30.”ความสุข” ภายใต้ “ความทุกข์”

 

ตอนที่ 1 ไขว่คว้าหาความสุข

จิตใจทุกคนทุกข์ตลอด  เรามาปฏิบัติธรรมไม่ได้มีใครสนับสนุนเราหรอก คนในโลกส่วนใหญ่ก็คิดว่าเราบ้า “เอ้…ชีวิตเป็นไร ทำไมต้องมาปฏิบัติธรรม”  นึกว่าเราอกหัก  คนในโลกจะคิดแต่เรื่องไม่ดีทั้งนั้นว่าคนมาปฏิบัติธรรมนี้ต้องมีชีวิตที่ย่ำแย่แล้วหล่ะถึงมาปฏิบัติธรรม

เรายังพัวพันกับในโลก ยังมีความสัมพันธ์ Bonding กับในโลก ในสังคมเยอะ เราก็กังวลหน่อย…เราก็เลยทุกข์

แต่ความทุกข์เหล่านี้มันก็จะช่วยเราว่า ถ้าเรายังเป็นอย่างนี้อยู่ ลุ่มๆ ดอนๆ ครึ่งๆ กลางๆ ปฏิบัติไม่ไปไหน จิตใจเป็นอิสระไม่ได้ เราจะต้องทุกข์อย่างนี้ตลอดชีวิต…มันไม่ใช่แค่เรื่องนี้หรอก ต่อให้เรากลับไปในโลกก็เถอะ เราไม่ทุกข์เรื่องนี้ เราก็ทุกข์เรื่องนั้น เราทุกข์เรื่องอื่นอยู่ดี

อย่างล่าสุดไปเห็นใน Facebook  ที่เดี๋ยวนี้จะมีภาพอดีต  Memory ขึ้นมา  มีคนโพสต์ว่า…. “6 ปีก่อน ทำไมชีวิตเครียดอย่างนี้”   แล้วก็มาโพสต์ใหม่…“6 ปีผ่านมา…ชีวิตยังเหมือนเดิม

เนี่ย!!…คนเราไม่เคยรู้ตัวเลยว่าเกิดมาตั้งนานอายุจะ 40 ปีแล้ว ชีวิตก็ยังเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลง เครียดเหมือนเดิม มีอะไร เหมือนเดิมๆ วันๆ ชีวิตไขว่คว้าหาความสุข ไปเที่ยวมาตั้งหลายประเทศแล้ว ไปเที่ยวที่โน่น ที่นี่ ที่นั่น เช่น ยุโรป แต่มันก็ไม่เห็นจะมีอะไรดีขึ้น

เราลองนึกดูบ้างสิ…พวกเราเคยไปเที่ยวต่างประเทศกันมาตั้งเยอะแยะ…มีอะไรเหรอ?  คิดกลับไปมีอะไรเหรอที่ไปมา…ไม่มีอะไรเลย

แต่พอถึงวันนี้ก็คิดว่า เฮ้ย…จะจัดโปรแกรมหน้าเลยดีกว่า ให้ชีวิตมันมีอะไร ให้ชีวิตนี้มันมีความหมาย มีคุณค่าขึ้นมาตามความคิดตัวเองว่าจะได้ความสุข ได้อะไรดีๆ จากการได้ไปเผชิญโลกกว้าง…เราก็คิดแบบนั้น

แต่ถ้าเราคิดแบบนั้นปุ๊ป…ก็ให้เราคิดกลับไปในอดีตด้วยว่าที่ผ่านมาได้อะไร…ไม่มีอะไรเลยที่ผ่านมา

ผมเคยไปเมืองจีน…จำชื่อได้เลย “น้ำตกเต๋อเทียน”  เป็นการนั่งรถที่ยาวนานมาก  ออกมานั่งรถตั้งแต่ตี 4  ระหว่างทางเป็นชนบทขึ้นเขา เวลาจะไปปัสสาวะผู้หญิงก็ต้องเอาร่มไปด้วยเพราะข้างทางไม่มีห้องน้ำ ต้องเอาร่วมกางแล้วปัสสาวะ ผู้ชายยืนก็ง่ายหน่อย

ไปถึงน่าจะประมาณ 10 โมงเช้าพบว่า  น้ำตกเต๋อเทียนไม่มีน้ำ  มาแทบตาย….ไม่มีน้ำ  แล้วยังต้องมากินอาหารภัตตาคารตามข้างทางของเขาซึ่งเป็นอาหารที่ไม่ถูกปากหรอก

