32.เวลา…โอกาส…ทางเลือก

ตอนที่ 1 ไม่เป็นปฏิปักษ์

ชีวิตที่แท้จริงมันก็มีอยู่กับเราตลอดเวลาที่เราเป็นปกติอยู่

ในขณะที่เราเป็นปกติอยู่ เราไม่มีความอยาก ไม่มีความไม่อยาก ไม่มีตัณหา ไม่มีความหวัง ไม่มีความคาดหวังอะไร ชีวิตเรามันไหลไปตามกระแสธรรมชาติ

กรรมทั้งหลายมันอยู่กับเราอยู่แล้ว ให้เราต้องทำนี่ ทำโน่น ทำนั่น มันมาเอง เราไม่ต้องรีบขวนขวายจะไปเจออะไรเลย เดี๋ยวก็มีคนเรียกเราไปพม่า เดี๋ยวก็มีคนเรียกเราไปทำนี่ ไปทำนั่น ไปทำโน่นเอง

มันเป็นการไหลไปตามธรรมชาติโดยที่เราไม่เป็นปฏิปักษ์ อย่างเช่น ที่ต้องไปพม่า เราก็ไม่ค่อยอยากไปเท่าไหร่ จริงๆแล้วเราไม่ค่อยอยากไปไหนหรอก  แต่เพราะหน้าที่…เราก็ต้องไป ถ้าเราไม่อยากไป เราก็ต้องทุกข์ใช่มั้ย?  แต่มีงานอย่างนี้ เราก็รู้ว่าเราต้องไปอย่างนี้ มันก็จบ..ไม่มีอะไร

มันไม่เป็นปฏิปักษ์กับกระแสของธรรมชาติ หรือกระแสของกรรมของตัวเอง มันไปไหนก็ได้ ทำอะไรก็ได้…ปกติ

 

ตอนที่ 2 เลื่อนไหลไปตามธรรมชาติ

การมีชีวิตที่แท้จริง…จริงๆ มันเหมือนไม่มีชีวิตเหมือนกัน…มันไม่ใช่รู้สึกว่า นี่ชีวิตเรา

มันเป็นความว่าง มันเป็นความปกติ บางคนเรียกว่า เป็นคนไม่มีหัวใจ…เซน (Zen) ชอบพูดเรื่องแบบนี้

จิตกับความว่างนี้เป็นคนละอย่างกัน เรามีจิต แล้วจิตนี้ไปรู้จักความว่างอีกทีนึง จิตไม่ใช่ความว่าง แต่เป็นตัวรับรู้ความว่างนี้อีกทีนึง แล้วจิตมันก็ไม่ใช่ตัวเราด้วย

แต่ถ้าเรายังหลงผิดอยู่ จิตนี้ก็สร้างความเป็นตัวเราขึ้นมาได้ เพราะเราไปยึดเอาจิตนี้เป็นของเรา จิตมันคิดอย่างนี้ มันรู้สึกอย่างนี้ อย่างโน้น อย่างนั้น แล้วพอวันนึงที่เราพ้นไปจากความยึดมั่นถือมั่นในกายในจิตอันนี้ว่าเป็นตัวเรา ทุกอย่างมันก็ทำงานแบบ “อิสระ

มันเป็นการไหลไปตามวิถีธรรมชาติเฉยๆ ว่ามันต้องเป็นแบบนี้ ก็ต้องเป็นแบบนี้ แต่เราก็เลือกได้อะไรที่มันเหมาะสม ไม่เหมาะสมกับเรา ที่เราจะทำหรือไม่ทำ

บางคนไปประเมินความเป็นพระอรหันต์ด้วยความคิดของตัวเอง…จริงๆแล้วมันเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ยากมาก มันไม่ใช่เรื่องที่คนทั่วไปจะเข้าใจได้ แต่สิ่งๆ นึงที่พวกเราน่าจะพอรู้กันได้ ก็คือว่า พระอรหันต์ควรจะไม่มีทุกข์แล้ว ควรจะไม่มีกิเลสแล้ว

