36.สัมมาทิฏฐิโลกุตตระ

ตอนที่ 1 ทุกคนมีกรรมเป็นของส่วนตัว

 

สังเกตว่าพวกเราแต่ละคน กว่าจะมาเจอทางปฏิบัติธรรมได้ไม่เหมือนกัน บางคนหลงทางเยอะใช่มั้ย?…ต้องไปเล่นของก่อนอะไรอย่างนี้

 

ทำไมคนเรามันต่างกัน?

เพราะ “กรรม” เราอาจจะเคยพาคนหลงทางมา เราเลยต้องหลงบ้าง

คนที่มาถึงถูกเป๊ะ…เจอทางเลย  เพราะไม่มีกรรมแบบนั้น ไม่ใช่ว่าเราเก่งกว่าเค้า…ไม่ใช่ อันนี้เป็นกรรมทั้งนั้น พูดภาษาชาวบ้านว่าเราโชคดี แต่จริงๆ ก็คือ เรามีบุญนั่นแหละที่เราไม่มีกรรมแบบนั้น

 

เพราะฉะนั้น ทุกคนก็มีกรรมเป็นของส่วนตัว

 

 

 

สังสารวัฏนี้มันซับซ้อนนะ พวกเรามีคำถามเกี่ยวกับเรื่องเร้นลับ ลี้ลับ โดยเฉพาะเรื่อง “กรรม” พระพุทธเจ้าก็บอกแล้วว่า เป็นสิ่งที่เป็นอจินไตย ถ้าเราอยากจะรู้ทุกเรื่อง…เราจะเป็นบ้าแทน

 

 

พระพุทธเจ้าได้สอนสิ่งที่สำคัญกว่าก็คือว่า

ให้พ้นไปจากสังสารวัฏนี้…พ้นการเกิดไปให้ได้

เมื่อเราพ้นการเกิดไป…มันก็ไม่มีกรรมแล้ว

 

 

หรือแม้กระทั่งว่า ถ้าเราปฏิบัติธรรมจนวันนึงเราเป็นพระอรหันต์ เราก็อิสระจากตัวตน เราไม่มีความเห็นผิด เราไม่มีมิจฉาทิฏฐิแล้ว พอเราไม่มีแบบนั้นปุ๊บ..กรรมอะไรที่มันเข้ามา เราก็ต้องรับ แต่มันไม่มีทุกข์

 

เราก็ต้องเป็นไปแบบนั้น เพราะว่าเราไม่สามารถจะล้างกรรมได้

 

ล้างกรรม แก้กรรม” อันนี้ไม่มีในศาสนาพุทธ และก็ไม่มีจริงด้วย มันอาจจะเป็นแค่การขยายเวลาออก หรือว่าการอะไรก็ได้ แต่มันไม่มีทางหายไป

แต่ทางเดียวก็คือ

เราต้องพ้นไปจากตัวตน

พ้นจากการยึดมั่นถือมั่นในร่างกายจิตใจเรานี้

แล้วกรรมอะไรมา เราก็เข้าใจได้ว่าต้องรับ

 

 

ทุกข์มั้ย?

ก็ทุกข์เพราะร่างกายนี้มันเป็นทุกข์

แต่เราไม่ทุกข์เฉยๆ เราก็แค่อยู่กับมัน

ต้องอยู่กับมัน…ก็ต้องอยู่กับมัน

 

 

๑๑๑

 

 

ตอนที่ 2 ปฏิบัติธรรมเหมือนเราหายใจ

 

คนเราถ้ามันไม่ทุกข์ มันก็ประมาท มันก็ใช้ชีวิตเพลินๆ ไปวันๆ แล้วก็ตาย โอกาสน้อยมากที่เราจะได้เกิดเป็นมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง

 

การที่เราหลงเพลินไปวันๆ และปฏิบัติธรรมเป็นแค่เหมือนการอาบน้ำกับแปรงฟัน ในวันที่เราตาย…จะเป็นวันที่เราจะต้องเสียใจที่สุด

