนักปฏิบัติธรรมเราจะสังเกต ไม่ละเลยร่างกายนี้ ไม่ละเลยความรู้สึกที่เกิดขึ้นในจิตใจนี้ มันก็มีอะไรให้ดูตลอดเวลา มีอะไรให้รู้สึกรู้ทันอยู่เรื่อยๆ แล้วการที่เรามีชีวิตที่วิเวกสันโดษแบบนี้ มันทำให้เราเห็นอะไรชัด เห็นอะไรง่าย

ถึงบอกว่าพวกเราถือว่ามีบุญมหาศาล มีคนอีกมากมายที่ติดตามฟัง YouTube อยู่ เขาต้องทำงาน เขาต้องรับผิดชอบสิ่งที่เขาต้องรับผิดชอบอยู่ เขาไม่มีโอกาสแบบนี้ เพราะฉะนั้น “มีโอกาสแล้วใช้ให้เป็น

ง่ายๆ แค่ไม่ละเลย ไม่ละเลยสิ่งที่มีอยู่แล้ว…อยู่กับเราอยู่แล้ว ไม่ต้องควานหาอะไร

การปฏิบัติธรรมไม่มีการไปควานหาแสวงหาอะไร มันมีอยู่ตรงหน้านี้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรยาก อย่าให้ความเบื่อพาเราละเลย ละเลยการที่จะรู้กายรู้ใจไปเรื่อยๆ รู้นะ…ไม่ใช่ติดกับมัน รู้แล้วก็ผ่าน…รู้แล้วก็ผ่านไป รู้ไปเรื่อย รู้แล้วก็ผ่านไปเรื่อย วันหนึ่งเนี่ยวิปัสสนามันเกิด ก็จะรู้เองเลยว่านี่แหละวิปัสสนา วิปัสสนาไม่ได้เกิดบ่อยๆ

เราขยันสร้างเหตุไป ขยันสร้างเหตุไปเรื่อยๆ มันจะเกิดการเห็นอย่างวิเศษขึ้นมาเอง มันจะเกิดตอนไหนก็ได้เราไม่รู้หรอก แต่เมื่อมันเกิดแล้วเราจะรู้ว่ามันวิเศษจริงๆ

พระพุทธเจ้าจึงตั้งชื่อว่า “วิปัสสนา” วิ แปลว่า วิเศษ  ปัสสนา,ปัสสานะ แปลว่า เห็น ถ้าเป็นการเห็นเฉยๆ ท่านคงไม่มีคำว่าวิ เราทุกคนจะต้องผ่านไป อย่างที่เรียกว่าวิปัสสนาญาณ ในญาณ 16 ก็มีมันต้องผ่านวิปัสสนาญาณไป

 

ตอนที่ 2 อย่าเสียท่า

การปฏิบัติมันมีขึ้นมีลง วันนี้เหมือนปฏิบัติดีสติสตังดีเหลือเกิน สติสัมปชัญญะรู้รอบรู้ดี พรุ่งนี้อาจจะเละเทะเลยก็ได้ ก็รู้…อดทนได้มั้ยถ้ามันเละเทะ มันไม่ได้เรื่องเลยวันนี้อดทนได้มั้ย เรียกว่าไม่ต้องสนใจ ผลเป็นไงก็เรื่องของมัน เรามีหน้าที่แค่สร้างเหตุไปเรื่อยๆ

ตื่นมาวันนี้ท้อจัง ไม่มีกำลังใจเลยโลกนี้มันหม่นหมองจริงๆ อย่าตามมันไปสิ อย่าเข้าไปคิดไปปรุงกับมัน อย่าหลงไปกับอาการของจิตแบบนั้น มารมันมาหลอกเราให้เราคิดให้เราหาว่าเป็นอะไร ทำไมเป็นแบบนี้ ให้เราท้อ ให้เรายิ่งปรุงไปกับมันจิตจะได้อ่อนลงไปอีก มารมันชอบแบบนั้น แล้วถ้าเราเสียท่า หลงตามอาการของจิตแบบนั้น หยิบฉวยอาการของจิตแบบนั้นมาเป็นของเรา สร้างชีวิตใหม่ขึ้นมาในเช้าวันนี้ว่าชีวิตฉันหม่นหมองเหลือเกิน ท้อใจเหลือเกิน นั่นเราก็พลาดท่าแล้ว พลาดท่าเสียที

ตรงนี้ต้องเข้มแข็งกันเอาไว้ อดทนที่จะไม่ตามเข้าไปในความคิด อดทนที่จะไม่หลงเข้าไปในอาการของจิตแบบนั้น อย่าหยิบฉวยอาการเหล่านั้นมาเป็นเรา

