33.สู่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่

ตอนที่ 1 ก้าวข้ามผ่านความเชื่อ ความกลัว

ความเชื่อหลายอย่างมันปิดบังเราเอาไว้ ปิดบังเราจากความจริง ปิดบังเราไว้หลายอย่าง หลายขั้นหลายตอน หลายซับหลายซ้อน มากจนไม่รู้จะมากยังไง

พระพุทธเจ้าเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดที่แสดงให้ทุกคนในโลกนี้เห็นอยู่แล้วว่า พระพุทธเจ้าทำอะไรลงไป

สิ่งที่พระพุทธเจ้าทำ  ถ้าคนๆนั้นไม่ใช่พระพุทธเจ้า…จะต้องโดนด่าแน่นอน แต่เพราะท่านเป็นพระพุทธเจ้า คนในโลกนี้จึงบอกว่า อ้อ…ก็ท่านมีเมตตากรุณาสูง ท่านออกไปหาทางเพื่อช่วยคนทั้งโลก

ถ้าเราเข้าใจว่าคนนั้นเป็นคนดี เราจะพูดอะไรก็ได้ คิดอะไรก็ได้ ที่จะเข้าใจคนนั้นว่าเค้าทำถูกแล้ว แต่ถ้าเราไม่ชอบคนนั้น ไม่ว่าเค้าจะทำอีท่าไหนก็ด่าเค้าได้เหมือนกัน…โลกมันเป็นแบบนี้

เพราะฉะนั้น ความคิด ความเชื่อ เป็นสิ่งที่เราต้องระวังให้มากว่าอะไรที่มันขวางกั้นเรา ในทางละเอียดมันเยอะที่พระพุทธเจ้าพูดเรื่องติดฝั่งซ้าย ติดฝั่งขวา ติดมนุษย์ ติดอมนุษย์ ติดน้ำวน เน่าในอะไรพวกนี้ สิ่งเหล่านี้มันเป็นความละเอียดหลายอย่างมากๆ ที่มันพาเราไปไหนไม่ได้…ติดอยู่

เราต้องอาศัยความกล้าอย่างมากที่จะก้าวผ่านความเชื่อทั้งหลายที่เราถูกหล่อหลอมมาตั้งแต่เด็ก สังคม  เพื่อน ญาติพี่น้อง พ่อแม่หล่อหลอมเรา พอเราอยู่ภายใต้ความเชื่ออะไร เราก็เป็นอิสระไม่ได้

ถ้าเราพ้นจากความเชื่อทั้งหมดได้ เราจะเป็นอิสระ

พ้นจากความเชื่อนั้น ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อ แต่พ้นไปเฉยๆ บางคนบอกว่าไปยึดความไม่เชื่ออีก…พูดลำบาก

พระพุทธเจ้าทำตัวอย่างให้เราเห็นหลายต่อหลายอย่างมาก  แม้กระทั่งสังคมเราทุกวันนี้ เช่น หลวงพ่อคำเขียนตัดสินใจไปบวช ถ้าเป็นคนในสังคมทุกวันนี้ก็อาจจะคิดว่าทิ้งลูกไปบวชขณะที่ภรรยาท้องอยู่ 4 เดือน เดี๋ยวลูกเกิดมาไม่มีพ่อ ลูกขาดความอบอุ่น เดี๋ยวครอบครัวไม่สมบูรณ์ ถ้าเราไปเชื่อกับความคิดแบบนั้น เราก็ไปไหนไม่ได้

ทุกวันนี้ส่วนใหญ่เราชาวพุทธก็สรรเสริญพระพุทธเจ้าว่า พระพุทธเจ้ามีความเมตตาที่ออกไปแสวงหาทางพ้นทุกข์แบบนั้น แต่จริงๆ ไม่ใช่พระพุทธเจ้าองค์เดียวที่มีความเมตตา อย่างหลวงพ่อคำเขียน ณ วันนั้น ก็คงมีคนกล่าวว่าท่านเหมือนกัน ต้องอดทนที่ออกไปประพฤติปฏิบัติ

แต่พอวันนึงหลวงพ่อคำเขียนพบความสัจธรรมความจริงขึ้นมา ทุกคนเชื่อว่าท่านเป็นพระอรหันต์จึงไม่มีใครกล่าวว่าท่านแล้ว ทุกคนก็จะบอกว่าหลวงพ่อมีเมตตาสูง เมื่อก่อนนี้หลวงพ่อเด็ดเดี่ยวมากที่ตัดสินใจแบบนั้น มีแต่คำชม ฉะนั้น “ความคิดคนมันเปลี่ยนตลอด

ถ้าเรามัวแต่ไปเชื่อ ฟังเสียงของคนอื่น ชีวิตเราเจริญไม่ได้ แต่หลวงพ่อคำเขียนก็ไม่ได้ไปฟังเสียงใครหรอก ท่านเชื่อตัวเอง  เชื่อว่านี่…เป็นทางต้องไป แค่นั้นเอง

แต่ผลสุดท้ายมันยิ่งใหญ่…ยิ่งใหญ่กับตัวเอง ยิ่งใหญ่กับคนอีกจำนวนมาก เป็นเทียนอันใหญ่มากที่ให้ความอบอุ่นกับโลก ให้แสงสว่างกับคนมากมายที่กำลังเดินตามอยู่