 

เพราะเราทิ้งเวลาที่อย่างน้อยสมมติว่าเราจะปิดอบายภูมินี้ได้เป็นพระโสดาบันขึ้นมา…แต่เราไม่ทำ

 

แล้วพอเราตาย เราคิดว่าเราจะไปสูงกว่ามนุษย์ ซึ่งอันนี้เป็นเหมือนจับฉลาก อาจจะได้ก็ได้ แต่อยากให้ทุกคนคิดไว้ก่อนว่าไม่ได้ อาจจะต่ำกว่ามนุษย์ อันนี้มีความน่าจะเป็นที่จะเกิดขึ้นมาก ไม่งั้นสัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย ที่เราเห็นอยู่และไม่เห็นจะมีเยอะขนาดนี้ได้ยังไง

 

เพราะฉะนั้น การปฏิบัติธรรมไม่ใช่เรื่องที่เราคิดว่าเป็นเรื่องเล่นๆ เป็นงานอดิเรก ทำนิดหน่อยใช้ได้แล้ว…ทำแล้ว เอาเวลาที่เหลือไปเที่ยว ไปเล่น ไปฟุ้งซ่าน ทำเรื่องบ้าๆ บอๆ วิจารณ์คนนั้น ติคนนี้ หลงโลก ชีวิตแบบนี้มีแต่ความตกต่ำ ไม่มีความเจริญ

 

 

เราต้องปฏิบัติธรรมเหมือนเราหายใจ

เราหายใจตลอดเวลา…เราปฏิบัติธรรมตลอดเวลา

จิตเรามีสันดานส่งออก

สันดานหลงโลก

สันดานของความปรุงแต่งสารพัด

ตัดสินโน่น นี่ นั่น

วิจารณ์โน่น นี่ นั่นตลอดเวลา

 

 

ถ้าเราเชื่อเรื่องชาติที่แล้ว…มีชาติที่แล้วมานับไม่ถ้วน เราต้องรู้ว่า เราหลงโลกมานานขนาดไหน เราหลับมานานขนาดไหนแล้ว

 

 

แล้วเราจะบอกตัวเองว่า

วันนี้เราจะปฏิบัติธรรม 1 ชั่วโมง

แล้วเอาเท่านี้แหละ

เดี๋ยวเราจะเป็นพระโสดาบัน

อันนี้เป็นบ้าที่คิดแบบนั้น!!

 

 

 

 

เรากำลังสร้างเส้นทางใหม่ เป็นเส้นทางของอริยมรรคที่พระพุทธเจ้าสอนเราไว้ การสร้างเส้นทาง…เหมือนเราสร้างถนน คนงานสร้างถนน ถ้าเค้าสร้างวันละ 1 ชั่วโมง ประเทศไทยเราจะมีถนนมั้ย? เค้าต้องสร้างทั้งวัน บางทีรีบต้องมีกะ กลางคืนด้วยเพราะต้องรีบสร้าง

 

 

เส้นทางของอริยมรรคก็เหมือนกัน

เราต้องใช้ทุกนาทีให้มีคุณค่า

 

 

๑๑๑

 

 

ตอนที่ 3 ไม่ใช่การทำ

 

พูดถึงเรื่อง “อริยมรรค” ก็จะต้องพูดอีกซักหน่อย เคยพูดแล้วแต่ฟังบ่อยๆ ก็ดี

 

อริยมรรค” นี่เป็นทางเดินไปสู่ความเป็นอริยะ เราเรียนมาอริยมรรคมี 1 ถึง 8  แล้วเราก็ไปเข้าใจว่า เราต้องไปทำมรรคทีละข้อ

ทำมรรคทีละข้อเนี่ย…ไม่ใช่อริยมรรค…อันนี้เป็นมรรคมาก ทำหลายข้อ!!

