52.ง่ายๆ (นำสมาธิภาวนา)

 

ตอนที่ 1 อยู่กับตัวเอง

กริ๊งงง (เสียงระฆังดัง)…เดี๋ยวเรานั่งสมาธิ…

การนั่งสมาธิที่ผมบอกให้ทุกคนนั่งสมาธิ นี่หมายความว่าให้เรารู้จักที่จะ “อยู่กับตัวเอง” เราจะหลับตา จะลืมตา ยังไงก็ได้

การนั่งสมาธิเป็นคำพูดที่เพียงต้องการสื่อสารให้เรากลับมา “อยู่กับตัวเอง”…

รู้สึกตัว…รู้สึกอยู่กับเนื้อกับตัว

ไม่ล่องลอยไปในความคิด

ไม่หลงเข้าไปในโลกของความคิด

ตอนนี้ทุกคน “อยู่กับเนื้อกับตัว” ลองสังเกตดูว่ามีอะไร?…“ไม่มีอะไร”…

ความเงียบภายใน” เบ่งบานออกมา

ความเป็นปกติภายใน” เบ่งบานออกมา

ความสุขที่เกิดจากความพ้นจากทุกข์เปิดเผยตัวออกมา…รู้จักความเงียบภายในนี้เองไว้

ความเงียบภายใน”…ไม่ใช่ความสุข ไม่ใช่ความทุกข์ เป็นธรรมชาติเดิมแท้ของเรา ถ้าเราไม่ยึดร่างกายและจิตใจนี้ ร่างกายและจิตใจนี้หมดไป ขันธ์ 5 หมดไป เราก็กลับบ้าน…”บ้านที่แท้จริง” ของเรา บ้านที่ปราศจากความดิ้นรนทางจิตใจ ปราศจากความอยาก ตัณหา ราคะ โทสะ

บ้านที่แท้จริง” ไม่ต้องอาศัยความพยายามอะไรที่จะได้พบเจอ ไม่ต้องลำบากเหมือนเราอยู่โลก แข่งขัน แย่งชิงทรัพยากร แย่งชิงลูกค้า ถ้าพูดจริงๆ ก็คือ หาลูกค้ากับหานิพพาน หา “นิพพาน” ง่ายกว่า

แค่ตอนนี้เรานั่งเฉยๆ มันก็ปรากฏอยู่ต่อหน้าต่อตาเราแล้ว ทุกคนมีสิทธิเข้าถึงมัน ได้ทุกที่ทุกเวลา เพียงแต่เราสนใจจะเข้าถึงมันบ่อยแค่ไหน หรือเราสนใจจะไปอยู่ในโลกของความคิดปรุงแต่ง การตัดสินให้ค่า วิพากษ์วิจารณ์เรื่องในโลก เรื่องของคนอื่น…มันอยู่ที่เราสนใจที่อยากจะเป็นแบบไหน เราเอาจริงเอาจังกับการพ้นทุกข์ขนาดไหน

 

ตอนที่ 2 หลักสำคัญ คือ ไม่มีการทำอะไรทั้งสิ้น

การปฏิบัติธรรมมันง่ายมาก มันง่ายจนไม่รู้จะง่ายยังไง

ปัญหาคือ พวกเราชอบทำ พอบอกปกติก็จะทำให้มันปกติ พอบอกว่าอย่าไปยึดก็จะทำกิริยาไม่ยึด พอบอกให้ปล่อยก็จะไปหาอะไรปล่อย

หลักสำคัญของการปฏิบัติธรรม คือ “ไม่มีการทำอะไร” ทั้งสิ้น เพียงแค่เข้าถึงสภาพ “รู้ ตื่น เบิกบาน” ให้ได้

เปลี่ยนใหม่…เมื่อก่อนนักปฏิบัติทั้งหลายสนใจกับอาการของจิต สนใจกิเลสตัณหา สนใจผลผลิตของโมหะอย่างเดียว การปฏิบัติธรรมที่แท้จริง ต้องเข้าถึงสภาพ “รู้ ตื่น เบิกบาน” ให้ได้ และเดี๋ยวมันจะเห็นเอง มันจะเข้าใจอะไรๆ เอง แต่ถ้าเรายังเข้าถึงสภาพ “รู้ ตื่น เบิกบาน” ไม่ได้…เราจะเห็นอะไรได้  ที่บอกว่า…ที่เห็นก็เห็นไม่จริง ก็เพราะเป็นแบบนี้แหละ

เราจะเข้าถึงสภาพ “รู้ ตื่น เบิกบาน” ได้…ต้องทำยังไง?

