38.ตื่น

 

ตอนที่ 1 ชีวิตที่สดใหม่

 

เวลานั่งสมาธิ…ให้เรารู้สึก “แค่รู้สึก” รู้สึกถึงความมีอยู่ของร่างกาย

 

 

“ความมีอยู่ของร่างกาย” นี้มันไม่มีอะไรเฉพาะเจาะจง เป็นแค่ความมีอยู่ ไม่ได้อยู่ที่ไหน ไม่ได้เพ่งอะไรไว้

 

 

เรารู้สึกตามที่จิตมันไปรู้สึก…

บางทีมันก็ไปรู้ลม

บางทีมันก็ไปรู้สึกหัวใจเต้น

บางทีมันก็ไปรู้สึกถึงสภาพที่มันรู้หลวมๆ

สภาพของความเป็นร่างกายเฉยๆ

ก็รู้สึกแค่นั้น ไม่มีอะไรมากกว่านั้น

 

ถ้าเรารู้สึกอะไรมากกว่านั้น เรากำลังให้ค่าให้ความหมาย ความปรุงแต่งจะเกิดขึ้น การที่เรารู้สึกอยู่เฉยๆ นี้ไม่มีความคิดอะไร

 

 

เราพูดถึงพุทธะ…“รู้ ตื่น เบิกบาน”

ขณะที่เรารู้สึกตัว เรียกว่าเรากำลัง “รู้” ล่ะ

พอเรารู้สึกตัว ในขณะนั้นไม่มีความคิดอะไร ไม่มีความคิดปรุงแต่งอะไร ในขณะนั้นเรา “ตื่น”

 

 

พอเรา “รู้” แล้วเรา “ตื่น” ขึ้นมาด้วย เราจะพบความสดใหม่ของชีวิต

 

ชีวิตเราสดใหม่เสมอในขณะที่เรารู้ตื่น

 

ชีวิตที่ “รู้ตื่น” อันนี้ไม่มีความคิดปรุงแต่งทำให้จิตใจเราเศร้าหมองเหมือนมีเมฆหมอก พอเรารู้ตื่นอยู่ มันเลยเบิกบาน

 

คำว่า “เบิกบาน” ไม่ใช่ยิ้มทั้งวันเป็นคนบ้า คำว่าเบิกบานคือ มันไม่เศร้าหมอง ชีวิตมันสดใหม่

 

“ชีวิตที่สดใหม่” เป็นคำที่ผมอยากให้ทุกคนระลึกไว้เป็นคำที่น่าสนใจ เมื่อเราตื่นขึ้นมา ความสดใหม่จะเกิดขึ้นทันที

 

ที่ให้นั่งหลับตาอย่างนี้ ลองหลับตาดูแล้วเราก็สังเกตว่า ในช่วงแรกที่เราหลับตาความรู้ตื่นชัดเจน แต่เดี๋ยวเราหลับไปสักพัก…เริ่มเคลิ้มแหละ อารมณ์เคลิ้มแบบนั้นเราจำเป็นจะต้องเห็นมันให้ได้ เราต้องเห็นมันให้เร็ว

กว่ามันจะเคลิ้มไปเนี่ย…จริงๆ แล้วมันเกิดจากความตื่นที่มัน drop ลง แรกๆ เราตื่นอยู่ 100% เรานั่งไปนั่งมา จิตใจปกติดี เราเริ่มเพลินเข้าไปในความเป็นปกตินั้น เรากลายเป็นเข้าไปอยู่ในสภาพๆ นึง ซึ่งนั่นเป็น “ความเพลิน”

 

เราพอใจกับสภาพที่เรากำลังเป็นอยู่ เราต้องรู้ทันความพอใจสภาพนั้นๆ ที่เรากำลังมีความสุขอยู่

 

เราต้องสังเกตจิตใจของเราที่มันเริ่ม drop ลง ความตื่น 100%ของเรามันเริ่ม drop ลง เราต้องเห็นทัน

 