เนี่ย!!…มันมีแต่ความทรมานแต่เราก็ชอบไปกัน  เหมือนบางคนไปขึ้นเขาสูงๆ แล้วตายเพราะอากาศมันน้อย  ออกซิเจนไม่พอ  คนแก่ๆ พอขึ้นไปก็หัวใจวายตาย…ส่งกลับบ้าน   นี่ไปเที่ยว!! หนักกว่าทำงานอีก

 

ตอนที่ 2 ความสุขภายใต้ความทุกข์

คนเราเข้าใจผิดคิดว่าเราไปเที่ยว เราไปพักผ่อน ไปทำอะไรๆ สบาย  ถามจริงๆ เถอะ ไปพักผ่อนจริงๆ เหรอ  ต้องวางแผน ตื่นแต่เช้า ขับรถ และไปถึงที่นั่นก็ต้องได้ความสุขด้วย

สมมติว่า เรากำลังจะไปเที่ยวที่แพงๆ เราลงทุนจ่ายเงินไปเยอะ  เคยสังเกตไหมว่า เวลาไปถึงที่นั่นแล้วเราต้องได้ความสุข… “สวยมากเลย”…แต่จริงๆ มันก็เฉยๆ นะ  พยายามคิดว่า…“ไม่น่าเชื่อเลยว่าเมื่อก่อนนี้เขาสร้างมาได้ยังไง”  พยายามหาความมหัศจรรย์ Amazing ให้กับตัวเองว่า…“มันไม่ธรรมดาจริงๆ

แต่ถ้ามีความเป็นปกติมองเฉยๆ ก็จะรู้สึกว่า…“มาทำไม??? ดูอินเตอร์เน็ตก็ได้เหมือนกัน บางทีเขาถ่ายรูปสวยกว่าที่เราเห็นอีก…ตาเราไม่ค่อยดี” (ฮาๆๆ)   มันทุกข์ตลอดแต่เราไม่เห็น

ความทุกข์ที่มันลึกล้ำที่สุดก็คือว่า “เมื่อเราไปถึงแล้วเราพยายามจะได้ความสุขในแบบที่เราลงทุนมา”  อันนี้เป็นสิ่งที่ไม่มีใครเคยเห็นว่าความพยายามจะได้แบบนั้น…เป็นทุกข์  เป็นทุกข์แล้ว

และเราไปเที่ยวเราก็ไม่ได้ไปคนเดียว ไปกับเพื่อน ไปกับพี่น้อง ไปกับครอบครัว  เราก็รู้สึกว่าอยากจะเห็นเขามีความสุขด้วย ช่วยบิ้วด์ (Build) ไง  “ชอบมั้ยๆ ดีมั้ย”  เราพยายามจะบิวท์คนข้างๆ ให้เค้ารู้สึกว่ามีความสุขด้วยจากการที่มา

การบิ้วด์ ๆๆ…เหนื่อย…เราก็รู้สึกว่าเราเหนื่อย..เหนื่อยที่จะให้คนอื่นมีความสุขด้วย  เพราะคนอื่นมีความสุขแล้วเราก็จะมีความสุขด้วย

นี่!!!…เป็นความทุกข์ทุกขณะของการที่เรากำลังจะแสวงหาบางสิ่ง  “เราแสวงหาบางสิ่งนี่ก็ทุกข์แล้ว”  ทำไมผมถึงบอกว่าทุกขณะของชีวิตเรามันดิ้นรนตลอด…ก็เพราะมันแสวงหาตลอด

พอเรานั่งเฉยๆ ก็จะคิดว่า อืม…วันอาทิตย์นี้ว่าง จะกินข้าวที่ไหนดี  พอกินข้าวเสร็จ  เอ้อ…ไปไหนต่อดี  มันจะเป็นอย่างนี้ตลอดทุกครอบครัวแหละ

แต่ถ้าทุกคนในครอบครัวรู้จักปฏิบัติธรรม…ก็สบาย   ทุกคนปกติอยู่  ไม่มีความอยาก ไม่ต้องไปไหน  ปกติอยู่ในห้องตัวเอง ไม่มีความดิ้นรน ไม่มีความอยากจะทำอะไร…สบายจะตาย  ประหยัดเงิน  ประหยัดทรัพยากรธรรมชาติ  ไม่ต้องดิ้นรนแสวงหาที่จะไปไหนๆๆ