สิ่งที่ทำที่ดูเป็นสิ่งที่แย่ ก็เป็นความเด็ดเดี่ยวขึ้นมา สิ่งที่มันตัดสินใจได้ยาก เราจะต้องกลัวโน่น กลัวนี่ กลัวนั่น ณ ตอนนั้น ถ้าเราข้ามผ่านมันไปได้ ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ก็เกิดขึ้นได้

 

ตอนที่ 2 วินัย กับ หน้าที่

ผมจะบอกตลอดว่า “วินัย” กับ “หน้าที่” อันนี้เป็นสิ่งที่ต้องอยู่ในใจเรา ต้องมีวินัยและมีหน้าที่

วินัยกับหน้าที่นี้จะเป็นตัวส่งเสริมให้จิตมีกำลังขึ้นมาอย่างรุนแรงที่สุด ยิ่งกว่าอะไรๆ เลย

ผมบอกว่าให้ไปอยู่วัด อยู่หลายๆ วันหน่อยนะ แต่พี่ก็บอกว่าพี่อยู่บ้านก็ปฏิบัติธรรมได้นะเพราะพี่ก็ไม่ยุ่งกับใครอยู่แล้ว พี่ก็มีบริเวณที่อยู่ของพี่คนเดียว ไม่มีใครมายุ่งกับพี่ด้วย พี่ไม่ให้ใครมายุ่งกับพี่ พี่ก็ปฏิบัติธรรมได้ดีอยู่แล้ว ปกติดี

แต่ผมบอกว่ามันไม่เหมือนกัน ถ้าเราไปอยู่ที่วัดอยู่ในสถานที่สัปปายะแบบนั้น เค้าสั่งให้เราตื่นเวลานี้ เค้ามีเวลาให้เราต้องเดิน นั่ง อย่างนี้ๆ เราต้องกวาดวัดด้วย เราต้องทำตามและอยู่ในระเบียบวินัยของเค้า สภาพจิตใจที่แปรไปตามสถานที่ แปรไปตามวินัย แปรไปตามความสัปปายะ จิตจะพ้นจากสภาพความกังวล

ในบ้านบางทีเราเหมือนไม่กังวลนะ แต่เรายังมีเรื่องกังวลอยู่แต่เรามองไม่เห็น ถ้าเราได้ไปอยู่ในวัด ไปอยู่ในที่ที่มีระเบียบวินัยและมีหน้าที่ต้องตื่น ต้องทำแบบนี้ๆ ความแตกต่างแบบนี้มันเกิดขึ้นในจิตใจทันทีว่า “อ้อ…มันไม่เหมือนกันจริงๆ ด้วย

เพราะฉะนั้น วินัย หน้าที่ ในสถานที่ที่บ้านกับสถานที่ที่เราไว้ใช้ปฏิบัติธรรมมันจึงไม่เหมือนกัน มันคนละอย่าง  แค่เราเปลี่ยนสถานที่ เปลี่ยนจิตมีวินัยขึ้นมา สภาพจิตใจเราได้สัมผัสความลึกซึ้งของความปกติที่มันหนักแน่นกว่า มันสบาย มันผ่อนคลายกว่าเดิม มันลึกลงไปอีก มันจะไม่เหมือนเราอยู่บ้าน

วินัย กับ หน้าที่” มันจึงสำคัญ บางคนคิดว่าทำเวลาไหนก็เหมือนกัน…ทุกคนลองแล้ว…ไม่ได้ผล เพราะการที่เราบอกว่า ว่างเวลาไหนเราก็ทำ เบื้องหลังของการทำอย่างนั้นคือ “การทำตามใจกิเลส” เราเชื่อว่าอันนี้มันดี เราจะทำ

แต่ถ้าเรา “ทำเป็นหน้าที่” ไม่ใช่มันดีหรือไม่ดี แต่ถึงเวลาก็ต้องทำ

เราจะข้ามความเชื่อภายในใจที่พอเชื่อว่าดีแล้วอยากทำ…เราข้ามไปอีก

สมมติตอนนี้ไม่อยากทำ แต่ก็ต้องทำเป็นหน้าที่ แล้วพอเราทำอะไรที่เป็นหน้าที่ขึ้นมา…จิตใจนี้มันไม่บวกไม่ลบ มันอ้อไม่ได้…ต้องทำเป็นหน้าที่ ไม่ใช่เราอยากทำ ไม่ใช่ไม่อยากทำ ยังไงก็ต้องทำ…มันมีแค่นั้น

ทำไม่กี่วัน…แค่ 5 วันเอง ก็พบความรู้สึกต่างจากการทำที่บ้านมาตั้งนานหลายเดือน… 5 วันกับตั้งหลายเดือนยังต่างกันเลย เพราะฉะนั้น วินัยกับหน้าที่มันเลยจำเป็นมาก

