62.สาวลงไป

 

ตอนที่ 1 รู้จักมันเฉยๆ

เดี๋ยวเราจะนั่งสมาธิกันหน่อย….เตรียมพร้อมจิตใจที่จะรับฟังธรรมะ

เวลาเราพูดถึง “ความรู้สึกตัว” ไม่ต้องไปหาว่าอยู่ที่ไหน ผมพูดรู้สึกตัว…ทุกคนกลับมาที่ตัวอัตโนมัติ ความรู้สึกขณะที่เรากลับมาที่ตัวอัตโนมัติ ตรงนั้นยังไม่มีบัญญัติอะไรบอกเราเลยว่ามันคือชื่ออะไร…ตรงนั้นคือ “ความพอดี”

“ความรู้สึกตัว” ที่พยายามจะอธิบายกันมากมาย มันเป็นความรู้สึกใน “ระบบสัมผัส” เฉยๆ ในระบบสัมผัสนั้นเราจะรู้สึกถึงความมีอยู่

“ความมีอยู่ (Existence)” เป็นเพียงแค่ความมีอยู่เฉยๆ เรารู้สึกได้ถึงความมีอยู่ของร่างกายนี้ ไม่ต้องมากไปกว่านั้น

เมื่อเรารู้สึกถึงความมีอยู่ของร่างกายได้ ในขณะนั้นเราพ้นออกจากโลกของความคิดปรุงแต่ง ในขณะนั้นจิตใจยังเป็นปกติอยู่ เราก็เพียงแค่ “รู้จัก” มันเอาไว้

เรามีขั้นตอน (Step) ง่ายแบบนั้น เราไม่ได้ค้นหาอะไร ไม่ได้ไขว่คว้าหาอะไร เพียงแต่เรารู้สึกให้มันถูก ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็เปิดเผย มันเปิดเผยเราก็แค่รู้จักมันเฉยๆ คำว่า “รู้จักมันเฉยๆ” คำนี้สำคัญ “รู้จัก”…ไม่ได้เอาเป็นเจ้าของ รู้จักแล้วก็ผ่านไป

 

ตอนที่ 2 ประจักษ์พยาน…Pure witness

ตลอดเส้นทางของการปฏิบัติธรรม ตั้งแต่ขณะแรกจนไปถึงขณะสุดท้ายแห่งความหลุดพ้น มีกิริยาเดียว… “ตื่นรู้”

เส้นทางแห่งความตื่นรู้นี้… “บริสุทธิ์” เราเป็น “ประจักษ์พยาน” กับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นผ่านเข้ามาทางจิตใจเรา แค่เรามีสภาพตื่นรู้นี้อย่างบริสุทธิ์ เป็นประจักษ์พยานกับสิ่งต่างๆ ที่ผ่านมาอย่างบริสุทธิ์ กิเลส อาสวะอะไรต่างๆ มันจะค่อยๆ จางคลายออกไป

พวกเราปฏิบัติกันมามากๆๆๆ เราลองสังเกต ความเป็นประจักษ์พยานของสิ่งต่างๆ ที่มันผ่านเข้ามาในจิตใจเราเป็นยังไง? สิ่งที่เราเคยติดเคยข้องอยู่ เมื่อก่อนติดมาก เข้าไปคลุกเคล้าคลุกคลีกับมันมาก เข้าไปเป็นกับไออาการแบบนี้มาก มันน้อยลงไหม?  ถ้าเราตื่นรู้ได้จริงๆ มันจะต้องน้อยลง เหมือนกาวที่มันค่อยๆเสื่อม ติดไม่ได้แล้ว กาวมันค่อยๆเสื่อม ค่อยๆแข็ง ติดไม่ได้ ติดเหนียวเหมือนเดิมไม่ได้

เพราะฉะนั้น ตลอดเส้นทางของการปฏิบัติธรรม มันเป็นแค่กิริยา Pure witness…เป็นพยานอย่างบริสุทธิ์ กับสิ่งต่างๆที่มันผ่านเข้ามาให้เราได้รับรู้รับทราบ