ทุกคนต้องสังเกตว่า “ทุกความสุขที่เรากำลังแสวงหามันอยู่ภายใต้ความทุกข์อีกทีนึง” ความทุกข์นั้นบีบคั้นให้เราไปทำเพื่อจะได้ความสุข  ที่ผมเคยเรียกว่า “มันเป็นความทุกข์ที่ลดลงไปหน่อยเท่านั้นเอง”  มันไม่ใช่ความสุข

มันจะเป็นลักษณะเหมือนกับว่า สมมติมีกระทะทองแดงอันนึง ไม่มีน้ำ ข้างล่างเป็นไฟ กระทะก็ร้อนมาก  เราก็ไปวิ่งอยู่บนนั้น…มนุษย์เราเป็นแบบนั้น เหมือนเราวิ่งอยู่บนกระทะทองแดง  จังหวะที่เท้าเราลงไปปึ้ง…ทุกข์  เราจะหนีความทุกข์ก็เหมือนเราพยายามแสวงหาความสุข  โดยการยกเท้าขึ้นปึ้ง…สุข  แล้วก็ลงไปใหม่ ทุกข์…สุข  ทุกข์…สุข  แต่สุขแบบนี้มันเป็นสุขอะไร?  “สุขภายใต้ความทุกข์” เพราะมันยังอยู่ในกระทะเหมือนเดิม

สุขที่แท้จริงคือ ออกมาจากกระทะให้ได้  ถ้าเรากระโดดออกมาจากกระทะได้ เราจะเจอความสุขที่แท้จริง

ทุกวันนี้ชีวิตพวกเราเป็นแบบนี้ คือ อยู่บนกระทะทองแดง  เราได้ความสุขเพราะเรายกขาขึ้นมาได้  แต่เดี๋ยวก็ต้องลงไปใหม่  เพราะความสุขแบบนี้มันไม่ยั่งยืนมันตกอยู่ภายใต้อนิจจังเหมือนกัน  เหมือนเรายกขาไม่ได้ตลอดชีวิตเหมือนกันต้องเอาขาลง

 

ตอนที่ 3 หนีความทุกข์

ความสุขแบบนิพพานนี้เป็นความสุขที่มันเป็นความพ้นทุกข์  มันไม่เคยเปลี่ยนแปลง  มันอยู่ยังไงก็อยู่อย่างนั้น  มันไม่เคยเกิดไม่เคยดับ

เพราะฉะนั้น ถ้าเราเข้าถึงนิพพาน ก็เหมือนเรากระโดดออกมาจากกระทะเรียบร้อยแล้ว เขาเรียกว่า ไม่มีความเสียดแทง ไม่มีความดิ้นรน ไม่มีความบีบคั้น ไม่มีอะไรเลย…ไม่มีอะไรเลยแต่มีชีวิตอย่างมีความสุขบนร่างกายทุกข์ๆ นี่แหละ

เรายังต้องมีความทุกข์ รับความทุกข์จากธาตุขันธ์  แต่จิตใจนี้ไม่มีความดิ้นรน

จิตใจที่มีความดิ้นรนก็เหมือนกับไฟ มันเป็นสภาพที่เป็นทุกข์มาก มันเป็นสภาพที่ทรมาน

ความดิ้นรนเหมือนกับเรามีนรกติดตัว เราอยู่ในนรกตลอดแต่เราไม่เคยเห็นมันเพราะเราคอยวิ่งหนีมันตลอด

เราเบื่อนิดนึง เราทุกข์หน่อยนึง เราก็วิ่งไปหาอย่างอื่นทำเพื่อคลายมัน เราพยายามปกปิดมันเอาไว้ เราไม่พยายามจะเรียนรู้มันว่า ชีวิตเรานี้จริงๆ แล้วเป็นทุกข์มาก ทุกข์ตลอดเวลา

แต่เรากลับหนีมัน พยายามปิดบังมันเอาไว้ เราก็เลยไม่มีโอกาสพ้นทุกข์เลย เราก็เลยต้องอยู่ในทุกข์นั้นตลอดจนตาย  ตายแล้วเกิดใหม่…ทุกข์ใหม่อีก