 

 

การเดินทางในเส้นทางของอริยมรรค

“ไม่ใช่การทำ”

ไม่มีการทำอะไรทั้งนั้น

 

 

เราไปแปลตามหนังสือกันเยอะเกินไป เพียรเจริญกุศล ละอกุศล รักษากุศลนี้ให้มันอยู่…ก็แปลอย่างนี้ ประมาณนี้ใช่มั้ย?

 

เราไปอ่านอย่างนั้น ไปฟังมาอย่างนั้น พวกเราลองมาคิดกันดูก็ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น?…เราจะทำทันทีเลย

 

 

อกุศลเกิด เรา” ก็จะละมัน

กุศลเกิด เรา” ก็จะประคองมันไว้ รักษามันไว้

 

 

เพราะฉะนั้น คนไม่เข้าใจเรื่องอริยมรรค แล้วก็สอนคนอื่นให้ “ทำ” มันก็ไม่ต่างจากให้เค้าจะคิดตลอดเวลา

ทำไมมันถึงคิด?

เพราะเราต้อง “คิดว่า” นี่! เป็นอกุศล

เราถึงจะ “ละ

 

เราต้อง “คิดว่า” นี่! เป็นกุศล

เราต้องตัดสินให้ค่ามัน เราถึงจะ “รักษา” มันเอาไว้

 

๑๑๑

 

 

ตอนที่ 4 สักแต่ว่าเห็นเฉยๆ

 

ถ้าเราเข้าใจสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนว่า

 

 

เราเห็น เราสักแต่ว่าเห็นเฉยๆ

เรารู้อะไร เราก็รู้เฉยๆ

 

 

คำว่า “เฉยๆ” นี่ ไม่มีการตัดสินให้ค่าอะไรทั้งนั้น…อะไรก็ได้

 

 

ที่ผมบอกว่า “ดี ไม่ดี มันมีในโลก แต่มันไม่มีอยู่จริง

มันมีอยู่จริงเพราะเราตัดสินให้ค่ามัน

 

เพราะฉะนั้น “ปรมัตถ์” ก็คือ การที่เรารู้ในลักษณะมันเป็นอาการเฉยๆ  มันเป็นอาการเกิดขึ้น

 

เช่น จิตใจนี้กระเพื่อมหวั่นไหว ถ้าเราปกติอยู่บ่อยๆ เราปกติอย่างต่อเนื่อง เราเห็นมันกระเพื่อมหวั่นไหว เราต้องบอกมันมั้ยว่ามันดีหรือไม่ดี?…เราไม่ต้องบอก

 

เราเห็นเป็นอาการ  อ๋อ!…มันกระเพื่อม มันขยับแล้ว มันวิ่งพรวดไปแล้ว อะไรก็ตามที่เราอยากจะอธิบายอาการมันว่าเป็นยังไง

 

๑๑๑

 

 

ตอนที่ 5 มีแค่ขณะเดียว “เห็นความเป็นปกติ”

 

อริยมรรคมีองค์ 8” มันมีองค์ 8 ก็จริง

แต่การเดินทางในอริยมรรค

“มีแค่ขณะเดียว”

หมายความว่า สัมมาทิฏฐิข้อแรกของอริยมรรคมีองค์ 8 มันเป็น “สัมมาทิฏฐิแบบโลกุตตระ” ไม่ใช่ “สัมมาทิฏฐิแบบโลกียะ

 

สัมมาทิฏฐิแบบโลกียะนี่…กรรมมีจริง บุญบาปมีจริง พ่อแม่มีจริง บูชายัญมีจริง  เป็นสัมมาทิฏฐิแบบโลกียะ…อยู่ในโลก ใช้ในโลก

 

แต่สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนนี้เป็นสัมมาทิฏฐิแบบโลกุตตระซี่งอยู่ในอริยมรรคมีองค์ 8

 

 

สัมมาทิฏฐิแบบโลกุตตระ” ก็คือ

การที่เราได้เข้าไปเห็นธรรมชาติเดิมแท้ ที่พวกเราทุกคนมีอยู่แล้ว

 