เส้นทางสำคัญ คือ การพ้นออกจากโลกของการคิดปรุงแต่งให้ได้  พ้นยังไง?…ต้อง “รู้สึกตัว

เวลาพูด “รู้สึกตัว” นี่ บางคนจะไปทำความรู้สึกตัว.. “เพ่ง”

ผมจะพูดใหม่ “อย่าลืมตัว” ตื่นขึ้นมาบอกตัวเอง “อย่าลืมตัว” แค่ไม่ลืมตัว…แค่นั้น

เมื่อเราไม่ลืมตัวบ่อยๆ สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ เราจะรู้สึกอยู่กับเนื้อกับตัวมากขึ้นในชีวิตของเราแต่ละวัน ความอยู่กับเนื้อกับตัวมันจะหนักแน่นขึ้น หนาแน่นขึ้น และเมื่อความรู้สึกตัวหรือความอยู่กับเนื้อกับตัวมันมากขึ้น การหลงเข้าไปคิดปรุงแต่งมันต้องน้อยลง…มันเป็นผล

การปฏิบัติธรรม เราอย่าลืมที่จะรู้จัก”ใจ” พอเราอยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว อย่าลืมหันมาดูใจเราเป็นยังไง? ถ้ามันอยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว ส่วนใหญ่จิตใจนี้จะเป็นสภาพแบบไหน? สภาพแบบที่กำลังเป็นอยู่ตอนนี้นั่นแหละ…เงียบเชียบ..ราบเรียบ…ไม่ขึ้นไม่ลง…ไม่บวกไม่ลบ…เป็นปกติอยู่  รู้จักสภาพแบบนั้นเองไว้ สภาพแบบนั้นเป็นตัวแสดงถึงสภาพของความพ้นทุกข์…มันเป็น  “ปกติ

เมื่อเราพาจิตใจให้รู้จักสภาพแห่งความพ้นทุกข์แบบนี้เอาไว้ จิตใจนี้มันฉลาด มันเรียนรู้ อะไรดี อะไรไม่ดี มันรู้ว่าเข้าไปคิดเข้าไปปรุงแต่งจนเกิดกิเลสตัณหานี่…มันทุกข์

แต่พอวันนึงเราพามารู้จักสภาพที่มันไม่ทุกข์ มันเรียนรู้แล้วว่า  อ่อ…มีสภาพที่ดีกว่า มีสภาพที่น่าสนใจกว่าสภาพเดิมๆ สภาพแห่งความหลงที่เราหลงมาทั้งชีวิต…สภาพนี้มีอยู่แล้ว เราหลงลืมมันไปเฉยๆ เราคิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่สำคัญอะไร สำคัญกว่าคือเราต้องหัดคิดให้เป็น…โลกสอนเราแบบนั้น เราเลยต้องคิดตั้งแต่เด็กจนโต จนเป็นผู้ใหญ่ จนแก่ เรากลัวเราไม่เป็นคนฉลาด

 

ตอนที่ 3 มีหน้าที่เดียว คือ เข้าถึงสภาพ “รู้ ตื่น เบิกบาน” ให้ได้

ความฉลาดไม่ได้อยู่ที่คิดเก่ง ความฉลาดไม่ได้อยู่ที่สมอง ความฉลาดที่แท้จริงคือ “ปัญญาญาน” ไม่ได้เกิดขึ้นจากหัวสมอง มันออกมาจากใจ ใจที่มัน “ว่าง”

ตราบใดที่เรายังตกอยู่ในโลก ในสังคมของเหตุผล ตามความคิด เราอยู่ในโลกที่แคบมาก แต่เมื่อไหร่ที่ใจเรามันว่าง ปัญญาญานจะทำงานแทน ทำงานตามเหตุปัจจัยของสรรพสิ่งในแต่ละขณะ ไม่ใช่ความคิดทางด้านเหตุผล