ชีวิตที่แท้จริงเป็นชีวิตที่เกี่ยวเนื่องแต่ไม่ผูกพัน ไม่ผูกพันไม่ยึดติด อย่างที่เคยบอกว่า พระพุทธเจ้าโดนด่าว่าไม่มีหัวใจก็เป็นแบบนี้ เพราะว่าท่านมีความเมตตาแต่ไม่มีความผูกพัน  มีความเมตตา เช่น ออกไปสอนคน เรียกว่าไปโปรดสัตว์อะไรแบบนี้ จริงๆ พระพุทธเจ้าก็ไปตามหน้าที่ ไปตามกระแสของธรรมชาติเหมือนกัน

ความเมตตาที่แท้จริง คือไม่มีความเมตตา มันมีหน้าที่อย่างเดียว แต่หน้าที่นั้นมันกระจายพลังงานที่แปลได้ว่าเป็นความเมตตาอีกทีนึง

คนที่กำลังแสดงความเมตตาตามที่คนอื่นรู้สึก คนนั้นไม่ได้มีอะไร ไม่ได้มีความเมตตาด้วย มันเป็นพลังงานตามธรรมชาติเฉยๆ ที่มันอ่อนโยน มันอ่อนนุ่ม ไหลไปตามกระแสของจิตใจของคนของสถานการณ์นั้น…แค่นั้นเอง

เหมือนถ้าทุกคนในห้องนี้จิตใจก็ปกติอยู่…ธรรมะ ความอ่อนโยน ความอ่อนนุ่มอะไรต่างๆ มันก็ออกมาตามธรรมชาติตอนนั้นเป็นแบบนี้

แต่ถ้าอยู่ดีๆ มีคนเป็นบ้าขึ้นมา เราก็ต้องควบคุม น้ำเสียงก็ต้องออกมาอีกแบบนึงใช่มั้ย? ที่จะหยุดคนนี้ไว้…อะไรอย่างนี้

เหมือนเวลาสอนธรรมะใคร บางคนนี่หยุดคิดไม่ได้เลย เราก็ต้องเสียงดังขึ้นมา…มันเป็นเองเลย เราต้องเสียงดังขึ้นมาเพื่อจะหยุดคนนั้นให้ได้ เราต้องใช้พลังงานเยอะ  เนี่ย…มันจะเป็นสิ่งที่มันเกี่ยวเนื่องกัน ฟังๆ ดูเหมือนเราดุ

เพราะฉะนั้น ผมเลยบอกว่าในความเป็นจริงแล้วที่เรารู้สึกกันว่าครูบาอาจารย์เมตตา คือ ลึกๆ จริงๆ แล้ว ภายในนี้ไม่มีอะไร ว่าง เป็นปกติอยู่ แต่ว่าการแสดงออกนี้ขึ้นอยู่กับคนฟังว่าจะต้องโดนให้แสดงท่าทาง Acting แบบไหนที่จะเป็นประโยชน์กับเค้าที่สุด

การปฏิบัติธรรม เป็นเรื่องของ feeling ความรู้สึก สัมผัส ไม่ใช่คิดเอาว่ามีหลักการ อย่างเช่น ครูบาอาจารย์ต้องเมตตา ต้องพูดนิ่มๆ ต้องนิ่งตลอด หรือบางคนก็ต้องดุ เป็นบุคลิกนี้ตลอด…ไม่ใช่แบบนั้น ทุกสิ่งก็เปลี่ยนตลอดตามสิ่งแวดล้อม

 

ตอนที่ 3 ตอนปกติเป็นช่วงเวลาที่สำคัญมาก

จุดสูงสุดในการปฏิบัติธรรม คือ พวกเราจะต้องเข้าถึงความปกติหรือความว่างนี้ให้ได้ เพราะมันเป็นบ่อเกิดของทุกสิ่งที่มันจะออกมาอย่างบริสุทธิ์ พอดี บนพื้นฐานของความไม่มีตัวตน