เราอยู่ในวัด เราคิดอย่างอื่นไม่ได้ แต่ถ้าเราอยู่บ้าน เราจะคิดแล้วว่าจะกินเที่ยงนี้ที่ไหนดี เดี๋ยวไปทำอะไรต่อดี มันมีโอกาสที่พอเราเบื่อๆ เราจะไปทำอะไรดี หาอะไรทำหน่อย แม้ว่าเราจะไม่ไปไหนหรอก แต่มันมีโอกาสที่จิตฟุ้งซ่านเยอะ

แต่ถ้าเราไปอยู่ในวัด หมดสิทธิ์ ต้องอยู่ที่นั่น จะไปฟุ้งซ่านทำไมทำอะไรไม่ได้  แล้วเดี๋ยวหลวงพ่อก็มาแล้ว…เดี๋ยวหลวงพ่อก็มาอีกแล้ว ต้องรีบอาบน้ำ ต้องรีบตื่น รีบๆๆ มีแต่รีบอย่างเดียว เพราะว่าตารางการปฏิบัติในแต่ละวันมันแน่น  หลวงพ่อเองทำแบบนี้ทุกวัน จิตใจจึงไม่มีโอกาสจะออกนอกลู่นอกทาง มันก็เลยยิ่ง…โอ้โห!!…เปรี๊ยะเลย เปรี๊ยะเลย แน่นหนา

 

ตอนที่ 3 ความทุกข์เป็นสิ่งที่ดี

เวลาเราอยู่บ้าน เราก็ต้องหาคอร์ส หรือว่าหาวัดไปอยู่ เราจะได้รู้ความแตกต่างกันระหว่างอยู่บ้านกับอยู่คอร์สหรืออยู่วัด

เราอยู่บ้านซึ่งเป็นบริเวณปลอดภัย safety zone เหมือนเราปฏิบัติธรรมได้นะ แต่มันเป็น safety zone ที่เรามองไม่เห็นว่าเราก้าวผ่าน beyond ความสะดวกสบายแบบที่บ้านได้มั้ย? ถ้าเราไม่ลองไปทำดู เราก็ไม่รู้ว่ามันเป็นยังไง ซึ่งส่วนใหญ่ไม่มีใครชอบลำบากหรอก ไปอยู่ในที่ไม่มีแอร์ ร้อนก็ร้อน กินข้าวเลือกไม่ได้ โดนควบคุม control

แต่ถ้าเราเลื่อนไหล flow ไปตามธรรมชาติได้ ไม่เป็นปฏิปักษ์กับธรรมชาติได้…ถือว่าพัฒนาแล้วอย่างนี้

เรารับความทุกข์กับสิ่งแวดล้อมแบบนั้นที่เราไม่ชอบแต่เราต้องอยู่ เช่น เราต้องอยู่ 7 วัน มา 2 วันแรกก็ไม่ชอบแล้ว…ทุกข์หล่ะ แต่เราต้องอยู่จะทำยังไง เราไม่หนีกลับบ้านเราจะทำยังไง  เราก็เริ่มเรียนรู้แล้ว อ้อ…อย่าไปปรุงแต่ง อย่าไปให้ค่าหรืออะไรก็ตาม เราจะสอนตัวเอง

ความทุกข์จะบีบให้เราสอนตัวเองว่า เราทุกข์เพราะแบบนี้ เพราะเราไปคิดอย่างนี้ เพราะเราไปคิดแบบนั้น เพราะเราไปเป็นปฏิปักษ์ เพราะเราเป็นอย่างโน้น อย่างนี้ อย่างนั้น ความทุกข์มันสอนให้เราว่า อ้อ..เราต้องทำแบบนี้ ความทุกข์มันบีบเรา สอนเรา ในที่สุดเราก็อยู่ได้ภายใต้สิ่งที่เราไม่ชอบ เราก็เจริญขึ้นอีก เพราะการไปอยู่แบบนั้นมันดีแบบนี้แหละ

แต่บางทีไปเข้าคอร์สแบบที่ทุกวันนี้เค้าจัดกัน มันค่อนข้างสบาย มันไม่ค่อยลำบากเท่าไหร่ มันจะไม่เจอภาวะแบบที่เราไปอยู่วัด  ถ้าเราไปเจอคอร์สที่มันสบายๆ หน่อยก็เหมือนอยู่บ้านเท่าๆ กัน ยกเว้นคนที่ไม่เคยเข้าคอร์สอาจจะรู้สึกว่าลำบาก ต้องตื่นเช้า

ความทุกข์นี่มันจะช่วยเรา มันจะพาเราให้รู้จักว่า เราจะพ้นทุกข์ยังไง ทำไมเราถึงทุกข์ แต่ถ้าเราอยู่บ้านไม่ค่อยทุกข์ มันอยู่ใน safety zone ทุกอย่างก็รู้จักหมดแล้วนึกออกมั้ย? บ้านเป็นยังไง คนงาน ถ้าเกิดปัญหาจะแก้ปัญหายังไง แต่ถ้าเราไปในที่ที่เราไม่รู้เลย มันมีหลายอย่างที่ควบคุมไม่ได้ เราเคยเป็นคุณนายคุณหนูอยู่บ้าน แต่เราต้องกลายเป็น Nobody ที่นั่น…มันจึงไม่เหมือนกัน