แต่ในระหว่างทางเรายังเป็นอะไรกับอะไร อะไรเกิดขึ้นเราก็เข้าไปเป็นมัน แต่ด้วยการที่เราอยู่บนเส้นทางของ Pure witness นี่แหละ!  พันธะผูกพัน (Bonding)…ความเข้าไปเป็นอะไรกับอะไรมันจะค่อยๆ เสื่อมลง มันจะค่อยๆ คลี่คลาย จะค่อยๆ จางคลายออกไป

เหมือนตอนนี้ทุกคนกำลังอยู่ในสภาพที่เป็น Witness …เป็นพยานกับทุกสิ่งทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นผ่านเข้ามาในจิตใจเราตอนนี้ …ปกติอยู่มันก็รู้ว่าปกติอยู่ เดี๋ยวมีความคิดฟุ้งซ่านมันก็รู้ว่ามีความคิดฟุ้งซ่าน เดี๋ยวมันมีความสนใจฟังมันก็รู้ว่ามีความสนใจฟัง อยู่บนพื้นฐานของจิตใจที่มัน “ปกติ” อยู่…“ตื่นรู้” อยู่

บันไดทุกขั้นที่ผมให้ไว้ในคลิปก่อนๆ ตอนนี้เกือบ 50 คลิปแล้วก็เป็นไปเพื่อการเข้าถึง “สภาพตื่นรู้” นี้ให้ได้

เราจะเข้าถึง “สภาพตื่นรู้” สภาพที่เราไม่เป็นอะไรกับอะไรได้ จิตใจนี้ต้องมี “สัมมาสมาธิ”…

สัมมาสมาธิจะเกิดได้ จิตใจนี้ต้องเป็น “ปกติ” …

จิตใจจะปกติได้ เราต้อง “รู้สึกตัว”…

เราต้องพ้นออกจากโลกของความคิดปรุงแต่งด้วย “ความรู้สึกตัว”

เพราะฉะนั้นเหมือนเป็นบันได แต่มันเป็น “ขณะเดียว” ทั้งหมดที่ผมพูดมันเป็นขณะเดียวนั่นแหละมันก็เข้าถึงความตื่นรู้เลย

 

ตอนที่ 3 สาวลงไป…ให้เห็นตัวเอง

ในขณะที่เส้นทางของชีวิตเราทุกคนที่ปฏิบัติธรรมเนี่ย… มันยังมีกิเลสอาสวะนอนเนื่องอยู่ในจิตใจเรา เรามีหน้าที่ที่จะต้องขัดเกลา การที่เราเริ่มมีสัมมาสมาธิ การที่เราเริ่มอยู่ในสภาพตื่นรู้ได้ สิ่งถัดมาที่จะเกิดขึ้นกับเราก็คือว่า เราจะเห็นชัดว่าอะไรที่มันนอนเนื่องอยู่กมลสันดานของเรา อะไรที่มันนอนเนื่องอยู่ภายใต้เบื้องลึกของจิตใจเรา เราจะเห็นได้

สังเกตไหมว่าพวกเราชอบคิดเข้าข้างตัวเอง ถ้าเราทะเลาะกับใคร กูถูกตลอด เหตุผลทุกอย่าง ส่วนใหญ่เรามองไม่ค่อยเห็นความผิดของตัวเอง มองไม่ค่อยเห็นกิเลสเบื้องลึกในใจตนเอง มองไม่เห็นความเห็นแก่ตัวของตัวเอง มองไม่เห็นความเอาแต่ใจของตัวเอง นักปฏิบัติทุกคนต้องเห็นให้ได้

ถ้าเราเห็นความไม่ดีของตัวเองไม่ได้…เจริญไม่ได้! ปฏิบัติธรรมแล้วเห็นตัวเองดีๆๆๆ ปฏิบัติผิดแน่นอน หัวจิตหัวใจเต็มไปด้วยอวิชชา เต็มไปด้วยกิเลส…จะดีได้ยังไง? ยิ่งปฏิบัติยิ่งต้องเห็นความไม่ดีของตัวเอง ยิ่งปฏิบัติยิ่งต้องเห็นความน่าเกลียดของตัวเอง

เราตั้งใจจะไปทำนี่ ทำนั่น…ถามใจตัวเองว่าทำไมทำแบบนั้น กำลังหวังดีกับคนอื่นจริงรึเปล่า หรือเบื้องลึกตัวเองหวังอะไร…เห็นให้ได้ เห็นความน่าเกลียดของตัวเองแบบนั้นให้ได้ ไม่อย่างนั้นเราจะไม่เข้าใจเลยว่าเรากำลังมีอะไรไม่ดีหลงเหลือ มีตะกอนอะไรที่มันอยู่ในน้ำ

