49.เพียงแค่ตื่นขึ้นมา

 

ตอนที่ 1 ความเชื่อ

 

เวลานั่งสมาธิ ให้นั่งสบายๆ ไม่ต้องคิดว่าเรากำลังนั่งสมาธิ เรากำลังปฏิบัติธรรม ให้นั่งเป็นธรรมชาติ ผ่อนคลาย

 

การปฏิบัติธรรม คือ การที่เราเข้าถึงธรรมชาติที่แท้จริง

ธรรมชาติแห่งการตื่นรู้ ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะที่ทุกคนมีอยู่แล้ว

เราจะเข้าถึงสภาพแบบนั้นได้ เราต้องรู้จักที่จะพ้นออกจากโลกของความคิดปรุงแต่งทั้งปวงให้ได้ ความปรุงแต่งทั้งปวงจะคอยปิดบังธรรมชาติที่แท้จริงของพวกเราทุกคนเอาไว้

 

เหตุผลต่างๆ ในโลก ความเชื่อต่างๆ ในโลก การหาถูกหาผิด ในตลอดชีวิตที่พวกเราผ่านมา สิ่งเหล่านี้ปิดบังธรรมชาติที่แท้จริงของตัวเราเอาไว้ ปิดบังตั้งแต่เราเกิด หรือแม้กระทั่งเรามาพบเส้นทางแห่งความหลุดพ้นอันนี้ เราก็ยังคงถูกปิดบัง

 

เราถูกปิดบังจากความเชื่อมากมาย ระบบความเชื่อที่เรามีตั้งแต่เด็กจนโต ที่เราถูกหล่อหลอมมาจากครอบครัว คุณครู อาจารย์ เพื่อน สังคม จารีตประเพณี วัฒนธรรม ทุกคนถูกหล่อหลอมขึ้นมาจากระบบความเชื่อเหล่านั้น

 

ความเชื่อ” เหล่านั้นพาเราปสู่การคิดปรุงแต่ง หาถูกหาผิด เต็มไปด้วยเหตุผล เต็มไปด้วยหลักการ เต็มไปด้วยดี เต็มไปด้วยชั่ว สิ่งเหล่านั้นพาให้เราติดอยู่ พาให้เราทุกข์

 

เราทุกข์คนเดียวไม่พอ สิ่งเหล่านั้นบังคับเราให้เราไปทำให้คนอื่นทุกข์ด้วย สิ่งเหล่านั้นก็หลอกเราให้เราไปหาเรื่องคนอื่นด้วย

 

เพราะฉะนั้น ถ้ายังอยู่ในวังวนแบบนี้ เราพ้นไปไหนไม่ได้ เรายังต้องวนอยู่ในวัฏสงสารนี้ เรายังต้อง “ทุกข์”ต่อไปเรื่อยๆ

 

 

ตอนที่ 2 เข้าถึงสภาพตื่นรู้ด้วย “ความรู้สึกตัว”

 

ทุกคนมาถึงวันนี้ มาที่นี่ มาเพื่อที่จะเป็นอิสระ…อิสระจากความเชื่อทั้งปวง เหลือแต่ “ความตื่นรู้” เหลือแต่สภาพธรรมชาติเดิมแท้คือ สภาวะแห่งความ “รู้ ตื่น และเบิกบาน

 

คำว่าเบิกบานไม่ใช่เรายิ้มทั้งวัน “เบิกบาน” คือ ทุกขณะของจิตเราเป็นความสดใหม่ เต็มไปด้วยความสดใหม่ ถ้ามันไม่สดใหม่แปลว่า ในขณะนั้นเรากำลังเปรียบเทียบกับอดีต พะวงไปในอนาคต เราไม่ได้อยู่ในปัจจุบัน

 

คำว่า “อยู่ในปัจจุบัน” เป็นภาษาพูด จริงๆ เราไม่อยู่ที่ไหน

เราเป็นเพียง “กิริยาตื่นรู้” เฉยๆ

 

เราจะเข้าถึงสภาพแห่งความตื่นรู้แบบนี้ เรามีเครื่องมือที่จะใช้ที่จะเข้าถึงสภาพตื่นรู้ได้ นั่นคือ “ความรู้สึกตัว