พวกเราทุกคนสังเกตว่า พ่อแม่สมัยนี้ไม่ยอมให้ลูกลำบาก ไม่ยอมให้ลูกทุกข์ ลูกก็เลยโง่เลย ทำไมมันถึงไม่เป็นผู้ใหญ่ซักทีนึง เพราะมันไม่เคยลำบาก มันไม่เคยทุกข์ มันไม่เคยเผชิญอะไรที่ต้องแก้ปัญหาด้วยตัวเอง ต้องช่วยตัวเอง มันก็เลยไม่เป็นผู้ใหญ่ซักทีนึง

เพราะฉะนั้น ความทุกข์เป็นสิ่งดีมากที่จะช่วยให้เราโตขึ้น เติบโตขึ้นทั้งทางร่างกายและจิตใจ และก็ความชาญฉลาดในชีวิตด้วย

พ่อพระพุทธเจ้าพยายามสร้างปราสาท 4 ฤดู เพื่อปิดบังพระพุทธเจ้าไม่ให้เจอสภาพความเป็นจริงของโลกนี้ เพราะกลัวพระพุทธเจ้าจะไปบวช แต่วันนึงที่พระพุทธเจ้าออกไปเจอปุ๊บ…ที่เค้าเรียกว่าให้ลูกไปเผชิญความจริงของชีวิต ความทุกข์ที่พระพุทธเจ้ารับมา…นั่นแหละเป็นตัวผลักดันให้พระพุทธเจ้าต้องการจะพ้นทุกข์ ถึงเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมาได้

เพราะฉะนั้น ความทุกข์ถึงเป็นสิ่งที่จะช่วยพวกเราทุกคน ไม่ใช่เรื่องของการที่พวกเราเห็นคนใกล้ตัวเรา พี่น้องเรา พ่อแม่เราทุกข์ แล้วเราก็ อุ้ย…ไม่ได้ต้องรีบไปช่วยเค้าคลายทุกข์ เราก็ต้องเห็นว่า อันนี้เค้ากำลังได้ทุกข์ แล้วทุกข์กำลังช่วยเค้า ให้เค้าตาสว่าง ให้เค้าฉลาดขึ้นมา…นี่เราต้องมีมุมมองแบบนั้น

ถ้าจะให้ทุกข์แค่ไหน มันอยู่ไม่นานหรอก คนอกหักรักคุด ทุกข์ได้ตลอดเหรอ ที่ผมบอกมันทุกข์จนมันเพลียแล้วมันก็นอนหลับไป เดี๋ยวก็หายทุกข์แล้ว มันตั้งอยู่ไม่ได้หรอก

แต่ความทุกข์นั้นมันบีบบังคับให้คนๆนั้นจะทำอย่างไรถึงจะพ้นทุกข์ จะต้องพึ่งตัวเองให้ได้ที่จะไม่ทุกข์แบบเดิมอีก เพราะฉะนั้น “ความทุกข์เป็นสิ่งดี

 

ตอนที่ 4 ความมุ่งมั่น

ทางเดินนี้เป็นทางเดินที่ทุกคนต้องเดินเอง ผมเป็นเหมือนกำลังใจเฉยๆ เป็นเหมือนคนที่คอยเชียร์เฉยๆ

พวกพี่มาฟังผม ผมก็พูดเหมือนเดิม แต่ว่ามันก็เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังเดินทางอยู่ ทุกคนก็รู้ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่แล้ว ฟังคลิปไปก็ไม่รู้เท่าไหร่แล้วใช่มั้ย? มันก็หมดแล้ว มันก็ไม่มีอะไรที่เยอะไปกว่านั้นเท่าไหร่หรอก แต่ว่าโอเค..ทุกคนก็อยากจะมาฟังอีก แต่สุดท้าย “การเดินทางนี้เป็นของแต่ละคน

แต่สิ่งที่ผมพูดวันนี้ ผมมองว่าบางคนมีความสามารถจะประพฤติปฏิบัติได้มากกว่านั้น ก็จะตอกย้ำให้เห็นว่าถ้าเรายังมีโอกาสที่ทำได้มากกว่านั้น เราอย่าทิ้งโอกาสนั้น…แค่นั้นเอง

ทุกคนรู้แล้วว่าการปฏิบัติธรรมนี้เป็นสิ่งที่ต้องทำ ผมแค่พยายาม optimize โอกาสเฉยๆ ว่า คนไหนควรจะทำแบบไหนที่มันจะเหมาะ ที่มันจะดีขึ้น ที่จะช่วยได้มากขึ้น ที่จะใช้เวลาที่กำลังมีอยู่ได้มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลได้ผลมากขึ้น…แค่นั้นเอง แต่ความมุ่งมั่นพวกเราทุกคนมีอยู่แล้ว…

ผู้ฟังธรรมถาม : “แต่ความมุ่งมั่นมันขึ้นลงอ่ะ

Camouflage ตอบ : เพราะเราประมาทไง แล้วทำไมเราถึงประมาท??? เนี่ยคำพูดมันง่าย…ผมพูดตลอดว่า