จำอันนี้ไว้ อย่าหยิบฉวยอาการทั้งหลายของจิตมาเป็นของเรา อย่าหยิบฉวยอาการทั้งหลายของจิตมาสร้างชีวิตให้กับเรา

ตัวจริงของเราคือ “แค่สภาพตื่นรู้ล้วนๆ” ไม่มีหน้าที่หยิบฉวยอารมณ์ใดๆ มาสร้างชีวิตของเราขึ้นมา ความคิดปรุงแต่งเป็นตัวสร้างทุกอย่าง สร้างความเศร้าโศกสร้างความปลื้มใจ สร้างความดีใจเสียใจ เพราะฉะนั้น อย่าหยิบฉวยอารมณ์ใดๆ มาสร้างชีวิตให้กับตัวเอง อย่าเป็นคนที่ถึงเขาหลอกก็เต็มใจให้หลอก

ปฏิบัติแบบนี้แหละลัดสั้นตรง “เพราะเราไม่เสียท่าให้กับใคร” ไม่เสียท่าให้กับอารมณ์ใดๆ ไม่เสียท่าให้กับความคิดใดๆ ไม่เสียท่าให้กับสัญญาความจำได้ใดๆ พอไม่เสียท่าแล้วเป็นยังไง มันก็ไม่ทุกข์ มันก็ปกติ มันรู้เนื้อรู้ตัว มันก็ไม่ละเลยหน้าที่ที่จะรู้กายรู้ใจนี้ไปเรื่อยๆ เรานักปฏิบัติธรรมอย่าเสียท่าเหมือนกัน ความคิดอารมณ์ใดๆ มาอ่อย มาให้ท่าเรา ก็อย่าเสียท่ากับมัน

พอเราไม่เสียท่ากับมันจิตใจนี้เป็นปกติ จิตใจที่เป็นปกติเป็นจิตใจที่เป็นกุศล จิตใจที่เป็นกุศลมันอ่อนโยนนุ่มนวลเป็นลหุตาควรค่าแก่การงาน ใครๆ ก็อยากเข้าใกล้

 

ตอนที่ 3 ปัญญาพาชีวิตไป

รู้สึกไปเรื่อยๆ เรานั่งนิ่งๆ รู้สึกมั้ยว่ามันไม่นิ่ง ร่างกายจริงๆ มันมีการขยับเขยื้อนข้างในตลอดเวลา ภายนอกมันนั่งนิ่งๆ นี่แหละ แต่เรารู้สึกได้ว่าข้างในหัวใจเต้นไปเรื่อย เราก็นั่งอย่างรู้สึกตัวแบบนี้ได้ เราปฏิบัติธรรมไปแบบนี้คอยรู้กายรู้ใจไป เราจะรู้สึกร่างกายได้ว่าร่างกายต้องการอะไร ร่างกายต้องดูแลยังไง เราจะรู้ว่าอะไรกินได้กินไม่ได้ อะไรถูกกับเราไม่ถูกกับเรา ตอนนี้ต้องดูแลร่างกายแบบไหน รู้สึกได้

เราฝึกแบบนี้ไปเรื่อยๆ เราจะเข้าใจสิ่งที่หลวงพ่อสอนว่า “การมีปัญญาพาชีวิตไป” นี่เป็นยังไง ใช้ปัญญาพาชีวิตไปนี่มันเป็นไปได้ยังไง มันเป็นผลจากการที่เราฝึกแบบนี้แหละ เพราะความรู้สึกนี้มันบริสุทธิ์ แค่รู้สึกนี้มันบริสุทธิ์ ถ้าเราแค่รู้สึกไม่ทำตามกิเลสไม่ไปตามความคิดปรุงแต่ง การใช้ชีวิตมันก็ไม่อยู่ภายใต้โมหะ ไม่อยู่ภายใต้กิเลสตัณหาอัตโนมัติ เมื่อเราไม่ตามความคิดไม่ตามอารมณ์ไม่ตามกิเลส เรียกว่า ไม่ตามความเคยชินของเก่าๆ ของใหม่มันก็เกิดขึ้นได้ สิ่งใหม่มันก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้ สิ่งที่ตรงข้ามกับความคิดก็คือ “ปัญญา

เพราะฉะนั้น ถ้าเราหมั่นสร้างเหตุให้ถูกต้อง อะไรที่ว่าดีมันจะเกิดขึ้นเอง จะรู้เอง

 