ถ้าเราเห็นทันนี้เราจะไม่หลับ เราจะไม่เคลิ้ม เราจะไม่ง่วง

 

เพราะความตื่นนี้เป็นความสดใหม่

 

“ความสดใหม่” นี่…มันไม่มีอะไรตก กำลังไม่ตก ความตื่นไม่ตก เพราะฉะนั้นความง่วงเหงาหาวนอน นิวรณ์ต่างๆ มันมีไม่ได้

 

ตอนที่ 2 “ตื่น” กับ “ไม่ตื่น”

 

พุทธะนี่คือ “รู้ ตื่น เบิกบาน”

 

พวกเรารู้สึกตัวนี่…เรา “รู้” พวกเราไม่หลงเข้าไปในความคิดนี่ เราเหมือนจะ “ตื่น” เหมือนกัน แล้วพอจิตใจเราปกติ จิตใจมันก็ไม่เศร้าหมองก็เรียกว่า “เบิกบาน” ก็ได้

 

 

แต่ “อาการตื่น” มันต้องไม่ใช่ความเพลินด้วย

 

 

เราปฏิบัติธรรมกันเพื่อวันนึงเราจะเข้าถึงความเป็นพุทธะ “รู้ ตื่น เบิกบาน”

รู้ ตื่น เบิกบาน นี้เป็นกิริยา เราเป็นพุทธะคือหมายถึงว่า เราเหลือแต่ “กิริยา” รู้ ตื่น เบิกบาน

 

คำว่า “ตื่น” ถ้าเราจะลองให้ความหมายคำว่า “ตื่น” มันไม่มีอะไรเลย คำว่า “ตื่น” ก็คือ ตื่น…แค่นั้น เราเป็นตัวนี้ เราปฏิบัติธรรมทั้งหมดทั้งสิ้นเพื่อจะเข้าถึงสภาพตื่นรู้ เพราะฉะนั้นคำว่า “ตื่น” อันนี้เป็นหัวใจสำคัญ

 

พวกเราปฏิบัติธรรมกันมา รู้สึกตัวเป็น รู้จักสภาพจิตใจที่เป็นปกติเป็น จิตใจเริ่มฟุ้งซ่านน้อยลง ทีนี้เราจะเริ่มเข้าใจว่า ความ “ตื่น” กับ “ไม่ตื่น” นี้จะเป็นยังไง

 

ความเพลินอันนี้เป็นสิ่งละเอียดที่ถ้าเรายังไม่ปกตินี้เราจะไม่รู้จักมัน ความสุขเป็นของติดง่ายๆ เพราะฉะนั้นหลังจากพวกเราปฏิบัติกันมานาน เริ่มจิตใจเป็นปกติขึ้น เราต้องเริ่มมารู้จัก “ความเพลิน”

 

การปฏิบัติธรรมเราไม่เอาอะไรทั้งนั้น สภาพดีเราก็ไม่เอา สภาพไม่ดีเราก็ไม่เอา สภาพไหนก็ได้ เราเป็นตัวนี้ตัวที่เรา “ตื่นรู้” สภาพต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในจิตในใจของเรา เราถึงจะเข้าถึงสภาพของการที่เรารู้เฉยๆ ได้ เราต้องเรียนรู้จากสิ่งที่ผิด พวกเราทุกคนต้องผิดก่อน ถ้าเราไม่ผิดเราจะไม่รู้ว่าถูกคืออะไร

 

ถ้าใครนั่งแล้วหลับ…ให้ลืมตาขึ้น

“ความเคลิ้ม” อันนี้เป็นนิวรณ์ตัวสำคัญ มันทำให้เราหลับไหลอยู่ในโลก

 

ความเพลินเป็นอารมณ์ละเอียดอ่อนที่เราหลงไปง่ายๆ เพราะมันเป็นความสุข เพราะฉะนั้นเราต้องตื่นให้ได้ ถ้าเราตื่นขึ้นมา เราก็จะอยู่เหนือโลกได้

 

 

ตอนที่ 3 “สดใหม่” ในทุกขณะของชีวิต

 