เพราะเรายังไม่เห็นว่าเราเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ เรายังไม่เห็นว่าโลกนี้มันไร้สาระ สิ่งที่เรากำลังทำอยู่เป็นเรื่องไร้สาระ เป็นเรื่องที่ไม่มีวันจบสิ้น เป็นเรื่องที่น่าเบื่อ เรายังไม่เห็นว่าโลกนี้มีแต่ทุกข์จริงๆ

ผมจะพูดบ่อยๆ ว่า ผมเดินจงกรมอยู่บ้านกับให้ผมออกไปเดินช้อปปิ้ง สำหรับผมมันน่าเบื่อทั้งคู่ แต่ว่าผมเลือกที่จะเดินจงกรมอยู่บ้าน เพราะว่าการเดินจงกรมอยู่บ้านของผมมันมีโอกาสที่วันนึงชีวิตผมจะเปลี่ยนแปลงได้ แต่การที่ผมไปเดินช้อปปิ้ง หนีความทุกข์ไปวันๆ มันไม่ได้ช่วยอะไร

ถ้าเราพิจารณาสิ่งที่เรากำลังกระทำตลอดว่าเราทำแล้วมันมีประโยชน์อะไร มันก็ช่วยเราได้เหมือนกันว่า…อย่าไปทำแบบนั้นแล้วกัน ทำอย่างนี้ดีกว่าแล้วกัน ทุกคนก็ลองไปพิจารณาดู

ผมหาคำตอบของชีวิตว่าเกิดมาทำไม? เกิดมาเรียนหนังสือให้จบ มีอาชีพดีๆ หาแฟน มีครอบครัว เป็นลูกกตัญญู ซื้อรถซื้อบ้าน แต่งงงานมีลูก ทำกิจการที่บ้านให้ใหญ่กว่านี้ พ่อแม่จะได้มีความสุข เราก็ได้ทำหน้าที่ลูกกตัญญู ภูมิใจ แล้วเราก็ค่อยๆแก่ ค่อยๆเจ็บป่วย แล้วเราก็ตาย แล้วไงต่อ…แล้วก็เกิดใหม่มาทำแบบเดิมอีก

ผมมาคิดอย่างนี้ว่า เราจะต้องทำอย่างนี้ไปนานเท่าไหร่ แล้วไม่รู้ด้วยว่า ชีวิตนี้มีความสุขพอสมควรระดับนี้ ชีวิตหน้าไม่รู้จะเป็นยังไงอีกเหมือนกัน…รู้สึกกันอย่างนี้หรือเปล่า? จะต้องดิ้นรนมากกว่านี้หรือเปล่า? จะเกิดมาเป็นอะไรหรือเปล่า? พิการหรือเปล่า? หรือจะไปอยู่เอธิโอเปียหรือเปล่า?….อะไรก็ไม่รู้

แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ไม่ว่าจะมีทุกข์หรือมีสุขแบบไหนก็ตาม แต่เราต้องเกิดมาแล้วทำแบบเดิมใช่มั้ย? ต้องทำแบบเดิมอีกเหรอ?

สิ่งที่ผ่านมาในชีวิตทั้งหมดมีทุกอย่างแล้ว แต่ก็ไม่รู้สึกว่ามีความสุข รู้สึกว่าแล้วไงต่อ ต้องมีแบบนั้นแล้วไงต่อ จะหาความสุขมากกว่านี้ยังไง ตอนนั้นคิดว่าเราต้องเป็นแบบนักสังคมสงเคราะห์ ช่วยคนอื่น บริจาคเงินที่โน่น ที่นี่ ทำใหญ่เลย  ไม่ได้คิดว่าต้องทำบุญแต่คิดว่าชีวิตต้องมีค่ามากกว่านี้ เพราะมีหมดแล้วทุกอย่าง แต่เราเกิดมาต้องมีค่ามากกว่านี้ก็เลยไปช่วย มีเงินอยู่ในธนาคารแต่ไม่อยากเอาไว้ธนาคารแล้วจะเอาไว้ทำไม  ก็รู้สึกว่าเอาไปช่วยคน

ตอนอ่านเฟชบุ๊คก็เห็นข่าวกุฏิพระไฟไหม้ขอความช่วยเหลือ ก็รีบโอนเงินเลย โอนเงินเสร็จปึ๊บ…เราก็เห็นว่าตอนที่เรามีความสุขในการที่ตัดสินใจว่าเราจะไปช่วยโอนเงินเราได้ความสุขนิดนึง แต่พอเราโอนฟรึ๊บบบเสร็จ…ความสุขหายไป

คิดว่า อ้อ…เราเกิดมาเพื่อทำให้คนอื่นมีความสุข แล้วเราจะมีความสุข…เนี่ยคิดแบบนั้นในตอนนั้น แล้ววันนึงเราก็พบว่านั่นยังไม่ใช่ มันยังไม่ได้ความสุข รู้สึกว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านี้ เราเกิดมาเป็นมนุษย์มันต้องมีสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่านี้ที่เราควรจะได้รับ หรือว่ามันต้องมีความสุขมากกว่านี้ มันต้องไม่ใช่แค่นี้ ถ้าเราเกิดมาแค่นี้ไม่ต้องเกิดมาดีกว่าจะเกิดมาทำไม…ก็คิดอย่างนี้