 

สภาพเดิมแท้นั้น…เป็นอกาลิโก ไม่ขึ้นกับกาลเวลา ไม่ขึ้นกับสถานที่ ไม่ขึ้นกับเงื่อนไขอะไรทั้งนั้น มันมีของมันอยู่อย่างนั้น และเป็นสิ่งที่ไม่มีใครจะสามารถบอกให้ใครฟังได้ จนกว่าคนๆ นั้นจะเข้าไปรู้จักสภาพนี้ด้วยตัวเอง

 

ซึ่งในสมัยนี้ เราก็เรียกกันว่า การที่เรา “รู้จักจิตประภัสสร”  จิตเดิมแท้มันประภัสสรอยู่แล้ว ให้รู้จักมันเอาไว้

 

บางคนบอกว่า มันประภัสสรแต่ไม่บริสุทธิ์…ก็มี  มันประภัสสร มันสว่างไสว แต่มันยังไม่บริสุทธิ์…ก็ถูกต้อง

 

 

มันยังไม่บริสุทธิ์

แต่เรารู้จักมันบ่อยๆนี่แหละ มันจะบริสุทธิ์

มันจะขัดเกลาตัวมันเอง

มันจะค่อยๆ ขัดเกลาอาสวะทั้งหลาย

ที่มันคอยปกปิดมันอยู่  

ที่มันนอนเนื่องอยู่ในนี้

ถ้าเรารู้จักมันบ่อยๆ เห็นบ่อยๆ

 

 

ก็คือ “เห็นความเป็นปกตินี่แหละ” ความเป็นปกติเป็นตัวแสดงถึงสภาพที่เราได้เข้าถึงจิตประภัสสรแล้ว ก็คือ ไม่มีความกระเพื่อมหวั่นไหวอะไร

 

เมื่อเราได้เข้าถึงสภาพความเป็นปกติปุ๊บ!….บ่อยๆ บ่อยๆ ความปรุงแต่งต่างๆ ก็ลดลง

มันลดลงก็คือ ทางสายใหม่นี้กำลังเกิดขึ้น ก็คือทางของอริยมรรคนี้มันเกิดขึ้นแล้ว

 

จิตใจนี้รู้จักทางสายใหม่ ทางของอริยมรรค มันจะไม่ไปทางสายเก่า มันก็คล้ายๆ มันจะสร้างถนนสายใหม่ของมันไปเรื่อยๆ ไปเรื่อยๆ…มันจะคุ้นชินกับทางนี้แทน

 

เหมือนเปรียบเทียบว่า นี่!..เป็นถนน ถนนสร้างจากหิน ถ้าเราเจริญทางสัมมาทิฏฐิทางนี้ เราจะสร้างถนนเส้นนี้ เราก็เอาหินจากถนนเส้นเก่ามาวางไว้ที่ถนนเส้นใหม่แทน

 

สุดท้ายถนนเส้นเก่านี้มันก็ไม่เหลือใช่มั้ย?…มันไม่เป็นถนนแล้ว  พอไม่เป็นถนนแล้ว จิตใจมันไม่ไปแล้ว เพราะมันไม่ใช่ถนนอีกแล้ว…เปรียบเทียบมันเป็นแบบนี้

 

 

เพราะฉะนั้น ในขณะที่เราเจริญจิตอยู่บนความเป็นปกตินี้…เรากำลังสร้างทางของอริยมรรค

 

 

ในขณะเดียวกัน

เรากำลังล้างกิเลส กำลังล้างอาสวะอยู่

ในขณะเดียวกัน

ปฏิจจสมุปบาทสายดับกำลังเกิดขึ้นแล้ว

 

 

เพราะฉะนั้น ทางแห่งความเป็นปกติ จะทำงานพร้อมกันทุกสิ่งทุกอย่าง โดยที่เราไม่ต้องไปวุ่นวายว่า มันเรียกอะไร…มันจะทำอะไร…มันจะชื่ออะไร…มันจะยากขนาดไหน