 

ตอนที่ 4 ความมุ่งมั่น

ถ้าเราเห็นว่าชีวิตมันเป็นทุกข์ขนาดนั้นได้  อันนี้เป็นกำลังสำคัญที่จะทำให้เรารู้ว่า “งานสำคัญที่สุดของชีวิตเรา คือ งานที่จะไปสู่ความพ้นทุกข์” ไม่มีงานไหนสำคัญกับเรามากกว่างานนี้อีกแล้ว

ไม่อย่างนั้นในสมัยพุทธกาล…พระพุทธเจ้าคงไม่ทิ้งทุกอย่างเพื่อไปบวช เข้าป่าไปหาทางพ้นทุกข์  ลูกศิษย์พระพุทธเจ้าสมัยก่อนก็เป็นมหาเศรษฐี ลูกพ่อค้า ลูกกษัตริย์ทั้งนั้นที่ไปบวช

ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาของคนไม่มีทางเลือก  คนเค้ามีทุกอย่างเค้ายังทิ้งเพื่อมาปฏิบัติทางนี้   เพราะคนที่มีทุกอย่างเค้ารู้หมดแล้วว่า มีทุกอย่างไปก็เหมือนเดิม ชีวิตก็เหมือนเดิม ไม่มีอะไรเลย

เหมือนเราคิดง่ายๆ ในอดีตเราได้ตั้งหลายอย่าง ประสบความสำเร็จตั้งหลายอย่าง ไปเที่ยวตั้งหลายที่ เราได้ความสุขหลายๆอย่างที่ทุกคนเขาได้กันแล้ว   แต่ถ้าเราคิดกลับไปทีไร “ก็งั้นๆ แหละ”…ตลอด  ไม่มีอะไรน่าสนใจ

เราคิดแค่นี้เราก็รู้แล้วว่า  ชีวิตเราจะดำเนินต่อไปอย่างนี้อีกหรือ?  เราจะใช้ชีวิตอย่างนี้ต่อไปอีกทำไม?  ไปอยู่ในวงจรเดิมๆ ไม่รู้อีกกี่ 10 ปี  40-50 ปีผ่านมาแล้วยังจะใช้ชีวิตเหมือนเดิมตลอดอย่างนี้อีกเหรอ?  มันจะดูโง่เกินไปรึเปล่าที่จะทำแบบนั้น

เพราะฉะนั้น “ความมุ่งมั่น” สำคัญ  เราต้องพิจารณาด้วยตัวเอง  เชื่อมั่นในตัวเอง  เชื่อมั่นในพระพุทธเจ้า  แล้วเราก็ตัดสินใจที่จะเลือกทางของตัวเองให้ได้

ชีวิตของเราที่จะเลือกทางๆ นี้ มันเป็นชีวิตของเราไม่เกี่ยวกับใคร  เวลาเราตกนรกคนอื่นไม่ได้ตกเป็นเพื่อนด้วย  เราตกคนเดียว  ถ้าวันนี้มีใครที่จะเป็นห่วง  ที่คอยทัดทานเราเอาไว้  คอยทำให้เราไขว่เขวต่อทางนี้  เราต้องเข้มแข็งที่จะไม่สนใจมัน

เวลาเราตายเราไปคนเดียวไม่มีใครไปเป็นเพื่อนเรา  คนที่ทัดทานเราไม่มีใครไปเป็นเพื่อนเรา  อันนี้เป็นหน้าที่สำคัญของทุกคนที่จะต้องมุ่งมั่นทางนี้ให้ได้

ผมเคยอ่านหนังสือหลวงพ่อคำเขียน ท่านเล่าว่า เมื่อก่อนไปกราบหลวงพ่อเทียน และก็ฝึกปฏิบัติธรรมขยับมือตามแนวของหลวงพ่อเทียน  ผ่านไปเดือนนึง  หลวงพ่อคำเขียนใช้คำว่า “จิตเปลี่ยน”  แต่พวกเราก็สามารถตีความได้ว่าเป็นโสดาบันก็ได้  ตอนจิตเปลี่ยนครั้งแรก ภรรยากำลังท้องอยู่ 4 เดือน  หลวงพ่อไปบอกภรรยาว่า จะไปบวช….หนักกว่ากรณีพระพุทธเจ้าอีก  แต่ภรรยาท่านก็ไม่ว่าอะไร