จนไปเจอจุดมุ่งหมายของพุทธศาสนาว่ามีความมุ่งหมายเพื่ออะไร พออ่านปึ๊บ…จิตใจนี้ก็คล้ายๆ เหมือนเจอทางออก รู้แล้วว่าเราเกิดมาทำไม “เราเกิดมาเพื่อที่จะพ้นการเกิดนี้ไปให้ได้”…เราเกิดมาเพื่อทำสิ่งนี้ เราเกิดมาเพื่อที่จะพ้นจากทุกข์ทั้งปวงนี้ไปให้ได้ ไม่ใช่เกิดมาเพื่อจะเกิดอีก…ไม่ใช่แบบนั้น

พออ่านปี๊บ…รู้แล้วว่าเกิดมาทำไม เป็นเหมือนรางวัลอันยิ่งใหญ่ของชีวิตเลยว่าสิ่งที่หามานานหลายปีว่าเราเกิดมาทำไม และก็มั่นใจแน่นอนว่า…เราเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ สิ่งนี้แหละมีค่าที่สุดในชีวิตเรา ชีวิตหลังจากนี้คือทำแบบนี้

แล้วพอเราเข้าใจแบบนั้น ชีวิตที่เราเกิดมา คือ ต้องทำแบบนี้ หลังจากวันนั้นก็ไม่เคยเลิกทำเลย แม้ว่าจะมีหลงโลกบ้างนะ แต่สิ่งนี้อยู่ในใจตลอดไม่เคยเลิก ทำตลอด

แล้วคำสอนให้รู้สึกตัว รู้ทันความคิด ตั้งแต่วันแรกที่ฟัง ตั้งแต่วันนั้นเราก็ทำเลย ทำได้ด้วยและก็ทำมาตลอดไม่เคยมีวันหยุด

ถ้าเรารู้ว่าชีวิตนี้เราเกิดมาเพื่ออะไร แล้วเราซาบซึ้งกับมัน เราเข้าใจมันอย่างแท้จริง เราจะไม่ยอมเสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียวไปทำอะไรไร้สาระ แต่เราต้องซาบซึ้งมันให้ได้ว่า เราเกิดมาทำไม เกิดมาเพื่ออะไร

ถ้าเรายังเฉยๆ ว่างก็ทำ ลุ่มๆ ลอนๆ มันก็ไม่มุ่งมั่นซะทีนึง  มุ่งมั่นคือแบบนี้ มุ่งมั่นคือ รู้แล้วว่าหน้าที่เราคืออะไร ก็เคยรู้สึกขนาดว่า ถ้าไม่ปฏิบัติธรรม ไม่รู้เลยจะทำอะไร จะไปทำอะไรอย่างอื่นที่ไม่ใช่แบบนั้น ไม่รู้จะไปทำทำไม คิดไม่ออกเลยว่าจะทำทำไม…เสียเวลา

นี่!!…ถ้าเรามีความคิดแบบนี้ เรียกว่า เรามุ่งมั่นแล้ว แต่ว่าโอเค…ระหว่างทางบางทีเรามีหลงไปบ้าง มีกิเลส มีอะไรมันลากเราไปบ้าง แพ้บ้าง ชนะบ้างอะไรอย่างนี้ไม่เป็นไร

แต่ “ความมุ่งมั่นนี้อยู่ในใจตลอด” นี่เพียงพอแล้วที่จะผลักดัน (Drive) ให้เราไปต่อ และถ้าเรามีโอกาสที่จะเลือกให้มันเข้มข้นขึ้น ให้มันแน่วแน่ขึ้น เราจะไม่ทิ้งเลย เราจะรีบคว้าโอกาสนั้นไว้เลยว่า…เอาแน่!!! ไม่มีว่าลังเล  โอ้เอ้ จะไม่มี…เอาเลย ก็ต้องเป็นแบบนี้ทำกันได้มั้ย?

ผมก็พูดธรรมะที่จะให้กำลังใจนั่นแหละ ให้มั่นใจ ให้เชื่อมั่นว่า รับรองว่าคุ้มค่า คุ้มเวลา คุ้มการตัดสินใจ คุ้มกับความกลัวที่เราจะต้องข้ามมันไป

ผมเข้าใจว่ามันทุกข์นะ จากความกลัวในสิ่งที่เราจะต้องมีความเปลี่ยนแปลง เพราะคนเราไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง  อย่างที่ผมบอกว่าคนเราทุกคนชอบอยู่ใน safety zone พอจะเปลี่ยนแปลงนี่มันไหว (shake) เริ่ม shake หล่ะ แต่เราต้องผ่านความกลัวนี้ไปให้ได้ ถ้าเราไม่เปลี่ยนแปลงมันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เราก็อยู่เหมือนเดิมตลอด

 