พระพุทธเจ้าพูดเรื่องเดียว คือ

“เราเป็นผู้ตื่นแล้ว”  เพราะฉะนั้นคำว่า “ตื่น” นี้สำคัญ กิริยาตื่นอันนี้สำคัญกับทุกคนในตอนนี้

 

ความตื่นรู้นี้ไม่ใช่เราตื่นรู้แค่ตอนที่เราปฏิบัติธรรม เดินจงกรม นั่งสมาธิ หรือว่าเรานั่งขยับมือ 14 จังหวะ

 

ความตื่นนี้ต้องตื่นในชีวิตประจำวันด้วย

 

สังเกตง่ายๆ ว่า เมื่อไหร่ที่เราไม่ตื่นเนี่ย ชีวิตของเรานี้เป็น…ไม่สดใหม่

 

 

ทำไมมันไม่สดใหม่?

เพราะมันอยู่ในความคิด ให้ค่า ตัดสิน เปรียบเทียบทุกอย่าง ชีวิตเรากำลังอยู่ในวังวนของการหลับไหล

 

 

แต่ถ้าเมื่อไหร่เราตื่นขึ้นมา โลกนี้มันก็ว่าง ว่างทั้งข้างใน ว่างทั้งข้างนอก มันเลยเป็นความสดใหม่

 

 

ทำไมมันสดใหม่?

เพราะมันไม่มีประสบการณ์ในอดีต หรือการโปรเจค (Project) อนาคตเข้ามาเกี่ยวข้อง

 

 

แม้ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งเดิม เราจะอยู่ที่เดิม เราจะเห็นหน้าคนเดิมๆ สิ่งแวดล้อมเหมือนเดิม แต่ในใจเรานี่มัน “รู้ ตื่น เบิกบาน…สดใหม่” มันเลยไม่เบื่อ

 

พวกเราอยู่ในโลก เราก็เบื่อ ไปทำโน่นก็เบื่อ ทำนี่ก็เบื่อ “เบื่อว่ะ…อยากไปทำนี่แทนไปทำนั่นแทน” มีแต่เบื่ออย่างเดียว แล้วเราก็บอกว่าเราไม่ทุกข์ เรามีความสุขดี

 

เพราะเราได้ไปหาความสุข เราหนีความทุกข์ทั้งชีวิต แต่เราบอกว่าเราหาความสุข…เพราะอะไร? เพราะเราไม่ตื่น เราลืมตาแต่เราหลับทั้งชีวิต แสวงหาสิ่งที่ไม่มีวันจบสิ้น

 

แต่ถ้าเรามาปฏิบัติธรรม มารู้จักสภาพตื่นรู้ เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานอย่างแท้จริง…งานเราก็จบ เราไม่ต้องทุกข์อีกแล้ว

 

ทุกวันนี้เราทำโน่นทำนี่เพื่อจะให้ชีวิตเรามีความสุขมากขึ้น สบายมากขึ้น ดีมากขึ้น สมบูรณ์มากขึ้น เพื่ออย่างเดียวนี้…เราอยากได้ความสุข

 

แต่ถ้าเราเข้าถึงสภาพตื่นได้  “สภาพตื่น” นี้ไม่มีความหวัง ไม่มีความอยาก เข้าใจสภาพต่างๆ ในโลกว่ามันเป็นอย่างงั้นเองแหละ แล้วชีวิตมันก็สดใหม่ทุกขณะ สดใหม่ทุกวัน มันก็จบ มันก็สบาย…ไม่มีอะไร

 

เพราะฉะนั้น ตอนนี้ทุกคนก็ปฏิบัติธรรมมานานพอสมควรที่จะต้องเข้าใจเรื่องที่ผมพูดเมื่อกี้นี้ เรื่อง “สภาพการตื่น” เป็นกิริยาสำคัญที่เราต้องรู้สึก “สดใหม่” ในทุกขณะๆ ของชีวิต

 

