3.เห็นความปกติ

 

ตอนที่ 1 เอาตัวเรา ไปละตัวเรา จะไปละได้อย่างไร?

ถ้าเห็นความปกตินี้อยู่  ในขณะที่เห็นความปกตินี้อยู่  ถ้าถามว่ามีเรา มีมั๊ย…ไม่มี

มันไม่มีการเกาะเกี่ยวอะไรเลย มันปล่อยแล้ว ความปกตินี้มันมีอยู่แล้วในทุกคน แต่เราไม่ค่อยสนใจมันเท่านั้นเอง

สมมติว่าเวลาเราอยู่บ้าน นั่งเฉยๆ หรือว่าจะผ่านการออกกำลังกายมา หรือไปทำอะไรมา พอเหนื่อยแล้วก็นั่งพัก ความปกติก็เกิดขึ้นแล้ว ถูกมั๊ย

ถ้าเราสังเกตเห็น เฉยๆ ตอนนี้ไม่มีอะไร ก็นั่งพักเหนื่อย เฉยๆ เบาๆ ไม่ได้มีความต้องการ ไม่ต้องการ ไม่ได้มีความอยาก ความไม่อยากอะไร ก็เฉยๆอยู่

อันนี้แหละ เราก็เห็นมัน เห็นความรู้สึก อ้อ “ตอนนี้ความรู้สึกมันพักอยู่ มันหยุดอยู่แล้ว เห็นความรู้สึกตัวนี้

ในขณะนั้น ถามว่าต้องไปละมั๊ยตัวตน…ไม่ต้องละ

มันละแล้ว มันไม่มีอะไรไปเกาะ ความรู้สึกมันเฉยๆ ที่มันไม่มีความอยาก ไม่มีความต้องการ ไม่มีต้องการ ไม่มีไม่ต้องการอะไรนี่ ถามว่ามันต้องไปละอะไรอีก มันไม่มีอะไรให้ละแล้ว มันเกลี้ยงของมันแล้วในตอนนั้น อันนี้แหละคือ“พุทธะที่มีอยู่แล้วในคนทุกคน

มันไม่ใช่ว่าเราต้องไปละอะไร อันนั้นเป็นความเข้าใจผิดเหมือนกัน ในความเป็นจริงมันไม่ต้องละอะไร เราเห็นอันนี้อยู่นี่มันละเอง

คล้ายๆ เราเรียนมาว่า จงละความมีตัวมีตน ละความยึดมั่นถือมั่นว่านี่เป็นเรานี่ของเรา ละความเห็นผิด หรือว่าละความยึดมั่นถือมั่น ละตัวกูของกูนั่นแหละ พูดง่ายๆ แล้วถามว่ามันละได้จริงๆมั๊ย คนที่อ่านหนังสือหนะ ไม่เห็นมีใครละได้ ผมก็อ่านเหมือนกัน ละไม่ได้เหมือนกันเมื่อก่อนนี้…ใช่มั๊ย มันละไม่ได้

เพราะว่าในขณะที่เราพยายามจะละนี้มันมีเราไปพยายามจะทำอะไรบางอย่างแล้ว “ก็มันมีแต่ตัวเราที่จะไปทำ แล้วเอาตัวเราไปละตัวเรา จะไปละได้อย่างไร มันละไม่ได้

แต้ถ้าเมื่อไรที่เราเห็นความรู้สึกปกตินี้อยู่ ในขณะนั้น ถามว่ามีมั๊ย ตัวเรา? ความรู้สึกมีมั๊ยว่ามีตัวเรา…มันไม่มี

เพราะมันไม่มีความต้องการ ไม่มีความไม่ต้องการ ไม่มีความอยาก ไม่มีความไม่อยาก มันเฉยๆ ขณะที่เราเฉยๆ ถามว่าเราจะมีอะไร…มันไม่มีอะไร ในขณะนั้น มันละหมดแล้ว“มันละเอง” นี่แหละคำว่ามันละเอง คือแบบนี้

 

ตอนที่ 2 มองผ่านเลนส์ของความไม่มีตัวเรา

ทางที่เราต้องระลึกถึงว่า ทางที่เป็นสัมมานี้ มันคืออะไร?