ตอนที่ 5 รู้ตัวแบบลืมตัว ลืมตัวแบบรู้ตัว

มีศัพท์คำนึงที่ท่านเขมานันทะเคยพูดว่า “รู้ตัวแบบลืมตัว ลืมตัวแบบรู้ตัว” คำศัพท์นี้มันหมายความว่า เมื่อก่อนเวลาปฏิบัติธรรมใหม่ๆ เลย เราจะได้รับคำสอนมาว่า เราต้องหมั่นรู้สึกตัว นี่..เวลาเรารู้สึกตัวปึ้งขึ้นมา ความรู้สึกอย่างนี้ที่มันชัด รู้สึกตัวขึ้นมา เหมือนเราเหม่อลอยไปแล้วก็มีคนมาเรียกเรา เฮ้ย..อย่างนี้ ตบหลังเราอย่างนี้ เราก็เออะ…กลับมา พี่ก็รู้สึกตัวขึ้นมา เราก็รู้สึกตัวชัดเจนเลยใช่มั้ย? เนี่ยแบบนี้

แต่ว่าพอพัฒนาความรู้สึกตัวแบบนี้ ที่มันชัดๆ แบบนี้ พอความรู้สึกตัวนี้เป็นเลือดเป็นเนื้อเราไปแล้ว เป็นร่างกายเราไปแล้ว เราจะไม่มีความรู้สึกว่าเราต้องรู้สึกตัว แต่มันรู้อยู่แล้ว มันก็เลยเหมือนกับว่า มันเหมือนลืมตัวแต่มันรู้ตัว

แต่พอมันรู้ตัวก็เหมือนลืมตัว มันก็รู้ตัวแบบลืมตัว ไม่ใช่แบบชัด…กริบ…แบบที่เราเคยฝึกแบบสมัยก่อนว่า หลงกับมีสติรู้สึกตัว มันต่าง (diff) กันเยอะ มันคนละฝั่งเลย แต่ธรรมชาติแห่งความไม่มีตัวตนอันนี้มันอยู่ตรงกลาง มันจะเรียกว่าหลงก็ไม่ใช่ จะว่ารู้สึกตัวเปรี๊ยะก็ไม่ใช่ ผมถึงบอกว่ามันพ้นไปจากสติ พ้นไปจากความรู้สึกของคำพูดว่า สติ สมาธิ อะไรทั้งหลาย มันพ้นไป

เหนือไปกว่านั้นอีกที่บอกว่า จิตอยู่ในอวกาศ จิตนี้มันอยู่ในอวกาศ มันพ้นไปจากความคิดว่า ตอนนี้เรียกสติ ตอนนี้มันเรียกมีสมาธินะ ตอนนี้มันเรียกมีปัญญา ไม่มีความรู้สึกอะไรแบบนั้น ก็คือมันเข้าไปอยู่ในเลือดในเนื้อเราแล้ว เราก็ไม่ถึงกับว่าต้องคอยระวัง ระแวดระวัง ว่าเราต้องรู้สึกตัวอะไรแบบนั้น…ไม่ใช่แบบนั้น

 

ตอนที่ 6 รู้สึกตัว พ้นจากความคิดปรุงแต่ง

อย่างที่ผมบอกว่าเวลามันเกิดความฟุ้งซ่าน เกิดกิเลสอะไรเกิดขึ้น เช่น พอมีความกังวล จิตใจก็ไม่มีความสุข จิตใจไม่มีความสุข จิตใจก็ไม่มีสมาธิ จิตใจไม่มีสมาธิมันก็ฟุ้งซ่าน  มันก็นอนไม่ได้ หลับไม่ได้

แต่เราไม่ใช่ว่า เฮ้ย…อย่าไปคิด เฮ้ย…อย่าไป…ไม่ใช่แบบนั้น  เรานอนกระดิกขาไว้ กระดิกขาอย่างนี้ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวมันหลับเอง เพราะอะไร? เพราะเราเปลี่ยนจากจิตที่ไปอยู่ในความคิด อยู่ในความกังวลนี้มารู้สึกตัวอยู่ กระดิกขาเบาๆ อย่างนี้ กระดิกไปเรื่อยๆ พลิกของเราไปเรื่อย เห็นอยู่กับความรู้สึกของการเคลื่อนของขา แป๊บเดียวก็หลับแล้ว

เรากำลังไม่ชอบสภาวะที่เรานอนไม่หลับ เราเลยบอกว่า แกนอนได้แล้ว แกอย่างนี้ๆๆ เบื้องหลังเรามีความไม่ชอบสภาวะที่เรากำลังเป็นอยู่ พอเราไม่ชอบสภาวะแบบนั้น จิตใจนี้ก็เป็นสมาธิไม่ได้ มันมีแต่ตัณหา มีแต่ความไม่ชอบ ความไม่พอใจ มันก็สงบไม่ได้ มันสงบไม่ได้มันก็นอนไม่ได้ แต่จริงๆ เราไม่ต้องสนใจมัน สมมติว่ามันยังนอนไม่หลับ เราก็กระดิกขาไป

ผมจะเปรียบเทียบว่า ความไม่พอใจนี้เหมือนเป็นน้ำสีดำ แล้วมันบอกว่า เฮ้ย…ไม่ต้องคิดหรอก มันทำให้เรานอนไม่หลับมันไม่ดีต่อ บลาๆๆ…สอนมัน…เปรียบเหมือนเป็นน้ำสีขาว มีน้ำสีดำอยู่แล้ว แล้วก็เอาน้ำสีขาวใส่ลงไป มันก็เลยเป็นน้ำสีเทา สกปรกเหมือนเดิม!!