เราสังเกตง่ายๆ ว่า ถ้าเมื่อไหร่ที่เราอยู่ในชีวิตประจำวันแล้วเกิดความขุ่นข้องหมองใจ ความกังวล ความไม่เบิกบาน ให้เรารู้ว่าตอนนั้นเราไม่ตื่นแล้ว…

 

แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นะเพราะว่าเป็นวิบากไปแล้วเราต้องรับ แปลว่าเราหลงไปแล้วมันเลยเกินผลแบบนั้นขึ้น ผลแห่งความเศร้าหมอง ความอะไรก็ตามที่มันมืดๆ มัวๆ เมฆหมอก ก็ให้เรารู้ทันว่าตอนนี้เราไม่ตื่นแล้ว แล้วก็พยายามปลุก…ปลุกความตื่นขึ้นมา

จะปลุกความตื่นยังไง?

ก็คือว่า “ความรู้สึกตัว” นี่แหละจะทำให้เราตื่นขึ้นมา

 

 

ตอนที่ 4 รู้สึกตัว รู้จักใจ

 

ความรู้สึกตัวที่พูดเนี่ย…มันต้องพ้นออกจากโลกของความคิดปรุงแต่งด้วย

 

ไม่ใช่บางคนบอกว่ารู้สึกตัวแล้วคิดไปด้วย รู้สึกตัวอยู่ แต่ก็คิดโน่นคิดนี่คิดนั่น…อันนี้ไม่ใช่รู้สึกตัว

 

เพราะฉะนั้นหัวใจสำคัญที่สุด ก็คือ “การพ้นออกจากโลกของความคิดปรุงแต่งให้ได้”

แต่จะพ้นยังไง?

 

มันมีวิธีคือต้อง “รู้สึกตัว”

พอรู้สึกตัวปุ๊บ…มันจะพ้นจากโลกของความคิดปรุงแต่งได้ แต่เราเพิ่มที่จะต้องหันกลับมาดูใจของตัวเองด้วย

 

ชีวิตของเรามีกายกับใจ เราจะมัวแต่รู้สึกตัวอย่างเดียวไม่ได้ อันนี้จะเป็นรู้สึกตัวแบบซื่อบื้อแทน

 

 

เราต้องมา “รู้จักใจ” รู้จักสภาพเดิมแท้

“ความเป็นปกติ” อันนี้เป็นตัวแสดง…ตัวแสดงสภาพเดิมแท้เฉยๆ…เป็นอาการแสดง…

 

 

เราพาจิตใจให้รู้จักความเป็นปกติ หันมาดูมันบ่อยๆ หันมารู้จักมัน ดูใจมัน อืม..ปกติอยู่…ปกติอยู่ อื้มม!..ปกติอยู่

 

จิตใจที่รู้จักความเป็นปกติบ่อยเข้าๆๆ เวลามันไม่ปกตินิดนึง…นี่! มันเห็นเลย แต่ถ้าเราไม่ฝึกจิตใจให้มัน…เหมือนเราฝึกเด็กถ้าเราไม่ฝึกให้มันรู้จักว่าสิ่งนี้มันดีกว่านะ มันก็จะไปเกี่ยวข้องเข้าไปยุ่งกับสิ่งที่เป็นความหลงแทนที่ฝึกมาตลอดชีวิต จริงๆ ไม่ได้ฝึกหรอก…ก็หลงมาตลอดชีวิต

 

 

ทำไมเราต้อง “รู้จักใจ” ด้วย?…

เพราะเราจำเป็นต้องพาจิตใจให้รู้จักสิ่งที่ดีกว่า

แล้วมันจะไม่เอาสิ่งเดิมๆ (คือความหลง) เอง

 

 

แต่ถ้าเราไม่พาจิตใจรู้จักสภาวะที่ดีกว่าเลย พูดง่ายๆ มันก็ด้วนๆ มันไม่เต็มร้อย แทนที่การปฏิบัติธรรมนี้มันจะเต็มร้อย มันก็ด้วนๆ

 

หลวงปูมั่นเคยพูดใช่มั้ย?…

“ถึงใจนี่..ถึงพระนิพพาน”