 

พระพุทธเจ้าท่านต้องแจกแจงเยอะมาก เพราะคนมันมีหลายประเภท คนนี้ต้องสอนอย่างนี้ คนนี้ต้องใช้มุมนี้สอน คนนั้นต้องใช้มุมนั้นสอน เพื่อให้คนหลายคนเข้าถึงทุกหมู่เหล่าได้

 

 

๑๑๑

 

 

ตอนที่ 6 ทุกสัมมา เกิดที่ขณะเดียว

 

พวกเราได้ฟังตรงนี้แล้ว เข้าใจธรรมะตามความคิดมาเยอะแล้ว วันนี้เราถึงเวลาเริ่มเดินทางตรงนี้ซักที

 

สิ่งทั้งหลายที่เราฟังมา ที่เราเรียนรู้มา…มันถูกเหมือนกัน แต่มันถูกตามหนังสือ แต่เราฟังมาเนี่ย…แล้วเราทำได้มั้ย?…เราทำไม่ได้

 

ถ้าเราฟังตามหนังสือ…อันนี้เป็นทฤษฎี แต่ถ้าเราไม่รู้วิธีการที่จะเข้าถึงผลลัพธ์แบบนั้น ฟังไปแล้วก็อย่างที่บอก…เราก็เปลี่ยนโรงเรียนเฉยๆ เรายังไม่ได้เริ่มปฏิบัติธรรม

 

 

การเดินทางของอริยมรรคมีองค์ 8

เริ่มจาก “สัมมาทิฏฐิ” คือ

เข้าถึงสภาพเดิมแท้  

 

 

สภาพเดิมแท้นี้ไม่ใช่เรื่องวิจิตรพิสดาร ไม่ใช่เรื่องวิลิศมาหราที่คนทั่วไปเข้าถึงไม่ได้…เข้าถึงได้

 

กลับบ้านนั่งเฉยๆ ฟังเทศน์ ฟังธรรมอยู่ จิตใจทุกคนลองดู…ปกติมั้ย? ปกติอยู่ มันมีอยู่แล้ว มันไม่ใช่ต้องไปหาอะไรถึงไหน มันมีอยู่ในตัวอยู่แล้ว

 

เราชอบไปหาพระอรหันต์ข้างนอกกัน แล้วเราก็มักจะโดนหลอกด้วย มารู้อีกทีไม่ใช่พระอรหันต์อีกแล้ว

 

เพราะฉะนั้น จะหาพระอรหันต์นั้นให้ “หาที่ตัวเอง

 

ตัวเองนี่แหละเป็นพระอรหันต์ ทำตัวเองให้เป็นพระอรหันต์ขึ้นมา แล้วจะได้รู้จักพระอรหันต์มีอยู่จริง…ก็ตัวเรานี่แหล่ะ! เป็นพระอรหันต์

 

 

ย้ำอีกครั้งเรื่องทางเดิน…

เมื่อเรามีสัมมาทิฏฐิ เรารู้จักความเป็นปกติ

ในขณะนั้นสัมมาทิฏฐิโลกกุตตระนี้เกิดแล้ว

 

ในขณะนั้นสัมมาอีก 7 ข้อที่เหลือเกิดแล้ว

เกิดในขณะเดียวกัน

 

 

มันเปรียบเสมือนทุกก้าวที่เราเดินอยู่บนเส้นทางของมรรค หนี่งก้าวที่เราเดินด้วยความที่จิตใจนี้ปกติอยู่ปึ้ง…ทุกก้าวของเราประกอบด้วยมรรคมีองค์ 8 ทันที

 