 

ในขณะที่เรารู้สึกตัว ในขณะเล็กๆ นั้น ความคิดหายไป

จิตใจที่เป็น “ปกติ” อันนี้เปิดเผยตัวออกมา

 

ความปกติ” นี้ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมา เพียงแค่เรา “รู้สึกตัว พ้นออกจากโลกของความคิดปรุงแต่ง” เมฆหมอกทั้งหลายที่ปิดบังดวงจันทร์นี้ มันก็จางคลายลงไป แสงสว่างจากดวงจันทร์เปิดเผยตัวออกมาได้

 

เมื่อจิตใจนี้เป็น “ปกติ” เราได้รู้จักสภาพที่เป็นปกตินี้แล้ว ในขณะนั้นปราศจากอคติ ปราศจากทิฏฐิมานะ ปราศจากการเปรียบเทียบ ปราศจากความกระวนกระวายใจ ปราศจากความดิ้นรนอะไรทั้งสิ้น ปราศจากตัณหาความอยากและไม่อยาก ในภาวะแบบนั้น เราถึงสามารถจะเป็น “ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน” ได้จริง

 

แล้วเราเข้าถึง “สภาพตื่นรู้” แบบนั้น เพื่อที่จะสามารถเห็นทุกสิ่งตามความเป็นจริงได้ เพราะมันเป็นสภาพที่บริสุทธิ์ เป็นการตื่นรู้โดยปราศจากตัวตน

 

จะเห็นว่า เส้นทางของความรู้สึกตัว

การพ้นออกจากโลกของความคิดปรุงแต่ง

ปล่อยให้ความเป็นปกตินี้เปิดเผยตัวออกมาเอง แล้วรู้จักมัน

เครื่องมือเหล่านี้นำพาเราไปสู่ความ “ตื่นรู้” ได้

 

ถ้าจิตใจเราไม่ปกติ เราตื่นรู้ไม่ได้ หรือภาษาที่ผมพูดมาตลอดว่า เรารู้ แต่มันรู้อยู่บนความมืด รู้โดยมี “เรา” นี่แหละไปรู้ และเราจะต่างอะไรกับคนที่ไม่ปฏิบัติธรรม

 

เรานั่งกันอยู่นี่ เราไม่ได้เอาความสงบ ไม่ได้เอาความไม่สงบ เราไม่ได้เอาความปกติ เราเพียง “ตื่นรู้” ในทุกขณะเฉยๆ แต่ในขณะที่เราตื่นรู้ ปกติมั้ย? ปกติ ในขณะที่เราตื่นรู้ ว่างมั้ย? ว่าง

 

กิริยาตื่นรู้เป็นสิ่งที่อธิบายมากกว่านั้นไม่ได้ พระพุทธเจ้าเลยพูดว่า “เราเป็นผู้ตื่นแล้ว” ความเป็นพระอรหันต์ ความพ้นทุกข์ ไม่ได้มีอะไรพิเศษมากกว่าการที่เราได้เป็นผู้ที่ตื่นแล้ว

ถ้าเรายังหลับใหล ต่อให้เรารู้ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ เก่งที่สุดในโลกนี้ ประสบความสำเร็จทุกอย่างในโลกนี้ เราก็ยังเป็นคนมืดบอดเหมือนเดิม…เรายังไม่ตื่น!

 

ตราบใดที่เรายังคิดชีวิตเป็นเรื่องจริงจัง ความสัมพันธ์ต่างๆ ในชีวิตเป็นเรื่องจริงจัง นั่นคือ เรายังไม่ตื่น

 

เราคิดว่า “มีเรา” จริงๆ เราเป็นนั่น เราเป็นนี่ ไปให้พ้นความเชื่อเก่าๆ มิจฉาทิฏฐิของตัวเอง มิจฉาทิฏฐิแบบนี้ พาเราไปสู่ความบริสุทธิ์หลุดพ้นไม่ได้ มันมีแต่จะกักขังเราเอาไว้ และถ้าเมื่อไหร่เราโดนกักขัง…เราต้องทุกข์