ตอนนี้ทุกคนมีโอกาสดีมากๆ มีชีวิตที่ราบรื่นแบบนี้ถือเป็นช่วงชีวิตที่สำคัญมาก ทุกคนยังมีบุญมีบาป มีช่วงเวลาแห่งความสุข ช่วงเวลาแห่งความทุกข์ ช่วงเวลาที่อะไรก็ตามอาจจะถาโถมเข้ามาใส่เราเมื่อไรก็ได้

ในช่วงเวลาที่มีค่าตอนนี้ ที่เราเป็นปกติดี ราบรื่นดี มีความสุขดี แต่เราไม่รีบจะตัดสินใจทำอะไรให้กับชีวิตตัวเองอย่างถึงที่สุด  แล้ววันนึงความทุกข์ที่เราไม่คาดคิดถาโถมเข้ามา…รับมือไม่ทันเลยทีนี้ อยากจะทำก็ทำไม่ทัน ความทุกข์มันเยอะเกินไป มันเยอะเกินไปที่เราจะรับมือได้

ผมจะบอกตลอดว่า เวลาที่สำคัญที่สุดของพวกเราทุกคน ก็คือ เวลาที่เราปกติอยู่ ส่วนเวลาที่พวกเรามีความทุกข์เข้ามา จิตใจกระเพื่อมหวั่นไหวแล้ว ถามว่าปกติได้มั้ย? ไม่ได้เลย..ใช่มั้ย? ใช้เวลาเยอะ กว่าจะปกติได้ พอปกติได้ ก็ได้แว๊บเดียว เดี๋ยวคิดอีกหล่ะ เพราะเรื่องนั้นที่เข้ามามันยังไม่จบ

คำว่า “ถาโถม” คือ มันไม่จบ มันยังไม่เคลียร์ (Clear) ซักทีนึง ไม่ใช่เรื่องที่จบง่ายๆ  แล้วเดี๋ยวก็คิดอีกหล่ะ คิดอีกหล่ะ…คิดจนเหนื่อย แล้วก็กลับมาปกติหน่อยเพราะมันล้า คิดต่อไม่ได้  มันล้า..คิดจนล้าแล้ว…หลับ

เพราะฉะนั้น อาการถาโถมของความทุกข์แบบนี้ เมื่อลองย้อนเปรียบเทียบกับอดีตที่เราเคยปกติดี ราบรื่นดี เราจะคิดเลยว่าเมื่อก่อนนี้เราน่าจะปฏิบัติธรรม…เราเสียดายเลยทันที เป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่สุดของชีวิต

แล้วถ้าความทุกข์นั้นเป็นความทุกข์ทางร่างกาย สมมติว่าเป็นแล้วไม่หาย กว่าจะทำใจได้เป็นหลายปี เป็นปี…เสียเวลา

อาจารย์กำพลไม่ใช่ว่าเป็นพิการอย่างนั้นแล้วจะปฏิบัติธรรมได้เลย ไม่ได้เหมือนกัน ทุกข์อยู่นานมาก ทุกข์อยากจะตาย อยากจะฆ่าตัวตายเหมือนกัน จนวันนึงมีคนเอาหนังสือหลวงพ่อเทียนให้อ่าน…อยากจะตายแล้วแต่ก็อ่านๆดู ทำอะไรไม่ได้แล้วหนิ มันทุกข์จนไม่รู้จะทำยังไงแล้ว  คนเราพอมันทุกข์มากๆ จิตมันก็น็อค

ทุกคนเคยทุกข์มากๆ อยู่แล้วใช่มั้ย? พอทุกข์มากๆ จิตใจมันอ่อนเพลีย มันก็น็อคลง ก็สงบลง พอสงบลงสมมติจะหยิบหนังสือมาอ่านซักหน่อย…ก็เข้าใจได้ ก็เริ่มทำ มันเริ่มทำได้ตอนไหน? ตอนปกติแล้ว