พระพุทธเจ้าสอนเรา ปัญญามี 3 อย่าง…สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา 3 อย่างนี้ต้องใช้อย่างสมดุล

“สุตมยปัญญา” คืออะไร? ….ฟังผม ฟังเทศน์ฟังธรรมครูบาอาจารย์ เค้าเรียกว่า สุตมยปัญญา

บันไดที่ผมให้เหล่านี้เป็น “ภาวนามยปัญญา”

“จินตมยปัญญา”  รู้จักพิจารณาแบบที่ผมพูดเมื่อกี้นี้ ภาษาครูบาอาจารย์ท่านเรียกว่า พบเห็นเจออะไรก็น้อมเข้ามาใส่ตัวเรา พบเห็นเจออะไร ดีที่สุดก็คือ “เห็นตัวเอง” นี่แหละ! น้อมเข้ามาใส่ตัว… “ดูตัวเอง”  เห็นข้อไม่ดีของตัวเองให้ได้ พิจารณา “สาวลงไป” พิจารณาให้มันลึกซึ้ง สาวลงไปๆ อะไรกันแน่ผลักดันเรา ให้เราไปทำ ให้เราไปพูด ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความต้องการเอาชนะ ความเห็นแก่ตัวของตัวเอง…เห็นให้ได้

เรา “ขัดเกลา” เพื่อเข้าถึงความบริสุทธิ์ การขัดเกลาจะทำให้เราเป็นคนดีขึ้นด้วย แต่การขัดเกลาในวิถีแห่งพุทธ วิธีของพระพุทธเจ้า เราจะดียิ่งกว่าดีก็คือ “มันบริสุทธิ์” เราจะไม่ติดอยู่แค่ดีเพราะดีมันเป็นสมมติ แล้วก็จะเข้าถึง “ความพอดี”…มันพอดีเพราะไม่มีอัตตาตัวตน ไม่มีความน่าเกลียดของทิฐิมานะส่วนตัวเข้าไปเกี่ยวข้อง มันเลยบริสุทธิ์ ไม่มีผลประโยชน์ส่วนตัวเคลือบแฝง มันเลยบริสุทธ์ มันไม่มีส่วนตัวเพราะอะไร เพราะ “มันไม่มีตัว”

เพราะฉะนั้น จุดนี้สำคัญ อยากให้ทุกคนเก็บไปพิจารณาให้มันลึกซึ้ง จะพูดจะคิดจะทำอะไร “สาวลงไป…สาวลงไป” คนที่คิดว่าตัวเองดีอยู่แล้ว สาวลงไปซิมันดีจริงไหม? หวังดีกับแฟน กับลูกกับเมีย สามี…สาวลงไปจริงไหม หรือว่ารักตัวเอง หรือว่าเห็นแก่ตัว สาวลงไป หาให้เจอ หาให้เจอว่าจริงๆ เราดีอย่างที่เราคิดรึเปล่า หรือจริงๆ เราเห็นแก่ตัว

เห็นความไม่ดีของตัวเองให้ได้ มันถึงจะขัดเกลาได้ คนเราถ้ามันไม่เห็นความไม่ดีของตัวเอง ความไม่ดีก็จะติดอยู่อย่างนั้นไปเรื่อยๆ เพราะมันไม่รู้ว่ามันไม่ดี มันนึกว่าดีแล้ว คนไหนที่ปฏิบัติยิ่งเห็นความไม่ดีของตัวเองกำลังอยู่ในทางเจริญ

คนดีๆ ในโลกทั้งหลาย ชอบบอกว่าตัวเองดี ไม่เห็นแก่ตัว…ไม่มีทาง เพราะทุกคนมีตัวอยู่ มันเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่สิ่งแปลกประหลาดอะไรที่เราจะเห็นแก่ตัว แต่นักปฏิบัติเราต้องเห็นความไม่ดีนั้น เห็นแล้วก็แก้ไข ขัดเกลา คนเห็นแล้วไม่แก้ไข ถ้าเจอคนช่วยบอกให้รู้จักแก้ไข ยอมแก้ไขตามก็ดีไป แต่คนไม่เห็นนี่! คนบอกแล้วก็ยังไม่เห็นนี่…อาการหนักสุด เพราะฉะนั้นเราต้องรู้ตัวเองให้ได้