 

เรามีนิพพานชั่วคราวกันอยู่ทุกคนอยู่แหละ “ความเป็นปกติ” นี่แหละ ความตื่นรู้ พ้นออกจากโลกของความคิดปรุงแต่ง จิตใจเป็นปกติอยู่นี่แหละ อันนี้เป็นนิพพานชั่วคราวอยู่แล้ว

 

รู้จักมันบ่อยๆ รู้จักมัน ไม่ใช่หลงเข้าไปในมัน

 

 

ตอนที่ 5 สภาพตื่นรู้

 

“สภาพตื่น” เป็นกิริยาตื่น

 

คำว่า “ตื่น” อันนี้ไม่มีอะไรอธิบายมันได้ ตื่นเฉยๆ ตื่นรู้ มันจะว่างไม่ว่างเราก็ตื่นรู้อยู่ มันจะปกติไม่ปกติเราก็ตื่นรู้อยู่ เราเป็นตัวนี้ พูดเป็นตัวเดี๋ยวเป็นตัวอีก…ไม่ใช่

 

 

เราเป็นกิริยานี้ “กิริยาตื่นรู้” เฉยๆ

แต่ถามว่ากิริยาตื่นรู้นี้มันว่างมั้ย?…มันว่างแต่มันไม่ได้เป็นอะไร

 

 

เพราะฉะนั้น การพูดนี้มันยาก “รู้ ตื่น เบิกบาน” นี้เป็นคำที่พระพุทธเจ้าพูดคือ จริงๆ ก็ครอบคลุมเป็นมุมต่างๆ ที่พยายามอธิบายถึงตัวจริงของเราคือ กิริยานี้แค่นั้น…รู้ ตื่น เบิกบาน

 

เพราะฉะนั้น ไม่ว่าสภาพอะไรก็ตามที่พูดตั้งแต่แรก…ดี ไม่ดี…เดี๋ยวนี้ก็มีเรื่องว่างอีกใช่มั้ย? ว่าง ไม่ว่าง…มีตัวตน ไม่มีตัวตน…คำศํพท์ต่างต่างนานานี้อย่าไปสับสนกับมัน ขอให้เรามีสภาพของความตื่นรู้นี้เอาไว้

 

 

สภาพตื่นรู้เนี่ย…

มันไม่เป็นปฏิปักษ์กับทุกของคู่ใดๆ

มันตื่นรู้อยู่ อะไรก็ได้ มันอะไรก็ได้ มันก็ไม่ทุกข์

 

 

แต่เมื่อเราถึงสภาพตื่นรู้โดยสมบูรณ์ จิตใจนี้มันเป็นยังไง? มันปกติอยู่ เพราะฉะนั้นมันถึงพูดได้หลายมุม…ปกติก็ได้ ว่างก็ได้

 

คือ สภาพของบุคคลที่ตื่นแล้วนี้ปกติมั้ย?…ปกติ ในสภาพคนที่ตื่นแล้วนี้จิตใจว่าง…ว่าง

 

สภาพของคนที่ตื่นแล้วนี้ ไม่ได้สนใจทั้งปกติทั้งว่าง มันเป็นแค่ตัวตื่นเฉยๆ เป็น “กิริยาตื่น” เฉยๆ…เข้าใจยาก

เราฟังธรรมกันเยอะๆ บางทีหลายครูบาอาจารย์ก็จะงง เพราะฉะนั้นพวกเราจำสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือว่า เราต้อง “ตื่น”

 

 

ขณะที่เราตื่น ความรู้สึกของการตื่น…

สดใหม่ ไม่มีความคิด

มันก็เบิกบานไปในตัว ไม่เศร้าหมอง

ไม่มีการเปรียบเทียบอดีต อนาคต ปัจจุบัน ปัจจุบันมันก็ไม่มีเหมือนกัน

มันเป็นแค่การไหลเลื่อนของสภาพเฉยๆ  

 

 