ช่วงนี้ตรุษจีน มีภาษาจีนวันละคำ อาจมีคนเข้าใจและก็ไม่เข้าใจ เป็นภาษาแต้จิ๋ว คนจีนเราใช้ว่าคนที่ไม่ฉลาดประเภทนี้ว่า “ซี้ปังโต้ว” แปลตรงตัว “ซี้ปังโต้ว” แปลว่า ท้องสี่เหลี่ยม ทำไมความไม่ฉลาดมันถึงไปเป็นอยู่ที่ท้องได้? ทำไมไม่ใช่อยู่ที่หัว? ทำไมไม่อยู่ที่สมอง? ศัพท์คำนี้แสดงถึงภูมิปัญญาของคนจีนมาก

เซน (Zen) นี่…เราพูดถึงท้อง ความฉลาดนี่มาจาก “ท้อง” ไม่ใช่จากสมอง ทำไมมาจากท้อง?…ท้องมันไม่ได้คิด สมองมันคิดทั้งวัน

ล่าสุดมีหนังสือเกี่ยวกับธรรมชาติบำบัด มี ดร.คนนึงอธิบายว่า ลำไส้ใหญ่เรานี่เป็นสมองที่ 2 ของมนุษย์ เค้าบอกว่าถ้ามนุษย์เราดำรงชีวิตโดยอาศัยสมองบนหัวเรานี่ เราสูญพันธุ์ไปนานแล้ว เพราะสมองบนหัวเรานี่คิดไม่ทัน ตอบโต้ไม่ทัน React ไม่ทันกับอะไรก็ตามที่เรากำลังเผชิญหน้าอยู่ ลำไส้ใหญ่สั่งงานทุกอย่างได้รวดเร็วกว่าสมอง สมองแปลไม่ทัน นักวิทยาศาสาตร์กว่าจะรู้เรื่องแบบนี้ เซนเค้ารู้มานานแล้ว

เพราะฉะนั้น กลับมาที่เราจะใช้ท้องแทนสมองเรา…เราจะทำยังไง?

เราต้อง “พ้นออกจากโลกของความคิดปรุงแต่ง” ให้ได้ ด้วย “ความรู้สึกตัว” แล้วก็พาจิตใจให้รู้จักสภาพที่มัน ”ไม่ทุกข์” ให้มันรู้จักสิ่งที่ดีกว่า แล้วมันจะไม่เอาทุกข์เอง มันจะไม่เอากิเลสเอง เพราะมันเริ่มฉลาดแล้ว

ราวบันไดทั้งหมดที่ผมพูดเมื่อกี้นี้…

“การพ้นออกจากโลกของความคิดปรุงแต่ง”

“ความรู้สึกตัว”

การรู้จักจิตใจเราเป็นยังไง? ปกติก็รู้ว่าปกติแล้ว ไม่ปกติก็รู้ว่าไม่ปกติแล้ว…เป็นกลางกับมัน

แล้วเมื่อไหร่ที่เราใช้ราวบันไดเหล่านี้ จนเข้าถึงสภาพของจิตใจที่เงียบเชียบ เป็นปกติ เป็นกลางต่อสรรพสิ่ง เราได้เข้าถึง สภาพของความ “รู้ ตื่น เบิกบาน”

สภาพของความ “รู้ ตื่น เบิกบาน” แบบนั้นบนพื้นฐานของจิตใจที่เป็นปกติอยู่…รู้จักมัน รู้จักสภาพตื่นแบบนั้นเอาไว้ หน้าที่ของเรา คือ “การเข้าถึงความเป็นพุทธะ” ให้ได้ ไม่ใช่มีหน้าที่หาความรู้ทางธรรมะ หาความรู้ในโลกใส่ตัว มีหน้าที่เดียว…เข้าถึงความเป็นพุทธะให้ได้

เมื่อเราก้าวเข้าไปแล้ว…รู้จักมัน รู้จักสภาพแห่งการตื่นแบบนี้เอาไว้…มันเป็นยังไง? มันปลอดโปร่ง เราจะเห็นทุกสิ่งตามความเป็นจริงโดยที่เราไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับมันได้