ตอนที่ 4 สร้างเหตุให้ต่อเนื่อง

เวลาปฏิบัติเห็นสภาวะเห็นอารมณ์เห็นความคิดอะไรได้ บางครั้งเกิดความยินดีพอใจรู้ให้ทัน อย่ามัวแต่ไปยินดีพอใจว่าเห็นได้แบบนี้ อืม…ใช่แล้วแบบที่ครูบาอาจารย์บอกไว้อย่างนี้อย่างนู้นอย่างนั้น เห็นความยินดีพอใจซ้อนเข้าไปทีนึง

พวกเราอยู่ที่นี่ เป็นโอกาสที่ดีที่สุด แม้ว่ามันจะน่าเบื่อยังไงก็ตาม มีระเบียบวินัยที่เราจะต้องทำตามให้ได้ เราต้องอดทนไม่ว่าจิตใจนี้จะเป็นยังไง อย่าเสียท่ามัน จำไว้ว่ามีหน้าที่แค่สร้างเหตุไปเรื่อยๆ ถ้ามันยังทุกข์อยู่แปลว่าเหตุมันยังไม่พอ ถ้ามันยังเข้าไปในอารมณ์ติดอารมณ์ติดความคิด แปลว่าการสร้างเหตุนั้นยังไม่พอ ไม่ต้องหาคำตอบที่อื่น

สอนตัวเองให้ได้ ไม่ต้องคอยหาถูกหาผิด แบบนี้หลงทั้งนั้น กลับไปที่เดิมสร้างเหตุ

ทำในรูปแบบจากเคยทำ 1 ชั่วโมงทำมัน 2 ชั่วโมงเลย ดูซิเป็นไง แก้ปัญหาแก้ที่เหตุไม่ใช่หาคำตอบจากความคิด สร้างเหตุให้มันเข้มข้นขึ้น ให้เวลากับความรู้สึกตัวให้มันเข้มข้นขึ้น ไม่ใช่เอาเวลาไปตีโพยตีพายต้องจำอันนี้ไว้ ไปกังวล ไปท้อใจเหล่านี้ไม่ถูกหมดไม่ใช่ทาง ยิ่งจะทำให้จิตใจอ่อนแอไปเรื่อยๆ

จำที่หลวงพ่อคำเขียนพูดไว้ “รู้สึกตัวตะพึดตะพือไป ไม่ต้องหาถูกหาผิดกับมัน” มัวแต่หาถูกหาผิดก็ไม่ต้องปฏิบัติธรรม หลงอยู่นั้นแหละ รู้สึกตัวไปเรื่อยที่ผิดจะถูกเอง จะรู้ด้วยตัวเอง

มือวางอยู่ตรงไหนรู้มั้ย ตอนนี้ทุกคนรู้ได้ ไม่มีใครรู้ไม่ได้ ไม่มีใครรู้สึกไม่ได้ว่ามืออยู่ที่ไหน ขาอยู่ที่ไหนมีใครรู้สึกไม่ได้มั้ยว่าขาตัวเองที่ไหน…ไม่มี เพราะฉะนั้น มันเรื่องง่ายๆ แต่ทำให้มันต่อเนื่อง “สร้างเหตุให้มันต่อเนื่อง

คุยกับคนๆ นึงเขาบอกว่า ตอนเช้าเขาไปออกกำลังกาย ไทเก๊กรู้สึกตัวทั้งชั่วโมงเลย แล้วก็กลับบ้าน ผมถามว่าทำอะไร เขาตอบว่าเล่นเกม เขาบอกว่าเล่นเกมก็รู้สึกตัวอยู่ ผมเลยถามกลับไปว่า ลองนึกดีๆ ความรู้สึกตัวตอนเล่นเกมเหมือนกับเมื่อเช้าที่ออกกำลังกายมั้ย เขาตอบว่าไม่เหมือนกัน อันนึงมันรู้เนื้อรู้ตัวจริงๆ อีกอันนึงมันส่งจิตออกนอก อันนึงได้สมาธิตั้งมั่น อีกอันนึงถามว่ามีสมาธิไหมเล่นเกม…มี แต่เป็นสมาธิส่งออกไปข้างนอก

สัมมาสมาธิ” คือ สมาธิที่รู้เนื้อรู้ตัว อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่อยู่ในความคิดปรุงแต่ง ไม่ออกไปข้างนอก ไม่ติดกับอะไรข้างนอก

เราทำงานกันก็มีสมาธิทั้งนั้นแหละ อ่านหนังสือขับรถมีสมาธิทุกคนแหละ ถ้าไม่มีขับไม่ได้หรอก แต่มันเป็นสมาธิออกนอก แต่นักปฏิบัติเราทำอะไรอยู่เราก็กลับมารู้สึกตัวเนืองๆ มันก็เลยไม่ไปหมด แต่คนในโลกเขาไปข้างนอกหมด กลับมาบ้าง แต่พวกเรากลับมาเนืองๆ