 

ตอนที่ 4 ฝึกที่จะพึ่งตนเอง

พระพุทธเจ้าสอนเรา…อัตตาหิอัตตโนนาโถ “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” ช่วยตัวเองก่อน

ครูบาอาจารย์นี้เป็นที่พึ่ง แต่ครูบาอาจารย์ไม่ได้มีลูกศิษย์คนเดียว ตามแก้ทุกคนไม่ได้ เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าเลยสอนเราให้ตนเป็นที่พึงแห่งตน แต่มีครูบาอาจารย์ไว้ก็เหมือนแจ็คพอต ก็ช่วยเรา หัดเข้าหาครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์จะช่วยเรา

ฝึกที่จะเป็นแก้วเปล่าที่พร้อมจะรับคำสอนคำแนะนำจากครูบาอาจารย์ ท่านพูดอะไรก็รับมาก่อน เอามาพิจารณา เอามาปฏิบัติดู ดีไม่ดีเรารู้เอง อย่าเป็นน้ำเต็มแก้ว พอน้ำมันเต็มแก้ว ธรรมะมันไหลออกจากครูบาอาจารย์ไม่ได้ จานชามที่มีของใส่อยู่แล้วก็ใช้ต่อไม่ได้ จานชามที่มันสะอาดยังไม่ใส่อะไร มันถึงจะใส่ของใหม่ได้ เป็นจานชามที่มันว่างเปล่า จึงจะรับอะไรได้

เรามาที่นี่ไม่ได้มาแค่เพื่อจะฟังธรรม เรามาที่นี่เพื่อที่เราจะได้รู้จัก สัมผัสสภาพที่ปลอดจากความกังวลใดๆ ทั้งสิ้นที่เราอยู่ในโลกอยู่ในที่ทำงาน เรามาที่นี่เพื่อที่จะได้รู้จักสภาพที่แท้จริงของตัวเราทุกคน

เราอยู่ในโลก โอกาสที่เราจะรู้จักสภาพแบบที่ผมพาให้รู้จักแบบนี้…ยาก ใช้โอกาสตรงนี้รู้จักสภาพแห่งความ “ตื่นรู้” รู้จักสภาพจิตใจที่เป็น “ปกติ”  รู้จักสภาพความสุขที่ไม่อิงอาศัยสิ่งอื่นใดในโลกนี้ รู้จักสภาพความสุขที่มาจากความพ้นจากทุกข์ทั้งปวง เรามาที่นี่เพื่อที่จะรู้จักสิ่งเหล่านี้ พอเรารู้จักสิ่งเหล่านี้ สิ่งเหล่านี้เป็นกุศลอันใหญ่ รู้จักมันบ่อยๆ กุศลนี้จะเปิดทางให้กับเราทุกคน…จะเปิดเส้นทางเส้นใหม่ให้กับเราทุกคน…มันเป็นเหตุปัจจัย แต่ถ้าเราไม่มีโอกาสรู้จักเลย เส้นทางเส้นใหม่นี้เปิดไม่ได้

“กุศล” เป็นเรื่องของความบริสุทธิ์ บุญเป็นสิ่งที่ทำแล้วเราได้รับบุญ กุศลไม่มีได้หรือรับอะไร เป็นของกลาง เป็นของบริสุทธิ์

เรามาที่นี่เพื่อจะรู้จักความบริสุทธิ์ของจิตใจแบบนั้น ให้ความบริสุทธิ์อันนี้ นำพาชีวิตเรา มันจะค่อยๆ แทรกตัวเข้าไปในจิตใจเรา มันจะค่อยๆ กลืนกินชีวิตเก่าๆ ของเรา มันจะค่อยๆ นำพาเราไปสู่เส้นทางใหม่ เราจะรู้จักที่จะเลือกเส้นทางใหม่ให้กับชีวิตเรา เราจะรู้จักที่จะละทิ้งของเก่า เราจะรู้จักที่จะใช้ชีวิตแบบใหม่แบบที่เราไม่เคยคิดว่าเราจะกล้าใช้ชีวิตแบบนี้ได้ยังไง