แล้วเมื่อไหร่ก็ตามที่สภาพ “ความตื่น” แบบนี้ มันลดลง มันเริ่มมัวหมอง มันเริ่ม drop ลงไป เราต้องปลุกมันขึ้นมา ปลุกมันขึ้นมาใหม่…ปลุกยังไง? หายใจเข้าลึกๆ ยืดเนื้อยืดตัว ลืมตากว้างๆ ให้มันสดใหม่ ให้มันสดชื่น

คำสอนอันนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องจำไว้ให้ดี เรามีหน้าที่เข้าถึงสภาพ “รู้ ตื่น เบิกบาน”…นั่นคือ “ตัวเราที่แท้จริง

เราไม่มีหน้าที่สะสมความรู้ องค์ความรู้ ไม่ว่าจะเป็นทั้งทางโลกและทางธรรม

แต่ด้วยการที่เราเข้าถึง “สภาพตื่นรู้” อยู่เสมอๆ อยู่ในทุกขณะจิตของเรานี้ ความรู้ทั้งหลายจะพรั่งพรูออกมาจากใจของเราเอง….

เป็นความรู้ที่ไม่ต้องสะสม เป็นความรู้ที่ออกมาจากปัจจุบันขณะ

เป็นความรู้ที่ออกมาจากแต่ละขณะ แต่ละช่วงขณะของชีวิตในทุกๆ วันที่เราตื่นขึ้นมา

เป็นความรู้ที่ไม่อาศัยประสบการณ์ในอดีต ในอนาคต

เป็นความรู้ที่ประมวลผลเสร็จเรียบร้อยโดยไม่ผ่านกระบวนการคิด ปล่อยให้ทุกอย่างทำงานเองโดยธรรมชาติ….เราเป็นแค่สภาพ “รู้ ตื่น เบิกบาน”

ทุกคนเคยมีลางสังหรณ์ เคยมี Gut feeling เคยมีความรู้สึกที่บอกเราว่าเราควรจะทำแบบนั้นแบบนี้ ให้เราลองคิดดูว่า สภาพแบบนั้นที่เราเคยเป็นนี่ มันออกมาจากสมองรึเปล่า? มันไม่ได้ออกมาจากสมอง ทุกคนมีภาวะแบบนี้อยู่แล้ว ทุกคนมีสภาพแห่งความเป็น “พุทธะ” แบบนี้อยู่แล้ว เราแค่ไม่เคยปลุกให้มันตื่นขึ้นมา

 

ตอนที่ 4 ปลุกสภาพ “ตื่นรู้” ขึ้นมา อย่าให้มันหลับ

เมื่อเราปลุกสภาพ “ตื่นรู้” นี้ขึ้นมาแล้ว เราอย่าให้มันหลับ อย่ากลับไปหลับอีก

สภาพ “ตี่นรู้” เป็นสภาพที่ยิ่งใหญ่ ไร้ขอบเขต ไม่มีคำอธิบายในความตื่นรู้นั้น…เพียงแค่ “ตื่นรู้” เฉยๆ  เราจะกลับเป็นคนธรรมดา พวกเราจะเป็นเพียงคนธรรมดาที่ “ตื่น” แล้ว

ถ้าเราไม่ตื่น เราไม่ธรรมดา เรามีเปลือก มีอัตตา มีทิฏฐิ มีศักดิ์ศรี เปลือกเหล่านี้ทำให้เราทุกข์

แต่ถ้าเราเป็นเพียงกิริยา “รู้ ตื่น เบิกบาน”…เราไม่ทุกข์อะไร เพราะเราไม่ต้องเป็นอะไรเลย

ตอนนี้เราสังเกตความเงียบของตัวเองยังอยู่มั้ย? ความเงียบภายในยังอยู่รึเปล่า? เราจะสังเกตว่าเดี๋ยวมันก็เปิดเผยตัวออกมา เดี๋ยวมันก็หายไป เดี๋ยวมันก็เปิดเผยตัวออกมา แล้วพอเราไปคิด มันก็หายไปอีกแหละ