เพราะฉะนั้น ตอนปกติเป็นเวลาสำคัญ สำคัญมากๆ เราดูตัวอย่างครูบาอาจารย์ได้ อย่างหลวงพ่อคำเขียนที่เปลี่ยนจากปุถุชนคนธรรมดากลายเป็นพระอริยบุคคล ไม่ใช่มีหลวงพ่อคำเขียนทำได้คนเดียวหรอก ทุกคนก็ทำได้  ถ้าเราทำ…ก็แค่นั้นเอง

 

ตอนที่ 4 เวลา โอกาส ทางเลือก

เคยบอกเพื่อนคนนึงที่ชอบไปเที่ยว บอกว่าเอาเวลาที่ไปเที่ยว หรือที่คิดว่าจะไปเที่ยวตลอดเวลานี้ เอามาลงทุนให้เป็นพระโสดาบันก่อน แล้วจะไปไหนค่อยไป รับรองเที่ยวสนุกกว่าเดิม เพราะอะไร? เพราะเที่ยวแบบเราไม่ต้องดิ้นรนจะได้ความสุขก็ได้ ไปก็ได้…แต่พอถึงเวลาก็ไม่อยากไปเอง สบาย ประหยัดตังค์อีก

เพราะฉะนั้น  ถ้าเราเอาการปฏิบัติธรรมมาเป็น priority แรก ทิ้งชีวิตที่เราเห็นว่าเป็นความสำคัญทั้งหลายทางโลกออกไป แล้วก็ปฏิบัติธรรมอันนี้ให้มันสำเร็จซักขั้นนึงก็ยังดี ให้ปิดอบายให้ได้ก่อน อย่างพระโสดาบันเค้าว่า ปิดอบาย ปิดนรกได้ เพราะอะไร? เพราะว่าจิตนี้ไม่มีความดิ้นรน นรกก็หายไป

นรกนี่เราสร้างเอง ไม่ใช่ว่านรกรอเราอยู่ ไม่ใช่แบบนั้น เรานั้นแหละสร้างนรกเอง นรกมันเลยไม่เคยเต็ม จิตใจแต่ละคนนี่แหละสร้างที่อยู่ให้ตัวเอง จะเป็นนรกรูปแบบไหน ก็ตัวเองนี่แหละสร้างเอง ออกแบบเองหมด

คล้ายๆ จิตใจนี้เป็นพลังงาน ทุกอย่างเป็นการเหนี่ยวนำกันของพลังงานทั้งหลายในโลกในจักรวาลนี้ จิตหรือพลังงานก็เหนี่ยวนำไปที่ต่างๆ ที่มันเหมาะกับมันพอดีๆ ทำไมต้องมาเป็นลูกคนนี้ ทำไมต้องมาเป็นอย่างนี้ ทำไม? เพราะมันเหนี่ยวนำ พอดีๆ ฉะนั้น จิตใจที่มันสร้างนรกด้วยตัวเอง มันก็เหนี่ยวนำไปสถานที่แบบนั้นได้…ไปแบบนั้น

เพราะฉะนั้น เราต้องใช้เวลาให้คุ้มค่าทุกนาที ให้เรามาอยู่กับความเป็นปกติเอาไว้

สมมติเราวางแผนจะทำงานทางโลกที่จะใช้เวลาอีก 3-5 ปี แต่ถ้าบังเอิญ 3-5 ปีนี้เรามีโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงจิตใจตัวเอง… โอ้!! นี่คุ้มกว่าเยอะ คุ้มกว่าไปทำอะไรแบบนั้น

เคยมีเรื่องในพระสูตรบอกว่าพระพุทธเจ้าเดินผ่านขอทานคู่นึง (ไม่แน่ใจว่าเป็นขอทานตั้งแต่แรกรึเปล่านะ)  แล้วตรัสว่า คู่นี้ถ้าเริ่มปฏิบัติธรรมตั้งแต่ตอนนี้จะได้เป็นพระอรหันต์