 

ตอนที่ 5 บารมีธรรม

บัวมีหลายเหล่า บุญก็ไม่เท่ากัน ปัญญาก็ไม่เท่ากัน บารมีก็ไม่เท่ากัน ถึงบอกว่าเรามีโอกาสขนาดนี้เนี่ย เราต้องใช้บุญเท่าไหร่เราจะมีโอกาสขนาดนี้ ฟังธรรมเข้าใจได้มีที่ให้ปฏิบัติธรรม มีครูบาอาจารย์ให้คำสอน ทั้งหมดเกิดขึ้นได้เพราะอาศัยบารมีธรรมะของพุทธเจ้าสร้างครูบาอาจารย์ขึ้นมาเป็นทอดๆไป

แต่ทั้งหมดก็อยู่ภายใต้บารมีของพุทธเจ้า “บารมีธรรม” เพราะธรรมเป็นของจริงที่เราทุกคนรู้สึกได้ด้วยตัวเราเอง ไม่ใช่การบอกเล่าต่อๆ กันมา ไม่ใช่การให้เชื่อ

เรารู้สึกกันเองได้ สัมผัสกันได้แล้วเราถึงมานั่งกันอยู่อย่างนี้ เราถึงตัดสินใจออกจากโลกบวชพระบวชแม่ชีลาออกจากงานเพื่อมาทำสิ่งนี้ เราสัมผัสกันได้เราจึงตัดสินใจได้ นี่คือ “บารมีธรรมะของพระพุทธเจ้า

ออกจากโลกไม่ใช่หนีโลก คนในโลกบางทีเห็นเรามาทำแบบนี้บอกว่าเราหนีโลก เขาไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจคำว่าออกจากโลก คำว่าออกจากโลกนี้คือว่า เรารู้จักโลกแล้ว เหมือนพระพุทธเจ้ารู้จักโลกแล้ว “ตัดสินใจเดินทางออกจากโลกเพื่อจะไปสู่เหนือโลก

แต่หนีโลกมันเป็นอีกแบบหนึ่ง คือ ไม่ชอบอย่างนั้นก็วิ่งมาอย่างนี้ ไม่ชอบอย่างนี้ก็วิ่งไปอย่างนั้น พอมาอย่างนั้นก็ไม่ชอบอีกกลับไปอย่างนี้อีกเหมือนเดิม นี่คือยังไม่เข้าใจ คนยังไม่เข้าใจอะไรก็หนีไปหนีมาอยู่นั่นแหละ แต่คนที่เข้าใจแล้วเขารู้จักทิศทาง เขาจึงตัดสินใจออกจากโลก พระพุทธเจ้าเป็นตัวอย่าง ครูบาอาจารย์ออกบวชเป็นตัวอย่าง

เพราะฉะนั้น “ขอให้พวกเรามุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวในเส้นทางนี้” เดินตามพระพุทธเจ้าเดินตามครูบาอาจารย์ ใช้ชีวิตให้ถูกต้อง สอนตัวเองให้ได้ อย่าละเลย อย่าละเลยหน้าที่ที่ได้รู้แล้ว ที่เราเข้าใจได้ว่ามันต้องเป็นแบบนี้ เราเข้าใจได้มากกว่าคนในโลกอีกมากมายที่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องรู้สึกตัว ทำไมเขาต้องพ้นจากโลกความคิดปรุงแต่ง เขาไม่เข้าใจ แต่ในเมื่อเรามีปัญญาพอมีบุญพอจะเข้าใจแล้ว อย่าละเลยอย่าปล่อยโอกาสแบบนี้ อย่าทิ้งขว้างไป ใช้โอกาสนี้ให้ดีที่สุด

 

29-09-2561

Camouflage

 

YouTube : https://youtu.be/sa2wTmtPgl0

คลิปเสียงธรรมะทั้งหมดของอาจารย์ Camouflage : https://goo.gl/RDZFMI

======================

5 ช่องทางการอ่านและฟังธรรม

1) Facebook : สุขกาย สุขใจ SookGuySookJai
http://www.facebook.com/sookguysookjai

2) Line : @camouflage.talk
https://line.me/R/ti/p/%40camouflage.talk

3) YouTube : สุขกาย สุขใจ SookGuySookJai
https://goo.gl/in9S5v

4) Website: https://camouflagetalk.com/

5) Podcast : Camouflage – Dhamma Talk
https://itun.es/th/t6Mzdb.c
วิธีการติดตั้ง https://goo.gl/tBMY9S