สังเกตให้ดี !…เรามาที่นี่ไม่ใช่แค่มาฟังคำสอน เรามาที่นี่ เพื่อจะ “รู้จักตัวเอง” รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเรา

เมื่อไหร่เราหลงเข้าไปคิดปรุงแต่ง สังเกตให้ดี ความตื่นเราจะลดลง มันจะเริ่มมัวหมอง อารมณ์ โมหะ กำลังเข้ามาแทนที่สภาพตื่นนั้น แต่พวกเราส่วนใหญ่ต้องรอคิดจนกังวลก่อน คิดจนเหนื่อยก่อน ถึงค่อยรู้สึกว่า “ไม่ตื่น” แล้ว

สังเกตใหม่ !…เมื่อไหร่ก็ตามที่มันแค่มัวนิดนึง เราต้องเห็นแล้ว ไม่งั้นมันจะเกิดสิ่งที่ตามมา (Consequence) ต่อเนื่องไปไม่จบ…จนทุกข์ในที่สุด

เมื่อไหร่ก็ตาม ที่เราเห็นอะไร ได้ยินอะไร ได้กลิ่นอะไร แล้วเราก็ไปตัดสิน ไปให้ค่า มียินดี ไม่ยินดี พอใจ ไม่พอใจ…นั่นเรา “หลับ” แล้ว

พระพุทธเจ้าที่แท้จริง คือ ความเข้าใจสรรพสิ่งในโลกว่ามันเป็นอย่างนั้นเอง… “มันเป็นเช่นนั้นเอง”  เมื่อไหร่ก็ตามที่เราเข้าไปแทรกแซงความเป็นเช่นนั้นเอง นั่น!..เรากำลังทำลายพระพุทธเจ้า ความเป็นไปของสรรพสิ่งในโลกนี้ มันเป็นอย่างนั้น เราไม่ได้เป็นเจ้าของอะไรของมันเลย

เมื่อไหร่เราพยายามจะเป็นเจ้าของอะไร เราเตรียมตัว “ทุกข์” เลย

เมื่อไหร่เราพยายามจะเป็นเจ้าของอะไร เรา “หลับ” แล้ว

ความเป็นเจ้าของอะไรไม่เคยนำมาซึ่งความสุขได้เลย แม้กระทั่งคนรักกัน เป็นแฟนกัน แค่เราคิดว่า เค้าเป็นของเรา เราเป็นของเค้า…เตรียมตัวทุกข์เลย นั่นไม่ใช่ความรักแล้ว เป็นความเห็นแก่ตัว

พ่อ แม่ ลูก เหมือนกัน…ถ้าเราคิดเป็นเจ้าของเมื่อไหร่ เราต้องทุกข์

เคารพ “ความเป็นเช่นนั้นเอง”…เหมือนเราเคารพพระพุทธเจ้า ความเป็นเช่นนั้นเอง เป็นธรรมะขั้นสูง แต่มันเกิดขึ้นได้ในใจเราทุกคน…ตอนนี้!! ในขณะที่เราเป็น “ปกติ” อยู่

เรารู้สึกพระพุทธเจ้าศักดิ์สิทธิ์มากเท่าไหร่…ความเป็นเช่นนั้นเองก็ศักดิ์สิทธิ์มากเท่านั้น

อย่าเอาความคิดปรุงแต่ง ทิฏฐิมานะของเราทำลายความเป็นเช่นนั้นเอง

ให้เราเตือนตัวเองไว้ว่า…เหมือนเรากำลังทำลายพระพุทธเจ้า…บาป…บาปที่ไหน? ใจเราเอง…เป็นทุกข์ เพราะเราไม่เข้าใจสรรพสิ่ง ไม่ได้เกี่ยวกับว่าใครศักดิ์สิทธิ์

 

ตอนที่ 5 ไปให้ไกลกว่าความเชื่อ ความคิด ความดี

สังเกตดู…ตอนนี้เรายังตื่นอยู่มั้ย? ความตื่นตกลงไปบ้างมั้ย? เมื่อเราเข้าถึงสภาพตื่นรู้แล้ว เราจะได้ความรู้ทุกอย่างที่เราเคยคิดว่าเราต้องได้ ไม่ว่าจะเป็นการเห็นไตรลักษณ์ การเห็นการเกิด-ดับ ความเข้าใจในปฏิจจสมุปบาท ความเข้าใจในอิทัปปัจจยตา เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี

ความรู้เหล่านี้เป็นผลลัพธ์จากการที่เราเข้าถึงสภาพ “รู้ ตื่น เบิกบาน” แล้ว อย่าเพิ่งไปรีบได้ความรู้ก่อน เพราะนั่นมันเข้าสมอง เราใช้ใจที่มืดมิดเข้าใจธรรมะไม่ได้ เราต้องใช้ใจที่ “รู้ ตื่น เบิกบาน” เข้าใจธรรมะผ่านประสบการณ์ตรงประจักษ์แจ้งต่อทุกขณะจิต ต่อสภาวะตรงหน้า  คือ “ความเป็นกลาง”… เห็นสักว่าเห็น ได้ยินสักว่าได้ยิน

การเดินทางของการเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เป็นการเดินทางที่สวนกระแส ทวนกระแส

อย่าให้กระแสในโลก พาเราตกทาง

อย่าให้กระแสในโลกที่เราเคยเชื่อว่าถูก พาเราหลงทาง

เมื่อไหร่ที่เราเข้าถึงสภาพ “รู้ ตื่น เบิกบาน”  เราจะอยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของคู่…ดี-ชั่ว ถูก-ผิด…คนคิดเอาทั้งนั้น อิสลามกินหมูเป็นบาป ชาวพุทธกินหมูเอากินหมูเอา ไปให้ไกลกว่าความเชื่อ ความคิด ความดี ไปให้สูงกว่านั้น ถ้าเรายังติดอะไรอยู่ เราต้องทุกข์เพราะอย่างนั้น เราว่าแบบนี้ดี อีกคนบอกไม่ดี เราก็โกรธแหละ

สังเกตสภาพ “ตื่น” ในใจตัวเองตอนนี้ ไม่มีอะไรในสภาพ “ตื่น” นี้ เพียงแค่ “ตื่น”…ตื่นขึ้นมา อย่าให้อะไรลากเราหลุดไปจากสภาพ “ตื่น” นี้ได้

ยิ่งเรา “ตื่น” มากเท่าไหร่ หนทางก็สั้นลงเท่านั้น

เราอยากจะนิพพาน แต่เราไม่อยาก “ตื่น” ด้วย ทำไม่ได้

เราอยากจะพ้นทุกข์ แต่เราชอบหลง ชอบหลับ

เราอยากจะนิพพาน เราอยากจะพ้นทุกข์…ไม่ยาก ไม่ต้องอยากได้ด้วย แค่ “ตื่น” เฉยๆ  “ตื่น” ขึ้นมาให้ได้ อยู่ในสภาพ “ตื่น” นี้ให้ได้บ่อยๆ…ไม่มีทางที่จะไม่นิพพาน

เมื่อเราอยู่ในสภาพ “ตื่น”…เราจะคิดอะไรก็ได้ เราจะทำอะไรก็ได้ แต่มันไม่ค่อยไปคิดหรอก คิดแต่เรื่องจำเป็นเท่านั้น แต่เราจะใช้ความคิดได้ เราจะเป็นเจ้านายความคิดอีกที เมื่อก่อนความคิดเป็นเจ้านายเรา…คิดปุ๊บ! สั่งปุ๊บ!…เราไปทำเลย แต่เราจะเป็นเจ้านายมันแทน เราจะใช้มันเฉยๆ…มันหลอกเราไม่ได้แล้ว

 

ตอนที่ 6  ง่ายๆ เพียงแค่ฝึกที่จะ “ตื่น” ขึ้นมาเฉยๆ

ผู้ที่ “ตื่น” แล้วเป็นยังไง? เค้าคิดเค้าทำอะไรนี่ แต่ความเงียบภายในนี้มันอยู่ตลอด ไม่เคยถูกปกปิดอีกเลย ไม่เคยถูกปิดบัง ไม่เคยหายไปไหน