 

ตอนที่ 3 เพียงแค่ “ตื่น” ขึ้นมา

 

เราทุกคนมีหน้าที่ตื่น

 

ไม่ใช่ตื่นเฉพาะตอนเราเข้าคอร์ส ไม่ใช่เฉพาะตอนเราฟังธรรม ไม่ใช่ตื่นเฉพาะตอนเราเดินจงกรม แต่จะต้อง “ตื่นทุกขณะ

 

อย่าให้ความคิดหลอกเรา อย่าให้ความเป็นจริงเป็นจังในโลกที่เราเชื่อในอดีตหลอกเรา

มิจฉาทิฏฐิเป็นเรื่องซับซ้อน เป็นเรื่องละเอียดอ่อน…ตั้งแต่มืดที่สุด ดำที่สุด ไปจนขาวที่สุด ขาวแค่ไหนก็ยังหลอกเราได้ เพราะมันคือ “ความมืดสีขาว

 

แต่ความตื่น หรือความเป็นพุทธะ อธิบายอะไรไม่ได้ในความตื่นนั้น…เพียงแค่ตื่นขึ้นมา

 

ในขณะที่เรากำลังนั่งอยู่ตรงนี้กัน ให้สังเกตตัวเอง

ทุกคนเข้าถึงสภาพ “ตื่นรู้” ที่มีอยู่ในตัวเองทุกคน

สภาพแห่งความเงียบเชียบ

ในขณะนี้ไม่มีใครทุกข์ ในขณะนี้มีแต่ “ความรู้สึก

ความรู้สึกมีคนไม่ได้ ถ้าไม่มีคน ไม่ต้องทุกข์

เป็นเพียง “ความรู้สึกล้วนๆ

 

เราต้องฝึกตัวเองให้ตื่น ไม่ให้หลับ

 

เมื่อไหร่ที่อาการเคลิ้มหลับเข้ามาในจิตใจ อยู่ในอารมณ์แบบนั้น เราต้องตื่นขึ้นมา ลืมตาขึ้นมา หายใจเข้าลึกๆ อย่าสะสมอนุสัยสันดานของความหลง ของโมหะ ถ้าเราสะสมแบบนั้น เราต้องเสียเวลาเอาออกอีก

อย่าให้วิสัยแห่งโมหะอยู่ในใจของเรา

 

ถ้าทุกคนสามารถตื่นได้เป็นส่วนใหญ่จนกลายเป็นทุกขณะของชีวิต

ไม่มีใครจะไม่บรรลุธรรม

ธรรมชาติของความตื่นนี้ ไม่มีใครหยุดยั้งเราได้

 

การปฏิบัติธรรมไม่ใช่เรื่องยาก ไม่ใช่เรื่องการที่เราต้องไปทำอะไรยากๆ

สิ่งที่ยากที่สุดคือ “เราตื่นได้มั้ย?

เมื่อเราตื่นได้…มันก็เป็นทั้งหมดของการปฏิบัติธรรม

 

ในขณะที่เรา “เป็นกิริยาตื่นรู้” ขณะนั้นจิตใจเป็นปกติ…ศีลนี้เกิดแล้ว

ในขณะที่เรา “ตื่นรู้อยู่ทุกขณะ” อย่างต่อเนื่อง…สมาธิเกิดแล้ว

ในขณะที่เรา “ตื่นรู้” ขึ้นมา…สติเกิดแล้ว

 

เราเพียงแต่ทำเหตุให้มันถูกเฉยๆ สร้างเหตุที่ถูกต้องให้กับชีวิตเฉยๆ อาการต่างๆ ของสิ่งที่พวกเราทุกคนเคยเรียนมา เช่น สติ สมาธิ ญาน ฌาน ปฏิจจสมุปบาท อริยมรรค โพชฌงค์ อะไรก็ตามที่เรารู้สึกว่ายาก จะเกิดขึ้นได้เมื่อเราตื่นขึ้นมา เข้าใจมันได้เมื่อเราตื่นขึ้นมา…เพียงแค่ตื่นขึ้นมาเฉยๆ

 