แต่ถ้าเรามาอยู่กับ “ความรู้สึกตัว” เปรียบเหมือนน้ำใส ความรู้สึกตัวไม่มีค่า ไม่มีความหมาย ไม่มีอะไร มันว่าง มันเป็นความว่าง น้ำใสนี้ใส่ลงไปในน้ำสีดำ ถ้าน้ำใสมันมีเยอะ น้ำสีดำก็จะกลายเป็นน้ำใสในที่สุดใช่มั้ย? ก็นั่นแหละ “น้ำใส มันก็คือ ความสะอาด สว่าง สงบ” แล้วเดี๋ยวมันก็หลับได้

ถ้าเรามัวแต่ไปเติมน้ำสีขาว น้ำสีขาว ต่อให้น้ำสีดำมันกลายเป็นน้ำสีขาว มันก็ยังเป็นสีขาวอยู่ดี มันไม่ใช่ใส เราแค่เปลี่ยนจากสีนึงเป็นสีตรงข้ามมัน…แค่นั้นเอง

ถึงบอกว่าคน positive thinking พ้นทุกข์ไม่ได้ จะพ้นได้ก็ชั่วคราว ถ้าเจอความทุกข์หนักๆ จนคิดดีไม่ได้ทำไง?  ก็แพ้อยู่ดี

แต่การที่เราจะพ้นทุกข์ไปได้ เราต้องพ้นจากความคิดปรุงแต่งไปให้ได้ เราพ้นไปได้เพราะเรารู้สึกตัว

มันเหมือนกับว่าเก้าอี้ดนตรี ความรู้สึกตัวที่มันจับจองเก้าอี้ตัวนี้ไปแล้ว ความปรุงแต่งนี่มันเข้ามาไม่ได้ เพราะความรู้สึกตัวนี้มันจับจองเก้าอี้นี้ไปแล้ว แต่ถ้าเราปล่อยให้ความรู้สึกตัวนี้หายไป ไอ้ความปรุงแต่งความคิดกิเลสตัณหามันก็มาจับจองพื้นที่ของหัวใจเราเองแทน มันมีแค่นั้นเอง

เพราะฉะนั้น เราไม่ได้มีหน้าที่คิดดีไปกลบความคิดไม่ดี แต่เรามีหน้าที่ว่า เมื่อไหร่ที่เราปกติอยู่เนี่ย เราต้องขยายฐานแห่งความเป็นปกตินี้ แห่งความว่างนี้ ให้มันจับจองพื้นที่หัวใจเรา จนอย่างอื่นเข้ามาไม่ได้ มันเข้ามาไม่ได้เอง

เราไม่สามารถคิดดีได้ตลอด คิดดีนี้เป็นอุบายเฉยๆ ไม่ใช่ทาง เหมือนคนมายืมเงิน  เป็นญาติเราวันนี้ยืมเงินเรา ครั้งแรกให้  ครั้งสองก็ยืมอีก เดี๋ยวก็ยืมอีกๆ แถมไม่คืนอีกต่างหาก ยืมไปเรื่อยๆ เดิมเราก็มีเมตตาดีใช่มั้ย? ญาติเราต้องช่วย เค้ามาอีกรอบญาติเราต้องช่วย มาอีกรอบญาติเราต้องช่วยอีกได้มั้ย? เริ่มเปลี่ยนความคิดหล่ะ ไม่ไหวแล้ว!!

เนี่ย…ความคิดดีมันมีจำกัด มันคิดดีเหมือนเดิมไม่ได้ เพราะเมื่อไหร่เราคิดดี มันมีการตัดสินใจให้ค่า ดีก็มีไม่ดี ครั้งแรกเราก็ว่าเหมาะสมไม่เป็นไรญาติกันก็ช่วยกัน ครั้งสองก็เริ่มไม่เหมาะสม ครั้งสามยังไม่คืนครั้งแรกเลย มันช่วยไม่ได้ ในที่สุดมันช่วยไม่ได้ เราไม่ต้องไปเสียเวลากับการเอาอะไรกลบอะไร แต่ถ้าจำเป็น…เป็นอุบายก็ต้องใช้ก่อนที่จะช่วยในบางเรื่อง

Camouflage

16-Apr-2016

YouTube: https://youtu.be/q0vfxu0BAkM

คลิปเสียงธรรมะทั้งหมดของคุณ Camouflage : https://goo.gl/RDZFMI

======================

5 ช่องทางการอ่านและฟังธรรม

1) Facebook : สุขกาย สุขใจ SookGuySookJai
http://www.facebook.com/sookguysookjai

2) Line : @camouflage.talk
https://line.me/R/ti/p/%40camouflage.talk

3) YouTube : สุขกาย สุขใจ SookGuySookJai
https://goo.gl/in9S5v

4) Website: https://camouflagetalk.com

5) Podcast : Camouflage – Dhamma Talk
-iPhone https://itun.es/th/t6Mzdb.c

-Android https://goo.gl/PgOZCy