สังเกตตัวเอง!…เราปฏิบัติธรรมมา เวลาที่เราหลงไปแล้ว ความปกติ ความเงียบภายใน มันหายไปด้วยมั้ย? เราคิดอะไรเราทำอะไรมันหายไปเลยมั้ย? ถ้ามันหายไปเลย แปลว่าเราไม่ตื่นแล้ว

เหมือนที่ผมพูดแบบนี้ ความเงียบภายในแบบนั้นไม่เคยหายไปไหน พวกเราต้องฝึก ไม่ใช่ฝึกให้มันไม่หายไปไหน เพียงแค่ฝึกที่จะ “ตื่น” ขึ้นมาเฉยๆ

หน้าที่ในการปฏิบัติธรรมของเรามีน้อยมาก แต่สิ่งที่เราได้คือ ผลลัพธ์มากมายมหาศาลที่เราคาดไม่ถึง

แต่เรามีหน้าที่เล็กน้อยมากๆ ง่ายกว่าเรียนหนังสือ ง่ายกว่าสอบให้ผ่าน ง่ายกว่าหาเงิน ง่ายกว่าทำงาน ชีวิตพวกเราทุกคนผ่านเรื่องหนักหนามาเยอะ ต่อสู้ดิ้นรนในโลกมาเยอะแล้ว ทำเรื่องง่ายๆ บ้าง ทำเรื่องง่ายๆ ที่ได้ผลเป็น Eternity นิจนิรันดร์ ได้ผลยิ่งใหญ่มหาศาล

เรื่องในโลกไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ เรื่องทางธรรมง่ายๆ แต่ผลลัพธ์ยิ่งใหญ่

ไม่มีวัตถุสิ่งของใดๆ ในโลกทำให้เราพ้นทุกข์ได้อย่างถาวร ไม่ว่าเราจะพยายามแค่ไหนก็ตาม

แต่การปฏิบัติธรรมง่ายๆ อย่างนี้แหละ แค่เราอย่าลืมที่จะ “ตื่น” ขึ้นมา อย่าลืมสภาพ “รู้ ตื่น เบิกบาน” นี้ อย่าให้มัน Drop ลง อย่าให้มันหายไป…ทำแค่นี้แหละ ง่ายแค่นี้แหละ

แล้ววันนึงเราจะเข้าถึง “ความพ้นทุกข์” อย่างถาวร…“ไม่ต้องเอาอะไร

ความพ้นทุกข์” เป็นรางวัลอันยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของมนุษย์และสัตว์ทุกคน

 

ตอนที่ 7  ทุกขณะต้อง “สดใหม่”

ต่อไปนี้ลองนั่งรู้จักเพื่อนที่ดีของเราคือ “ความเงียบ” รู้จักสภาพที่มันกำลัง “ตื่น” อยู่ ไม่จมลงไปในความเงียบนั้น ความรู้สึกทุกขณะต้อง “สดใหม่”  ไม่น่าเบื่อ

เมื่อไหร่ที่รู้สึก “เบื่อ”…นั่น! เราหลงไปในโลกของความคิดแล้ว เราไม่ได้อยู่กับขณะนี้ ความเงียบภายในคือ พลังชีวิต พลังของกายและพลังของใจ

ขณะที่เราอยู่กับ “ความเงียบ” มันมีความคิดขึ้นมาก็ “รู้” เฉยๆ เราฝึกไปๆ เราไม่ค่อยมีหรอก “ความคิด” เหลือแต่ “ความเงียบ”

 

#Camouflage

YouTube : https://youtu.be/cmL8zLv-8Qg

คลิปเสียงธรรมะทั้งหมดของอาจารย์ Camouflage : https://goo.gl/RDZFMI

======================

5 ช่องทางการอ่านและฟังธรรม

1) Facebook : สุขกาย สุขใจ SookGuySookJai
http://www.facebook.com/sookguysookjai

2) Line : @camouflage.talk
https://line.me/R/ti/p/%40camouflage.talk

3) YouTube : สุขกาย สุขใจ SookGuySookJai
https://goo.gl/in9S5v

4) Website: https://camouflagetalk.com

5) Podcast : Camouflage – Dhamma Talk
https://itun.es/th/t6Mzdb.c
วิธีการติดตั้ง https://goo.gl/tBMY9S