เวลาผ่านไป คู่นี้ก็คงใช้เวลาทำอะไรต่างๆของเค้า พอพระพุทธเจ้าผ่านไปเจอคู่นี้อีก ท่านก็ตรัสว่าถ้าคู่นี้มาปฏิบัติธรรม(มาบวช)จะได้เป็นพระอนาคามีในชาตินี้ แต่พวกเค้าก็ยังไม่สนใจ

ผ่านไปอีกหลายปีก็เจออีก…ท่านตรัสว่า ถ้ามาบวชจะได้เป็นพระสกิทาคามี…แต่พวกเค้าก็ไม่เอา

เวลาผ่านไปอีก…ท่านตรัสว่ายังได้เป็นพระโสดาบัน

เวลาผ่านไป เจออีกทีเป็นขอทานแล้ว พระก็ถามพระพุทธเจ้าว่า แล้วถ้าตอนนี้บวชยังมีโอกาสมั้ย? พระพุทธเจ้าตรัสว่า…ไม่มีโอกาสแล้ว

นี่พวกเค้าคู่นี้ยังไม่ตายนะ แค่เวลามันผ่านไปเฉยๆ โอกาสก็ลดลงไปเรื่อยๆ

เพราะฉะนั้น เรื่องของ “เวลา…โอกาส…ทางเลือก” ที่เราทุกคนจะต้องเลือกมันเป็นขั้นตอนสำคัญมาก ถ้าเราผลัดมันไปเรื่อยๆ ก็จะเป็นเหมือนคู่นี้

เรามีโอกาสที่เราจะพ้นทุกข์ได้ แต่เราก็ทิ้งมันไป

เวลาเป็นสิ่งที่เอาคืนมาไม่ได้ เสียแล้วเสียเลย ความตายเป็นสิ่งที่เอาคืนไม่ได้เหมือนกัน ตายแล้วตายเลย เราจะไปนอนในโลงต่ออายุไม่ได้ด้วย…ไม่มีจริงแบบนั้น

เวลาเป็นเรื่องสำคัญมาก ไม่อย่างนั้นระดับการบรรลุธรรมจะลดลงไปได้ยังไง  สมมติว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง จิตมันไหลลงไปเรื่อยๆ คล้ายๆ ที่บอกว่า ความว่างนี้เป็นตัวชำระล้างจิตใจที่เต็มไปด้วยอนุสัย สันดาน สังโยชน์ทั้งหลาย แต่ถ้าเวลาเราไม่พอล่ะ มันยังล้างไม่หมดมันก็พ้นไม่ได้

วันๆนึงเราใช้ชีวิตผ่านไปโดยมีแต่กิเลสทั้งนั้น หมุนลงหมุนลงไปเรื่อยๆ สะสมความสกปรกไปเรื่อยๆ  พอพร้อมจะล้าง ก็ต้องล้างไอ้ที่มันสะสมข้างนอกออกไปก่อน แทนที่จะพ้นได้ซักขั้นนึง…ไม่พอ เพราะว่าธาตุขันธ์นี้อยู่นานไม่ได้…ตายก่อน มันก็หมดเวลา ทีนี้พอมันตายก่อนมันจะไปไหน…ก็ไม่รู้สิ กรรมจะพาไปไหนก็ไม่รู้

เพราะฉะนั้น ความประมาทเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ตอนสุดท้ายที่สำคัญมาก “จงยังชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท

 

ตอนที่ 5 ก้าวผ่านความกลัวไปให้ได้

เราเห็นแล้วว่าการปฏิบัติธรรมนี้มีคุณค่ามาก แต่สิ่งที่เรายังเหลืออยู่คือ “ความกลัว

การที่จิตใจนี้จะพัฒนาได้นั้นจำเป็นต้องก้าวผ่านขอบเขต (Boundary) ของความเชื่อ ของความคิดตัวเอง มันต้องก้าวผ่านไป ต้องก้าวผ่าน Beyond ผ่านไป