ตอนเป็นฆราวาส หลวงพ่อคำเขียนเป็นคนที่คนในหมู่บ้านนั้นนับน่าถือตา ท่านเหมือนเป็นหมอยาด้วย และเมื่อก่อนท่านก็ชอบไสยศาสตร์แนวๆ มีฤทธิ์มีอาคม  แต่พอมาเจอหลวงพ่อเทียน ท่านก็ทิ้งเลยไม่เอาแล้วขณะที่ภรรยาท้องอยู่ 4 เดือน ท่านก็ไปบวชเลย

เราจะเห็นว่า ไม่ใช่พระพุทธเจ้าองค์เดียวที่ทำแบบนั้น  คนรุ่นหลังๆ เขาก็ทำเหมือนกัน  คนเจออะไรที่มันเป็นของจริงแล้ว  มันไม่มีทางกลับไปทำอะไรบ้าๆ บอๆ ในโลกอีก   คนในโลกอาจจะว่าหลวงพ่อคำเขียนว่า ไม่ทำหน้าที่  สุดโต่ง  ไม่ทางสายกลาง  ว่าอะไรก็ได้

ถ้าหลวงพ่อคำเขียนฟังแบบนั้นก็ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น..ถูกมั้ย? ถ้าหลวงพ่อคำเขียนไปฟังเสียงพวกนั้น วันนี้คงไม่มีครูบาอาจารย์อย่างหลวงพ่อคำเขียนสอนพวกเราแน่  เพราะฉะนั้น หลวงพ่อคำเขียนเสียสละคนเดียว แต่คนรุ่นหลังที่ได้ประโยชน์มีไม่รู้เท่าไหร่ มากเท่าไหร่

เราต้องดูตัวอย่างคนสำคัญอย่างพระพุทธเจ้า ตัวอย่างสาวกของพระพุทธเจ้าเช่น หลวงพ่อคำเขียนก็เป็นตัวอย่างได้  และก็ยังมีอีกหลายองค์ไม่ใช่มีแค่องค์นี้องค์เดียวที่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร และต้องทำอะไร

การที่เราไปติดกับอะไรๆ พระพุทธเจ้าเรียกว่า “ติดมนุษย์”   ถ้าสมมติว่าภรรยาท้อง 4 เดือนแล้ว หลวงพ่อคำเขียนไปบวชไม่ได้….นี่เรียกว่าติดมนุษย์  พระพุทธเจ้าก็สอนไม่ให้ติดมนุษย์เหมือนกัน

 

ตอนที่ 5 โอกาสอันมีคุณค่าที่สุดในชีวิต

ถ้าเรามั่นใจในคำสอนพระพุทธเจ้าว่า ในความเป็นจริงแล้วไม่มีสัตว์ ตัวตน บุคคลเราเขา  ทุกอย่างเป็นกรรมเฉยๆ  แล้วเราทุกคนมีหน้าที่ที่จะพ้นทุกข์  ถ้าเราเกิดมาตั้งแต่เด็กและในประเทศนี้คุณครูสอนเราแบบนี้ ทุกคนจะปฏิบัติธรรมอย่างเดียว

แต่เพราะสังคมนี้เขาสอนให้เราทำอีกอย่างนึง  การปฏิบัติธรรมเพื่อไปสู่ความพ้นทุกข์มันเลยเป็นสิ่งที่ยาก  เพราะเราถูกโปรแกรมตั้งแต่เด็กว่า การเกิดมาเป็นคน ต้องทำแบบนี้ๆๆ…เรียนหนังสือ มีครอบครัว มีลูก มีหลาน มีกิจการ มีหน้ามีตาในสังคม  เราถูกสอนตั้งแต่เด็กให้เป็นแบบนั้น เราก็ต้องเชื่อแบบนั้น การออกมาปฏิบัติธรรมเลยยาก เพราะในหมู่สังคมเขาเชื่อกันอย่างนั้นหมด  เราจะแหกคอกก็เลยลำบาก

เส้นทางนี้มันจึงเป็นทางของคนจำนวนน้อย คนส่วนน้อยไม่ใช่คนส่วนใหญ่  เราอย่าเป็นคนส่วนใหญ่ เหมือนเล่นหุ้น  ถ้าเราเป็นคนส่วนใหญ่เราขาดทุน เราต้องเป็นคนส่วนน้อย เค้าขายเราต้องซื้อ เค้าซื้อเราต้องขายให้เค้า ไม่งั้นเรารวยไม่ได้