ถ้าเราไม่ตื่น เราเห็นโลกตามความเป็นจริงไม่ได้

เราจะเห็นตามความคิดของเรา

 

การนั่งก็ไม่ให้หลับ ถ้าหลับ…ไม่ได้อะไร การปฏิบัติธรรมเราไม่ต้องการที่จะรู้อะไร เราไม่ได้ต้องการที่จะได้ความรู้อะไร เราเพียงแค่ต้องการเข้าถึง “สภาพที่แท้จริงของเรา” ให้ได้

 

ตัวจริงของเราคือ “กิริยาตื่นรู้

 

เมื่อเราเข้าถึงสภาพที่แท้จริงนี้ได้ ความรู้ต่างๆ มันมาเอง มันเข้าใจเอง

อย่ารีบไปมีความรู้ อย่ารีบไปสอนใคร

ตราบใดที่เรายังสอนตัวเองไม่ได้ อย่าเพิ่งไปสอนคนอื่น

ให้ความรู้นี้มันออกมาจากใจ เห็นได้ด้วยใจตัวเอง

 

ในขณะที่เรา “ตื่นรู้” อยู่นี่ เราจะผ่านประสบการณ์ทางจิตใจมากมาย และประสบการณ์ทางจิตใจที่เรากำลังผ่านบนพื้นฐานของความตื่นรู้ นี่แหละ มันจะขัดเกลา มันจะสรุปความ มันจะก่อตัวเป็นองค์ความรู้ในใจเราเอง ความรู้ในหนังสือเป็นความรู้ของคนอื่นไม่ใช่ของเรา

 

 

ตอนที่ 4 อย่ากลัวความทุกข์

 

เมื่อกี้มีเสียงโทรศัพท์นิดหน่อย พวกเราต้องเห็นใจตัวเองผิดปกติมั้ย? ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เสียง ปัญหาอยู่ที่เรา โลกนี้จะเอาอะไรสมบูรณ์แบบไม่ได้ โลกนี้ถูกหมุนวนไปด้วยอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา…มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ตั้งอยู่ไม่ได้ ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ ควบคุมบังคับอะไรไม่ได้ ทุกสิ่งเป็นไปตามเหตุปัจจัย  เพราะฉะนั้น เราจะเอาให้สมบูรณ์แบบ ( Perfect) แบบที่เราต้องการในโลกนี้ไม่ได้ แต่เราทุกคนฝึกจิตใจให้สามารถอยู่กับความไม่สมบูรณ์แบบ แบบนี้โดยไม่ทุกข์ได้

 

ความกระเพื่อมหวั่นไหวในจิตใจไม่ใช่ปัญหา

แต่กลับเป็นกำลังสำคัญที่ทำให้เรารู้ว่า เรายังต้องพากเพียรต่อไป

ความตื่นรู้ยังไม่สมบูรณ์  

 

ความทุกข์ทั้งหลายเป็นกำลังสำคัญที่จะให้เราทุกคนไม่เลิกที่จะอยู่บนเส้นทางเล็กๆ เส้นนี้ ที่มีคนจำนวนน้อยนักที่พร้อมจะเดินทางเส้นนี้

 

อย่ากลัวความทุกข์

 

ถ้าเราไม่มีความทุกข์ เราจะประมาท

ถ้าเรามีแต่ความสุข เราจะประมาท

เราจะเพลินอยู่ในความสุข เราจะเพลินอยู่ในความสบาย

 

 

ตอนที่ 5 รู้จักตัวจริงของเรา “กิริยาตื่นรู้”

 

ชีวิตที่สุดโต่ง 2 ด้าน ไปไหนไม่ได้ พระพุทธเจ้าพูดว่า

กามสุขัลลิกานุโยค”คือ ปล่อยตัวปล่อยใจตามกิเลสตามใจตัวเอง

อัตตกิลมถานุโยค” คือ บังคับกายบังคับใจ เข้าขั้นทรมานตัวเอง

ทั้งสองทางสุดโต่งไปไหนไม่ได้

 

พระพุทธเจ้าสอนทางสายกลาง…สายกลางคือ “รู้อย่างที่มันเป็น”  หลวงพ่อเทียนบอกว่า “รู้ซื่อๆ” หรือ “รู้เฉยๆ” นั่นแหละ รู้โดยที่ไม่ต้องไปวุ่นวายกับอะไร

 

เราต้องรู้จักตัวจริงของเราให้ได้ ตัวจริงของเราคือ “กิริยาตื่นรู้”นอกนั้นไม่ใช่ นอกนั้นเป็นสิ่งที่เพิ่มเติม…เกิน!