ถ้าจะเปรียบเทียบในขณะที่เราปกติ

อกุศลมีมั้ย?..ไม่มี

เป็นกุศลมั้ย?..เป็น

เรากำลังทำการงานที่ชอบอยู่ใช่มั้ย?..ใช่

เรากำลังมีสติอยู่ใช่มั้ย?..ใช่

เรากำลังมีสมาธิอยู่ใช่มั้ย?..ใช่

 

 

เพราะฉะนั้น ทุกก้าวของการเดินทาง

บนเส้นทางของอริยมรรคมีองค์ 8 คือ

ขณะเดียวที่เรามีสัมมาทิฏฐิ

แล้วองค์ธรรมทุกอย่าง

มันจะรวมๆ อยู่ในสัมมาทิฏฐินี่แหละ

 

 

ต้องเลิกการที่จะไปทำสัมมาทีละข้อๆๆ

ต้องเลิกพิจารณาธรรม

เห็นอะไรเป็นไม่มีตัวตน

เป็นไม่เที่ยง

เป็นไป “คิดหมด

 

๑๑๑

 

 

ตอนที่ 7 สร้างเหตุ ไม่ใช่สนใจผล

 

ขณะที่เราปกติอยู่ สภาพสภาวะธรรมทั้งหลาย ผ่านมาผ่านไป เราก็รู้อยู่ รู้อยู่ เห็นอยู่ แต่ไม่ต้องสนใจมัน

 

เราก็มีหน้าที่  “รู้สึกตัว ดูใจเป็นปกติมั้ย?”

 

คนผ่านไปหน้าบ้าน ผ่านไปผ่านมา เราต้องไปยุ่งกับมันทุกคนเหรอ…ใช่มั้ย? เราไม่ต้องไปยุ่งกับมัน เราก็ดูอยู่ มันก็ผ่านไปผ่านมา

 

 

การสรุปธรรมะนี้…เป็นเรื่องของจิตใจ

ที่มันเห็นสิ่งที่ซ้ำไปซ้ำมาๆ  

มีอาการเดียวกัน

จิตใจนี้มันเรียนรู้เอง

โดยที่เราไม่ต้องรีบไปคิดก่อน

 

 

ไม่มีใครสอนพระพุทธเจ้าก่อนว่า รู้มั้ย…มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา รู้มั้ยว่าไม่มีตัวตน ไม่มีใครสอนพระพุทธเจ้าก่อน

 

พระพุทธเจ้าก็ดูอย่างนี้แหละ พระพุทธเจ้าก็ปกติอยู่นี่แหละ มีสมาธิแบบปกติ…แบบตั้งมั่นอยู่แบบนี้แหละ แล้วก็เห็นสภาพอะไรต่างๆ ไปเรื่อยๆ

 

แต่พระพุทธเจ้าฉลาดกว่าเรา…แป๊บเดียวก็คงรู้ว่า อ้อ!…ทุกสิ่งมันตกอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์ แท้จริงเป็นเรื่องของเหตุปัจจัย อันนี้ไม่มีตัวตน…นี่! เป็นผลทั้งนั้น ที่พระพุทธเจ้ามาบอกเรา

 

บอกเราเพื่ออะไร?…ให้เราเข้าใจก่อน เราจะได้เริ่ม…อ่ะ! งั้นทำไงล่ะ? เราจะได้เต็มใจ เราจะได้มีศรัทธาที่จะได้เริ่มออกเดินทางกับพระพุทธเจ้า

 

พระพุทธเจ้าเอาผลมาบอกเรา

 

แต่ทุกวันนี้เราทำอะไร?…เราไปเรียนผล

แล้วเราก็ไปนั่งวิเคราะห์ผลอยู่นั่นแหล่ะ

 

เออ!..ใช่ มันเป็นอย่างนั้นอย่างที่พระพุทธเจ้าบอก เออ…ใช่ๆๆ  ผมว่าทุกคนมีประวัติศาสตร์ของการทำแบบนี้มาหมดทุกคน

 