เหมือนกันกับการทำการค้า ทำเสื้อยืด ทำอะไรก็ได้ เราจะทำการค้าเราต้องคิดใช่มั้ยว่า เราต้องทำอะไรที่ไม่เหมือนคนอื่นใช่มั้ย? เราต้องมีจุดขายของเราใช่มั้ย? เราต้องมีจุดที่เราขายได้ เราต้องทำสิ่งที่คนอื่นยังไม่ทำ กิจการเราถึงจะเจริญรุ่งเรืองเติบโตได้….คนนี้เค้าบริการไม่ดี เราบริการให้ดี….อย่างนี้ ..ง่ายๆ อย่างนี้

เพราะฉะนั้น จริงๆ ธรรมชาติของสรรพสิ่งนี้มันบอกอยู่แล้ว  ทำไมถั่งเช่าถึงแพง?  ทำไมเห็ดหลินจือถึงแพง?  ก็เพราะมันมีน้อย  ของดีๆ มันมีน้อย

ธรรมชาติมันบอกเราอยู่แล้วทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นหุ้น กิจการ การค้า ก็เหมือนกัน  ถ้าเราไปทำตามๆ กัน  สุดท้ายไม่พ้น Red Ocean  ตัดราคา ไม่ได้อะไร

ทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นธรรมะอยู่แล้ว  เพียงแต่เราจะหยิบจับมาใช้กับชีวิตเราให้ได้รึเปล่า…แค่นั้นเอง  ถ้าเราหยิบจับใช้ให้ได้ เราจะรู้เลยว่า ชีวิตที่เรากำลังจะเลือกทางเดินที่เรากำลังเดินอยู่นี้ มันถูกหรือผิดกันแน่ มันใช่หรือไม่ใช่  มันมีประสิทธิผล ประสิทธิภาพ ในแบบที่สมควรกับการเกิดมาของเราแล้วหรือยัง

เราดูทุกคนในห้องนี้ ทุกคนเกิดมาสำคัญที่สุดคืออะไร?  ครบ 32  เราเห็นคนพิการ คนไม่พร้อมเหมือนพวกเรา มีความทุกข์หลายอย่าง มีสุขภาพไม่ดี มีอะไรต่างๆ มากมายที่ไม่สมบูรณ์เหมือนเรา

และในความเป็นมนุษย์นี้ ความสมบูรณ์ก็มีไม่เท่ากันอีก  ความสมบูรณ์ในทางร่างกาย ทางอาชีพ ทุนทรัพย์ ต่างต่างนานามีไม่เท่ากันอีก

เพราะฉะนั้น เราต้องภูมิใจกับความสมบูรณ์ของพวกเราทุกคนที่มันมีจนไม่น่าเชื่อว่าเราจะมีบุญขนาดนี้ได้ยังไง ที่เราจะเกิดออกมามีร่างกายครบ 32  ไม่เป็นโรคอะไร..ออทิสติกอะไรอย่างนี้ ไม่เกิดมาเป็นดาวน์ซินโดรม

เรามีคุณสมบัติพร้อม…พร้อมจนไม่รู้จะพร้อมยังไงแล้วที่จะได้ใช้โอกาสแบบนี้ที่จะพาตัวเองให้พ้นทุกข์ไปให้ได้   ดังนั้น  เราต้องตระหนักให้ชัดถึง “โอกาส” อันมีคุณค่าที่สุดในชีวิตเรา

 

Camouflage

12-Aug-2016

 

YouTube: https://youtu.be/DGMTz0t9skQ

คลิปเสียงธรรมะทั้งหมดของคุณ Camouflage : https://goo.gl/RDZFMI

======================

5 ช่องทางการอ่านและฟังธรรม

1) Facebook : สุขกาย สุขใจ SookGuySookJai
http://www.facebook.com/sookguysookjai

2) Line : @camouflage.talk
https://line.me/R/ti/p/%40camouflage.talk

3) YouTube : สุขกาย สุขใจ SookGuySookJai
https://goo.gl/in9S5v

4) Website: https://camouflagetalk.com

5) Podcast : Camouflage – Dhamma Talk
https://itun.es/th/t6Mzdb.c