ถ้าเราได้ลองที่จะก้าวผ่านไป ชีวิตเราจะมีความก้าวหน้าใหม่ เราจะมีความสามารถทางจิตใจที่มันกว้างขวางขึ้น มันเพิ่มขึ้น เหมือนสิ่งที่เราเคยคิดว่าเราทำไม่ได้แล้วเราทำได้ พอเราทำปุ๊บ…มันทำได้นี่หว่า

เหมือนเราเคยกลัวสถานที่ที่นึง แล้วเราไม่กล้าไป แต่พอเราได้เข้าไป อ้าว..ไม่มีอะไรนี่ คล้ายๆ ว่า เราก็จะถอดถอนความกลัวที่เรามีอยู่ออกไปได้นิดนึงหล่ะ ต่อไปเราจะไปสถานที่ไหนเราก็จำได้ว่าเคยกลัวนี่ แต่จริงๆ ไม่มีอะไร เราคิดไปเอง เราจะไปอีกที่นึงคล้ายๆ ลองดูก็ได้ อาจจะยังกลัวอยู่แต่ก็ลองดูก็ได้ เพราะเคยผ่านอันนั้นมาแล้ว

เพราะฉะนั้น เราจำเป็นต้องผ่าน boundary ขอบเขตอันนี้ที่มันขวางเราไว้ ลองดู ลองผ่านไปดูมันเป็นยังไง ถ้าเราผ่านไปได้ มันจะเกิดมุมมองใหม่ขึ้นมากับชีวิตเราว่า โอ๊ะ…ทำได้นี่

 

ตอนที่ 6 ละบาป บำเพ็ญบุญ ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว

บุญนี้ทำให้กันไม่ได้ เราต้องทำบุญด้วยตัวเอง ในขณะที่เราเป็นมนุษย์เราต้องทำบุญด้วยตัวเอง

คนที่บอก “อนุโมทนาๆๆ” หลวงตามหาบัวเคยเปรียบเทียบว่า คนที่ทำบุญเหมือนได้กินน้ำเต็มแก้ว แต่คนที่อนุโมทนาเหมือนได้กินน้ำแค่ก้นแก้วของคนทำบุญที่กินน้ำนี้แล้วจนหมดแก้ว…เนี่ย!! อนุโมทนาได้แค่นี้

เราจะได้บุญ เพราะจิตใจเราเปิดรับบุญนั้น ยินดีกับเค้า จิตใจมันเป็นกุศล การที่จิตใจตัวเองเป็นกุศลนี้เราทำเองไม่ใช่เค้าทำ เพราะเราเห็นว่าเค้าทำสิ่งที่ดี จิตใจเป็นกุศล ยินดีกับเค้า บุญมันเลยเกิดขึ้น มันเลยเป็นหยดน้ำ แต่ถามว่าเค้าทำให้มั้ย? ไม่ใช่…เราต่างหากทำให้ตัวเอง มันไม่ใช่ใครทำให้ได้ เราทำให้ตัวเอง

เหมือนอย่างกรณีฆ่าตัวตาย คนทุกคนรักตัวเองที่สุดในโลกใช่มั้ย? สมมติเราจะตรวจเบาหวานเอาเข็มมาจิ้มตัวเอง เรายังไม่กล้าจิ้มเลยใช่มั้ย?…กลัวเจ็บ แล้วเราจะฆ่าตัวตาย ลองคิดดูว่า คนๆนึงจะฆ่าตัวตายได้เนี่ย จิตนี้มันต้องลงไปลึกขนาดไหน หดหู่ขนาดไหน เศร้าขนาดไหน ภาวะแห่งความทุกข์นั้นมันรุนแรงขนาดไหนจึงตัดสินใจจะฆ่าตัวตายได้…มันต้องรุนแรงมาก