แต่ภาษาเราจำเป็นต้องพูดว่าให้รู้ปัจจุบัน เพราะคนฟังมันต้องเอาไปคิดว่ามันแปลว่าอะไร อ๋อ…รู้ปัจจุบัน แปลว่า ไม่อยู่อดีต ไม่อยู่อนาคต เลยต้องพูดคำว่าให้รู้ปัจจุบัน

 

มันมีความตื่นอีกอย่างนึง เขาเรียกว่า “ตื่นด้วยกิเลส” เหมือนเรามีแฟน เราก็คุยโทรศัพท์กับแฟนได้ทั้งคืนถึงเช้าเลย ตื่นเหมือนกันไม่ง่วง อันนี้เขาเรียกว่า ตื่นด้วยราคะ โจรจะไปขโมยเงินต้องไปกลางคืนใช่มั้ย? ขโมยบ้านคนอื่น อันนี้ตื่นด้วยโลภะ คนเราทะเลาะกันหน้าดำหน้าแดงไม่หลับเลยใช่มั้ย? อันนี้ตื่นเพราะโทสะ

 

คือแบบนี้เรียกว่า ตื่นเพราะกิเลส แต่จริงๆ มันไม่ได้ตื่นหรอก มันเป็นคำพูดเฉยๆ…จริงๆ มันจมอยู่ในกิเลสนั่นแหละ

 

แต่มันทำให้เรารู้สึกมัน Awake ดี แต่มันไม่ใช่สภาพตื่น มันเป็นสภาพของการที่เราอยู่ในกิเลสที่มันร้อนแรง พออะไรที่มันร้อนแรง มันเป็นทุกข์ พอมันเป็นทุกข์ มันหลับไม่ได้ มันร้อนรน มันเหมือนมีไฟเผาตลอดเวลา หลับไม่ลง มันเหมือนจะตื่น แต่จริงๆ แล้วคือ การที่กิเลสมันเผารนตลอดเวลา

 

 

แต่ความตื่นที่เราพูดถึงนี้ เป็นตื่นจริงๆ

“การตื่น” นี้คือไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง (Involve) กับอะไรเลย เราเห็นอยู่แต่ไม่เป็นกับมัน

ที่หลวงพ่อคำเขียนพูดเรื่องนี้ “ไม่เป็นอะไรกับอะไร” อันนี้คือ สภาพตื่นอยู่

 

หลวงพ่อคำเขียนท่านก็น่ารักนะใช้คำดีมากเลย “ไม่เป็นอะไรกับอะไร” คำเดียวนี่ครบเลย เป็นสภาพรู้ ตื่น เบิกบาน หรือไม่เป็นอะไรกับอะไร มันเป็นสภาพตื่นอยู่ล่ะ มันไม่เข้าไปเป็นด้วย

 

เพราะฉะนั้น “สภาพตื่น” คือ สภาพที่ไม่เป็นอะไรกับอะไร

 

ถ้าเราโกรธแต่เราตื่นอยู่ เรามีราคะแต่เราตื่นอยู่…นี่เราเข้าไปเป็นสิ่งนั้นใช่มั้ย?…นี่ไม่ได้เรียกว่าตื่น  ดูเหมือนมันตื่นเหมือนกัน แต่จริงๆ เราหลับ…เราหลับอยู่

 

Camouflage

19-Oct-2016

 

YouTube : https://youtu.be/baigwbTsuOU

คลิปเสียงธรรมะทั้งหมดของคุณ Camouflage : https://goo.gl/RDZFMI

======================

5 ช่องทางการอ่านและฟังธรรม

1) Facebook : สุขกาย สุขใจ SookGuySookJai
http://www.facebook.com/sookguysookjai

2) Line : @camouflage.talk
https://line.me/R/ti/p/%40camouflage.talk

3) YouTube : สุขกาย สุขใจ SookGuySookJai
https://goo.gl/in9S5v

4) Website: https://camouflagetalk.com

5) Podcast : Camouflage – Dhamma Talk
-iOS https://itun.es/th/t6Mzdb.c

-Android https://goo.gl/PgOZCy