ที่ผมเคยบอกว่า ทางขึ้นเขานั้นมีหลายทาง แต่ทางนี้มันลัดตรง ทะลุ แทงทะลุอวิชชาเลย พูดง่ายๆ มันไปถึงพุทธะเลย ไปถึงพุทธะได้ทุกขณะที่เราเห็นมันอยู่ แล้วมันตรง มันเป็นสัมมาตลอด

แต่การที่เราไปพยายามที่จะเห็นไตรลักษณ์ พยายามที่จะเห็นอาการ ตามรู้อาการของจิตนี้ โอกาสหลงมันง่ายมาก ถูกมั๊ย เราลองสังเกตตัวเราเองก็ได้ โอกาสหลงเข้าไปในอาการนี่ง่ายมาก

พอมันหลงเข้าไปในอาการ สิ่งที่ตามมาคือคำถาม มีปัญหาแล้ว ทำไมเป็นอย่างนี้ ทำไมเป็นอย่างงั้น ทำไมมันเกาะไอนี่ ทำไมมันอึดอัด ทำไม…มีแต่ปัญหาทั้งนั้นเลย เห็นมั๊ย มันอ้อมเพราะแบบนี้แหละ

เพราะเราไปตั้งว่าเราจะต้องทำอะไร เราจะต้องเห็นอะไร เราจะต้อง…อะไร

แต่เราลืมสิ่งที่เป็นพื้นฐานที่สุดก็คือ “ความปกติ คือ ศีล” ที่พระพุทธเจ้าบอก ศีล สมาธิ ปัญญา ขั้นแรกคือศีล … เห็นปกติก่อน

นั่งสบายๆ อยู่บนความไม่อั้นไม่กลั้นนั่นแหละ ไม่มีอะไร พอมันเข้าสู่ความเป็นปกติ ปุ๊บ เราจะเห็นอะไรก็ตาม มันก็ “เห็นบนพื้นฐานของความไม่มีตัวเรา

สมมติเราเห็นความปกติอันนี้อยู่ พอเราเห็นจิตมันไปคิด เราก็เห็นมันไปคิด ใช่มั๊ย เราก็เห็นมันปกติอยู่ใช่มั๊ย คือมันใช้ฟังและสมองไม่ได้ มันต้องใช้เห็นเอง ฟังกับสมองนี้มันเป็นเรื่องของความคิดทั้งนั้น มันจะจินตนาการตลอด

แต่ถ้าบอกให้เห็นว่า เหมือนที่ถามเมื้อกี้ว่าเห็นมั๊ย ตอนนี้จิตมันพักอยู่ มันปกติอยู่ มันไม่มีอยาก ไม่อยาก ในภาวะนั้นมันไม่มีอะไร มันก็ไม่มีตัวเราด้วย มันเป็นสภาวะแห่งพุทธะนั่นแหละ ที่มันมีอยู่แล้ว

แต่เราก็หลงลืมมันไป ไม่ค่อยเห็นมัน เรามัวแต่จะไปเฝ้ามองหาอย่างอื่น เช่น เฝ้าดูไตรลักษณ์ เฝ้าตามดูจิต อะไรแบบนี้ ซึ่งถ้าเห็นถูกมันก็ได้ แต่ส่วนใหญ่มันเห็นไม่ถูก “มันหลงเข้าไปในอาการของจิต” ประเด็นคือแบบนั้น

เราจะเห็นสภาวะอะไร เราเห็นด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง แต่คนส่วนใหญ่ที่ทำผิดเพราะมันเห็นด้วยจิตที่ยังไม่ตั้งมั่นและไม่เป็นกลางด้วย มันเลยหลงเข้าไปในอาการพวกนั้นหมด แล้วพอหลงเข้าไปปุ๊บ มันก็ติดอยู่อย่างนั้น พอติดอยู่ปุ๊บ ก็สงสัยอีก ก็ติดซ้ำสองอีก

เริ่มจากปกติก่อน” นี่เป็นสำคัญ ถ้าเราปกติอยู่มันจะตั้งมั่นและมันจะเป็นกลางด้วย แต่มันก็มีไม่เป็นกลางด้วยเพราะว่าสมาธิมันยังไม่หนาแน่นพอ ก็ไม่เป็นไร แต่ขอให้เริ่มให้ถูก “ขอให้เริ่มมองสภาวะต่างๆ ผ่านเลนส์ของความไม่มีตัวเรา” ที่ผมบอก

เลนส์ของความไม่มีตัวเรา ก็คือการเห็นความรู้สึกนั่นแหละคือรู้สึกอยู่ ไม่ใช่เรารู้สึก เห็นความรู้สึกอยู่

 