สมัยก่อนผมอ่านหนังสือ “คู่มือมนุษย์” ของท่านพุทธทาส ชอบมาก มันยากด้วยนะ สมัยก่อนเราไม่รู้ธรรมะเลย เราอ่านแล้วเราก็อ่านได้แค่วันละ 1 หน้า หรือ 1บทนี่แหละ

 

จำได้ว่าใช้เวลาเยอะมากกว่าจะจบหน้านึง เพราะรู้สึกว่ามันยาก ต้องทำความเข้าใจเยอะมาก  คู่มือมนุษย์หนาแบบนี้ ใช้เวลาน่าจะเป็นเดือน อ่านทุกวัน กว่าจะอ่านจบ คือไม่อยากจะพลาดความเข้าใจเลย…อะไรอย่างนี้

 

พอเราอ่านจบ โอ้โห!…ดีมาก เป็นความจริง เรายึดมั่นถือมั่น เราเลยทุกข์ เพราะเราไปยึดมั่นถือมั่น เราไปยึดว่า นี่ของเรา นี่ตัวเรา เออ!…ใช่ จริงด้วย

 

ไปบอกคนอื่น…นี่! พวกเราชอบเป็นคนดี ต้องสอนคนอื่น พอรู้ก็รีบสอนเลย เออ!…ป๊าม๊า นี่มันอย่างนี้ๆ สุดยอดเลยนะ

 

สุดท้ายตัวเองทำไม่ได้ เค้าด่ามาที ก็โมโหเลย เนี่ยะ!

 

ทำไมมันเป็นแบบนั้น?

เพราะเราไปสนใจผล

เราไม่ทำ เราไม่สร้างเหตุ  

 

แต่จริงๆ ตอนนั้นเราไม่รู้ว่าต้องทำยังไง? ก็ถามตัวเองเหมือนกันว่าต้องทำยังไง…แต่เราทำไม่เป็น เราก็ได้แต่เก็บงำความสงสัยที่เราอยากจะรู้ว่าทำยังไง แต่เราไม่รู้ หาคนสอนไม่ได้ เราได้แต่รู้ว่าสิ่งนี้มันดีมาก

 

เนี่ยะ!…เป็นลักษณะของการที่เรารู้ผลว่า “ผลลัพธ์

ถ้าเราไม่ยึดมั่นถือมั่นมันดี

แต่มันทำยังไงล่ะ?

 

แล้วทุกวันนี้ เราก็ไปพยายามไม่ยึดมั่นถือมั่น อันนี้เป็นบ้าอีกแบบนึง!!

 

เราพยายามจะทำอะไร เราพยายามจะไม่ยึดมั่นถือมั่น…ก็ “เรา” นั่นแหละ!!

 

เราเคยอยู่ทางขวา เราก็อยากไปอยู่ทางซ้ายบ้างแค่นั้นเอง เปลี่ยนทิวทัศน์

 

แต่ “ทางสายกลาง” คืออะไร?

“มันอยู่ตรงกลาง รู้เฉยๆ”

 

นี่! เป็นทางสายกลาง “ไม่เป็นอะไรทั้งนั้น

แต่สุดท้ายผลลัพธ์มันออกมาเอง

มันเจริญออกมาเอง

 

Camouflage

20-Jun-2016

 

YouTube: https://youtu.be/EQS-ZbvrVco

คลิปเสียงธรรมะทั้งหมดของคุณ Camouflage : https://goo.gl/RDZFMI

======================

5 ช่องทางการอ่านและฟังธรรม

1) Facebook : สุขกาย สุขใจ SookGuySookJai
http://www.facebook.com/sookguysookjai

2) Line : @camouflage.talk
https://line.me/R/ti/p/%40camouflage.talk

3) YouTube : สุขกาย สุขใจ SookGuySookJai
https://goo.gl/in9S5v

4) Website: https://camouflagetalk.com

5) Podcast : Camouflage – Dhamma Talk

-iOS https://itun.es/th/t6Mzdb.c

-Android https://goo.gl/PgOZCy