แล้วพอจิตที่มันลงไปลึกขนาดนั้น สมมติมันเป็นบ่อลึกลงไปเลย 100 โยชน์ แล้วก็มีบุญมาให้ เราก็อุทิศบุญให้คนนี้ คล้ายๆ ว่า เราตะโกนเรียกมันว่า “เอ้ยย..ขึ้นมา” “อย่าลงไปในนั้น” เค้าไม่ได้ยินเพราะอะไร? เพราะจิตมันรับไม่ได้

หรือเทียบง่ายๆ ทุกคนเคยโกรธและมีคนบอกว่า เออ..ใจเย็นๆ อย่าโกรธเลย อย่าโกรธเลย หายมั๊ย? ไม่หาย  แค่โกรธยังไม่หายเลย จิตที่มันเป็นอกุศลอยู่นี้มันรับอะไรไม่ได้ สมมติว่าเราไปทำอะไรอย่างนั้น แล้วจิตมันก็เป็นอกุศล…มันก็รับบุญไม่ได้ มันรับอะไรแบบนั้นไม่ได้

เหมือนอย่างมีคนมาบอกว่าหลวงพ่อชาว่า ทำไมหนูทำบุญตั้งเยอะตั้งแยะ ทำไมชีวิตไม่เห็นจะดีขึ้นเลย มีแต่ความทุกข์ มีแต่ความลำบาก? หลวงพ่อบอกว่า เพราะมันไม่เคย “ละบาป

พระพุทธเจ้าสอนเรา 3 อย่าง ละบาปข้อแรก บำเพ็ญบุญ แล้วก็ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว พวกเราทำแต่บุญไม่ค่อยละบาป อย่างโกรธนี่…ละไม่ได้ใช่มั้ย? เรามีแต่โลภ หลง…หลงไปคิดทั้งวันไม่เลิก

เพราะฉะนั้น ชาวพุทธเราส่วนใหญ่ทำอะไร?  ทำแต่บุญ แต่ไม่เคยละบาปอกุศล พอไม่ละบาปอกุศล มันก็เหมือนพอกดินเหนียวใส่ตัวเราเรื่อยๆ กุศลหาทางเข้าไม่ได้จนกว่าเราจะเอาดินเหนียวนี้ออกไปก่อน กุศลก็จะมีทางเข้า

มันเหมือนกัน…คนที่ตายไปแล้ว เค้าจะรับส่วนบุญได้ นั่นหมายความว่า จิตใจเค้านี้มันต้องมีทางเข้าของกุศล แล้ว กุศลมันถึงจะไปถึงเค้าได้ เรากับเค้าเป็นญาติกันมา เป็นพ่อแม่ลูกกันมา มีกรรมกันมาอย่างนี้ ความเชื่อมโยงของเส้นสายแห่งกรรมนี้มันอาจจะยังมีอยู่

 

ตอนที่ 7 ความปกติเป็นกุศลอันสูงสุด

ถ้าเราฝึกปฏิบัติธรรม จิตใจเรามันจะว่าง จะปกติ ความว่าง ความปกตินี้เป็นกุศลอันสูงสุด จะเรียกอย่างนั้นก็ได้

ในความเป็นจริงแม้ว่าเราไม่ต้องระลึกถึงใครเลยแต่มันก็เป็นพลังงานที่แผ่ไปอยู่แล้ว มันเป็นพลังงานที่มันเป็นไปโดยอัตโนมัติของธรรมชาติเลย มันไปเอง เราไม่ใช่ต้องไปนั่งแผ่ให้ใคร

จิตใจเรานี้ถ้ามันปกติ มันเหมือนเทียน สมมติเราเป็นเทียนแล้วเราก็บอกว่า “อ้าว…พี่เตรียมรับความสว่างจากผมนะ” ต้องบอกเค้ามั้ย? ทุกคนก็สว่างแล้ว มีเทียนอยู่ใกล้ๆ ไม่ต้องให้ใครมานั่งรับ ต้องแผ่ให้ใคร…ไม่ต้อง มันไปหมดอยู่แล้ว