 

ถ้าเรารู้จักตัวจริงของเราว่า มันคือ “กิริยาตื่นรู้” เท่านั้น เราจะไม่ทำอะไรเลอะเทอะในชีวิตมากไปกว่านี้ เราจะไม่เลอะเทอะในทางโลก และเราก็ไม่เลอะเทอะในทางธรรมด้วย

 

ทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อจะเข้าถึงความตื่นรู้นี้ เป็นเครื่องมือเฉยๆ รู้จักใช้เครื่องมือ และก็วางมันทิ้งลงไป ที่ผมพูดตลอดว่า ผมให้ราวบันได แต่ทุกคนจับแล้วต้องปล่อย จับเอาไว้ตลอดจะไปไหนไม่ได้ จับแล้วก็ปล่อย

 

เข้าถึงสภาพที่แท้จริงคือ “ความตื่นรู้” ให้เข้าถึงความตื่นรู้ให้ได้

ความตื่นรู้ไม่ใช่เรื่องยาก ตอนนี้ทุกคนเข้าถึงความตื่นรู้ได้

 

ตอนที่ 6 อย่าลืมตัว

 

ภาษาสร้างปัญหามากมายให้กับนักปฏิบัติธรรม คำว่า “รู้สึกตัว” บางคนมีปัญหาตรงไหนคือตัว? คำว่า “ตัว” ต้องเป็นที่ไหนมั้ย?

 

ธรรมชาติของจิตใจเรา “ชอบทำ

บอกให้ “รู้สึกตัว” ก็จะ “ทำความรู้สึกตัว

บอกให้ “พ้นออกจากโลกของความคิด” ก็จะ “หยุดคิด” อีก

 

พระพุทธเจ้ามีวิธีการง่ายๆ โดยพูดในสิ่งที่ตรงกันข้าม  สมมติตอนนี้ผมบอกว่า “อย่าลืมตัว” ความรู้สึกตัวเกิดขึ้นทันที ทุกคนสัมผัสได้ เมื่ออย่าลืมตัว…ความรู้สึกตัวที่เป็นธรรมชาติอันนี้เกิดขึ้นทันที เราไม่ได้ทำมันขึ้นมา

 

เพราะฉะนั้น แค่เราอย่าลืมตัว ใครที่วันๆ หลงไปฟุ้งซ่านบ่อยๆ เตือนตัวเองว่า “อย่าลืมตัว

 

ความรู้สึกตัวที่แท้จริงไม่ใช่รู้สึกตัวอยู่ที่ตรงไหน ไม่ใช่เพ่งจ้องอยู่ที่อะไร

ศัพท์อีกคำนึงที่ผมอยากให้ทุกคนเตือนตัวเองเอาไว้ คือ “ความอยู่กับเนื้อกับตัว

เมื่อไหร่ที่เราอยู่กับเนื้อกับตัว เราจะไม่หลงไปในโลกของความคิดปรุงแต่ง

เมื่อไหร่ที่เราอยู่กับเนื้อกับตัว ในขณะนั้นเรากำลังมีสติแล้ว

เมื่อเราอยู่กับเนื้อกับตัวได้ พ้นไปจากโลกของความคิดปรุงแต่งได้ จิตใจนี้มันก็เป็น “ปกติ” เราก็รู้จักสภาพที่แท้จริงได้ และเราก็เข้าถึงสภาพแห่งความ “ตื่นรู้” ได้

 

จะเห็นว่าทั้งหมดที่พูดมา เป็นเครื่องมือทั้งหมดเพื่อจะนำเราไปสู่ “สภาพแห่งความตื่นรู้” แค่นั้น