เช่น เรากล้าที่จะไม่ทำงาน คนในโลกบอกว่าต้องทำงาน เพิ่งอายุแค่นี้ทำไมไม่ทำงาน เราไม่กล้าทำ…แค่อย่างเดียว กลัวคนอื่นว่า แต่ถ้าเรามีเส้นทางแห่งกุศลอันนี้เป็นหลักฐานชิ้นใหญ่ในใจเรา ถ้ากุศลนี้มันหนักแน่นพอ ใครจะว่าอะไรเราก็ไม่สนหรอก เรารู้เส้นทางที่เราจะไปว่าคือเส้นทางไหน แต่ถ้าเราไม่หนักแน่น เสียงคนอื่นใหญ่กว่าเสียงของกุศลในใจเรา เราก็เป็นผู้แพ้ตลอดกาล

ชีวิตที่มีโอกาสแบบนี้ ยุคนี้ปฏิบัติธรรมในห้องแอร์ ไม่ต้องไปเข้าป่าหาครูบาอาจารย์ เหลือบลิ้นยุงไร ตอม กัด ทรมาน ทุกคนต้องตระหนักให้ชัดถึงความโชคดี มันก็เป็นบุญของพวกเราเองที่รู้จักสนใจ ที่รู้จักที่จะเริ่มปฏิบัติธรรม แต่ชีวิตเราแต่ละคนมันสั้นนัก รู้จักทางแล้วก็ยังเอ้อระเหยลอยชาย มันก็จะโง่กว่าคนที่ไม่รู้อะไรเลย

เวลาของแต่ละคนมีไม่เยอะ ไม่ต้องถึงตายหรอก เอาแค่ป่วยก็พอ ป่วยขึ้นมาทีนึง ทุกข์หนักๆ ปฏิบัติธรรมไม่ได้ กำลังใจหมด เพราะฉะนั้น ถ้าเรารู้จักชีวิตที่แท้จริง รู้จักการปฏิบัติธรรม เราอยากจะพ้นทุกข์ เลือกชีวิตให้มันเข้มข้นกว่านี้หน่อย ไม่ใช่ปล่อยไปวันๆ ปฏิบัติไปวันๆ ซังกะตาย  ทีทำงาน…โอ้โห! แผนระยะกลาง (Midterm plan) แผนระยะยาว (Longterm plan) แผนปฏิบัติการ (Action plan) เพียบ หวังจะให้มันประสบความสำเร็จเร็วที่สุด Maximize profit ดีที่สุด Efficient ที่สุด…คิดอย่างนี้กับการปฏิบัติธรรมบ้าง ใช้ศักยภาพที่มีแบบนี้ในการปฏิบัติธรรมบ้าง ไม่ใช่ใช้ไปกับทางโลก ทางไร้สาระตลอดชีวิต

ทุกคนต้องมีจุดเปลี่ยนนะ…การเปลี่ยนจากปุถุชนเป็นอริยชน ทุกคนต้องมีจุดเปลี่ยน เอ้อระเหยไปวันๆ ไม่มีทาง การข้ามจากคนเป็นไม่มีคน คิดว่าเดินๆๆ ไปแล้วมันก็ถึง ไม่ต้องมีความพยายามอะไรเลย มันคือการเปลี่ยนเส้นทาง…มันไม่ง่าย! เราจะทิ้งอะไรสักอย่างนึงยังยากแสนยาก ของเก็บมา 10 ปี จะทิ้ง โอ้! เสียดายน่าจะยังใช้ได้…เรื่องนิดเดียวยังทิ้งไม่ได้เลย…จะเปลี่ยนเป็นอริยชน

ครูบาอาจารย์บวช อยู่วัด อยู่อะไร…ได้นิสัย หลวงปู่ชาบอก 5 พรรษาให้ออกไปธุดงค์ได้  ทำไมต้องธุดงค์? รู้จักพึ่งตัวเอง เราอยู่บ้าน มีแม่บ้าน มีคนงาน มีคนใช้ มีทุกสิ่งทุกอย่าง ชีวิตเราอยู่ใน Safety zone ตลอด เราก็เลยไม่มีโอกาสเห็นความทุกข์ที่มันนอนเนื่อง ความกลัวที่มันนอนเนื่องอยู่ในจิตใจเรา ความทุกข์จากความลำบาก ไม่เคยเห็นเลยเพราะมันสบาย

พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า “ไม่ให้ติดที่” ผมก็ไม่ถึงกับว่ากระตุ้นให้ทุกคนไปธุดงค์หรอกนะ แต่รู้จักเลือกชีวิต ลองมีชีวิตที่มันไม่ค่อยสภาพเท่าที่เคยเป็น…เป็นยังไง? ใช้ชีวิตที่มันพึ่งตนเองมากกว่าพึ่งคนอื่นหน่อยไหมเป็นยังไง? ใช้ชีวิตที่มันควบคุมบังคับสั่งการใครไม่ได้เลยดูสิเป็นยังไง? คนที่มาที่นี่ ทุกคนเป็นเจ้าของ เป็นเจ้านาย เป็นเถ้าแก่ เป็นกรรมการผู้จัดการ เป็น Vice president เป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เราสั่งทุกคนได้หมด ลองเราสั่งใครไม่ได้เป็นยังไง มีคนอื่นมาสั่งเราแทน ทุกข์มั้ย ทุกข์แค่ไหน ยอมได้มั้ย อยู่บ้านมีแต่คนตามใจเรา ไปอยู่ข้างนอกเขาไม่ตามใจเราเป็นยังไง ลองดูหน่อย ดูสิที่ว่าปฏิบัติแล้วไม่ทุกข์ๆ มันยังทุกข์อยู่มั้ย  “Safety zone” คำนี้สำคัญ ให้ทุกคนไปพิจารณา Safety zone จะปิดบังเราไว้

การปฏิบัติธรรมเป็นพื้นฐานของการ “สละออก”  ไม่ใช่เอาเข้า ของในบ้านเอาออกได้มั้ย ของที่มันเก่าๆ แล้ว เสื้อผ้าตั้งเยอะ รองเท้าตั้งแยะ ใช้ชีวิตให้มันเรียบง่าย ลองนึกดูชีวิตของเรา ลองคิดสิว่า สมมติถ้าวันนี้คนข้างๆ เราตายหมด คนรักของที่เรารักตายหมด เราต้องอยู่คนเดียว มันจะทุกข์ขนาดไหน…ฝึกตั้งแต่วันนี้ ตอนตายฝึกไม่ทัน

ฝึกที่จะรู้จักพึ่งตนเองได้ ฝึกที่จะไม่ต้องพึ่งพิงคนอื่น ลองซิอยู่คนเดียว…ลองอยู่คนเดียวได้มั้ย? ลองดูซิมันทุกข์ขนาดไหนเวลาอยู่คนเดียว เวลาตาย ความทุกข์แบบนั้นมันจะเข้ามาหาเรา มันเป็นความว้าเหว่ วังเวง วิเวก โหวงเหวง น่ากลัว สิ่งเหล่านี้ที่ผมบอกเป็นการขัดเกลาชีวิตเรา ขัดเกลาจิตใจเราให้มันเข้มแข็ง จิตใจเราหมักหมม สะสม ความเห็นผิดมาไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ “ชีวิตแห่งการขัดเกลา” เราต้องเข้าใจว่ามันเข้มข้นพอๆ กับที่เราสะสมมาไม่รู้เท่าไหร่

เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้ก็ วันนี้ฝากเอาไว้ให้ทุกคนไปพิจารณา ปรับใช้กับชีวิตทุกคน แล้วเราจะยิ่งเจริญขึ้นอีกในทางธรรม

 

Camouflage

 

YouTube : https://youtu.be/pmzAmbc-qFw

คลิปเสียงธรรมะทั้งหมดของอาจารย์ Camouflage : https://goo.gl/RDZFMI

======================

5 ช่องทางการอ่านและฟังธรรม

1) Facebook : สุขกาย สุขใจ SookGuySookJai
http://www.facebook.com/sookguysookjai

2) Line : @camouflage.talk
https://line.me/R/ti/p/%40camouflage.talk

3) YouTube : สุขกาย สุขใจ SookGuySookJai
https://goo.gl/in9S5v

4) Website: https://camouflagetalk.com

5) Podcast : Camouflage – Dhamma Talk
https://itun.es/th/t6Mzdb.c
วิธีการติดตั้ง https://goo.gl/tBMY9S