อย่างพระอรหันต์ จิตท่านไม่มีไป ไม่มีมาแล้ว หมายความว่าอะไร? เพราะว่าจิตนี้เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติเดิมแท้ ก็คือ ความว่างนี้แล้ว ดังนั้น พลังงานของพระอรหันต์ พระพุทธเจ้า พระอริยะทั้งหลายมันครอบโลกครอบจักรวาลไปแล้ว มันเป็นหนึ่งเดียวกับทุกสิ่งอยู่แล้ว

เพราะฉะนั้น มันอยู่ที่ว่าใครต่างหากจะรับได้ มันไม่ใช่ว่าเราต้องไปให้เค้า อยู่ที่เค้ารับได้หรือเปล่า เท่านั้นเอง เหมือน Wifi อย่างนี้ก็ไปได้ มันไม่ต้องมีเส้นเคเบิ้ลอะไร มันก็ส่งสัญญานไปได้ มันก็มีอะไรที่มันส่งไปได้ มันถึงกันหมด

ถ้าเราอยากจะอุทิศบุญกุศล สมมติว่าเป็นพ่อแม่ลูก เป็นญาติพี่น้องความเชื่อมโยงของกรรมนี้มันยังเชื่อมโยงอยู่มันอาจจะเหมือนกับเป็น VIP ก็ไปถึงคนนี้ก่อนเพราะมันถึงตรงกว่าคนอื่น เพราะมีกรรมร่วมกับคนนี้อยู่

แต่สุดท้ายมันขึ้นอยู่ที่เค้าว่าพร้อมรับหรือยัง ถ้าเค้าพร้อมรับแล้ว มันเหมือนน้ำ ไหลลงจากที่สูงลงที่ต่ำ…มันก็ไปได้ เราเต็มแล้วแต่เค้ายังไม่เต็มมันก็ไหลไปได้ มันอยู่ที่เค้าจะรับได้แค่ไหน

สมมติว่าภาวะจิตที่เป็นกุศลคือปกติอยู่ มันรับได้ แต่แป๊บเดียวมัน shutdown แว๊บ…ผิดปกติแล้วเหมือนมันปิด ตัวตนนี้มันมาปิด ปิดบังธรรมชาติเดิมแท้ไว้ มันก็รับอะไรไม่ได้ ก็เหมือนที่หลวงพ่อชาบอก บาปก็ปิด กุศลก็เข้าไม่ได้ทั้งที่กุศลถูกส่งอยู่ตลอด

เพราะฉะนั้นถ้าเราอยากอุทิศบุญกุศลให้กับญาติพี่น้องเรา บรรพบุรุษเรา ทำจิตใจให้มันเป็นกุศลสูงสุด ก็คือ ปกติ แล้วมันจะถึงไม่ถึง รับได้รับไม่ได้ ไม่ใช่เรื่องของเรา ไม่ใช่เรื่องที่เราจะต้องไปกังวล ต้องไปคิดถึง ระลึกถึงอะไรอย่างนี้…ไม่ต้อง ปล่อยเป็นหน้าที่ของธรรมชาติให้เค้าทำงาน  แค่นั้นเอง

 

Camouflage

18-Aug-2016

 

YouTube: https://youtu.be/SgnWcUmXAk0

คลิปเสียงธรรมะทั้งหมดของคุณ Camouflage : https://goo.gl/RDZFMI

======================

5 ช่องทางการอ่านและฟังธรรม

1) Facebook : สุขกาย สุขใจ SookGuySookJai
http://www.facebook.com/sookguysookjai

2) Line : @camouflage.talk
https://line.me/R/ti/p/%40camouflage.talk

3) YouTube : สุขกาย สุขใจ SookGuySookJai
https://goo.gl/in9S5v

4) Website: https://camouflagetalk.com

5) Podcast : Camouflage – Dhamma Talk

-iOS https://itun.es/th/t6Mzdb.c

-Android https://goo.gl/PgOZCy