เมื่อเราเข้าถึงความตื่นรู้แล้ว เราจะเห็นทุกสิ่งตามเป็นจริงได้

 

 

ตอนที่ 7 กลับสู่ความเป็น “ธรรมดา”

 

ในการปฏิบัติธรรม เราเริ่มจากความผ่อนคลาย สบาย เป็นธรรมชาติ

แต่ไม่ให้เราหลงเพลินไปในความสบาย อย่าลืมตัวจริงของเรา

ตัวจริงของเราเป็นแค่กิริยาตื่นรู้ แค่นั้น

 

รู้จักตัวจริงของเรา เราจะไม่ต้องฟุ้งเฟ้อไปในธรรมะมากมาย

พอรู้จักตัวจริงของเรา เราจะไม่ฟุ้งเฟ้อไปในโลก

เราจะรู้จักความ “พอดี” เราจะรู้จักหน้าที่ที่พอดี ทั้งในทางโลกและในทางธรรม เราจะรู้ว่าเราควรจะทำอะไร ไม่ควรทำอะไร เราต้องทำอะไร เราไม่ต้องทำอะไร

 

สภาพแห่งความตื่นรู้อย่างต่อเนื่อง พ้นออกไปจากโลกของความคิดปรุงแต่ง จะเป็นบ่อเกิดแห่ง “ปัญญาญาน

 

เราจะมีปัญญาญานที่จะนำพาชีวิตเรา

ไม่ใช่ความคิดนำพาชีวิตเรา

จิตใจที่เต็มไปด้วยสภาพตื่นรู้ จะเป็นตัวนำทางเรา

 

ในอดีตที่เราเริ่มปฏิบัติ เราอาจจะเคยคาดหวังว่า เราจะดีอย่างนั้น เราจะวิเศษแบบนั้น เราจะมีอะไรพิเศษเพิ่มขึ้นๆ จากการที่เราได้ปฏิบัติธรรม…จริงๆ สิ่งเหล่านั้น ไม่ใช่สิ่งพิเศษ มันเป็นธรรมชาติที่มันจะต้องมาพร้อมกับความตื่นรู้ มันคือความธรรมดา ไม่ใช่ความพิเศษ

 

แต่เพราะพวกเรามันผิดปกติ  สิ่งที่เรากำลังเป็นอยู่ในโลกนี้ทุกวันนี้ก็คือ ความพิเศษ…พิเศษไปในทางผิดปกติ

 

พระพุทธเจ้าแค่นำเรากลับไปสู่ความเป็นธรรมดา

พาเรากลับไปสู่ชีวิตที่แท้จริง

ของวิเศษที่เราเคยคิดว่ามันวิเศษ มันเป็นธรรมดาของพระพุทธเจ้า

 

ถ้าเราเข้าถึงกิริยาตื่นรู้ เข้าถึงชีวิตที่แท้จริงตามที่พระพุทธเจ้าสอน สิ่งธรรมดาๆ ทั้งหลายจะเกิดขึ้น มันเป็นผล สิ่งที่เราเคยคิดว่าเป็นสิ่งพิเศษ…มันจะเกิดขึ้น

 

ขอเพียงแต่เราเข้าถึงสภาพตื่นรู้นี้ให้ได้ในทุกขณะของชีวิต…แค่นั้น

 

Camouflage

17-Dec-2016

 

YouTube : https://youtu.be/sKRXUhs8jao

คลิปเสียงธรรมะทั้งหมดของอาจารย์ Camouflage : https://goo.gl/RDZFMI

======================

5 ช่องทางการอ่านและฟังธรรม

1) Facebook : สุขกาย สุขใจ SookGuySookJai
http://www.facebook.com/sookguysookjai

2) Line : @camouflage.talk
https://line.me/R/ti/p/%40camouflage.talk

3) YouTube : สุขกาย สุขใจ SookGuySookJai
https://goo.gl/in9S5v

4) Website: https://camouflagetalk.com

5) Podcast : Camouflage – Dhamma Talk
https://itun.es/th/t6Mzdb.c
วิธีการติดตั้ง https://goo.gl/tBMY9S