ตอนที่ 3 เริ่มจากความสบาย

วันนี้เริ่มแบบนี้ ถึงเวลาจะเริ่มนั่งสมาธิใช่มั๊ย ให้นั่งหายใจเข้า หายใจออก สบายๆ ลืมตาไม่ต้องหลับตา หายใจเข้า หายใจออก สบายๆ ไม่ใช่ว่าต้องลึก ต้องไม่ลึกอะไร แล้วแต่ตัวเองเลย เอาสบาย

นั่งสบายๆ แล้วเราจะรู้สึกถึงความที่จิตมันเริ่มสงบ มันเริ่มระงับ มันเริ่มปกติ มันเริ่มเฉยๆ สบาย โปร่ง โล่ง ไม่มีอะไร นั่นแหละ แล้วก็เห็นว่า อ้อ ตอนนี้เป็นแบบนี้แล้ว อ้อ เห็นความรู้สึกแบบนี้แล้ว เห็นแล้วเห็นตอนนี้มันเฉยๆแล้ว มันปกติแล้ว

ก็รู้สึกมันเป็นอย่างไร ก็รู้สึกมันเป็นปกติแล้ว คล้ายๆถามตัวเอง รู้สึกมั๊ยว่าจิตก็สงบระงับแล้ว  ปกติแล้ว เฉยๆแล้ว นี่อันนี้จะเป็นการสอนตัวเองได้ว่า ความปกตินี้มันมีอยู่แล้ว เราไม่ได้ไปทำมันขึ้นมา มันเริ่มจากความสบาย

วันนี้ลองขยับมือดู จะได้ไม่ต้องหลับตา เราก็ลองขยับมือไป ขยับมือนี่มันจะไม่รู้สึกเมื่อยหรอก มันจะไม่รู้สึกว่ามีภาระของการขยับมือ เพราะมันไม่มีเรา มันก็เห็นเป็นร่างการขยับเท่านั้นเอง ร่างกายขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว ในขณะนั้นเราก็เห็นความรู้สึกยังปกติอยู่ เฉยๆ ไม่มีอะไร ไม่ได้รุ่มร้อน ไม่ได้ขี้เกียจทำ ไม่ได้คิดว่าเมื่อไรจะครบเวลา ไม่มีความกระวนกระวายอะไร

ถ้ามันมีก็เห็นว่านี่มันไม่ปกติแล้ว  ก็เห็นว่ามันไม่ปกติเฉยๆ ก็ไม่เป็นไร ก็ไม่ปกติก็ได้ ก็เคลื่อนไหวต่อ ก็รู้สึกถึงการเคลื่อนไหว มารู้สึกการเคลื่อนไหวต่อ รู้สึกตัวพูดง่ายๆ

เดี๋ยวพอมันรู้สึกตัวไปซักพักนึง มันสบาย โล่ง โปร่ง อ้าวปกติอีกแล้ว นี่แบบนี้ ก็แค่นี้เอง

ความปกติก็จะกินพื้นที่ของความไม่ปกติมากขึ้นเรื่อยๆแค่นี้เอง

แต่คอนเซปนี้คือ แค่เปลี่ยนนิดเดียวว่า นั่งปุ๊บ อย่าเพิ่งรีบที่จะทำ รีบจะปฏิบัติธรรม ไม่ใช่แบบนั้น นั่งปุ๊บก็เหมือนนั่งเล่น สบายๆ แต่ก็เห็นความรู้สึกว่ามันเป็นอย่างไร เริ่มสงบลง เริ่มปกติ โล่งแล้ว โปร่งแล้ว รู้สึกตัวเองเป็นอย่างไร

คล้ายๆว่าจุดเริ่มนี่เปลี่ยนนิดเดียวเอง ทีหลังมันเหมือนเดิมเหมือนกัน ก็อะไรเกิดขึ้นก็รู้ รู้แล้วก็ผ่าน แล้วก็กลับมารู้สึกร่างกาย แต่อันนี้ก็เปลี่ยนมารู้สึกการเคลื่อนไหวของร่างกาย ไม่ใช่ว่าไปดูมือเคลื่อนไหว ก็รู้สึกว่ามันเคลื่อนไหวอยู่ ร่างกายมันเคลื่อนไหวอยู่ แค่นั้นเอง ก็เหมือนเดิม

ขอให้เริ่มให้ถูกเท่านั้นเอง แต่เราเพิ่มหน่อยว่าเราเห็น เราเห็นแล้วว่าตอนนี้มันปกติแล้ว เห็นความรู้สึกมันปกติแล้ว เราเพิ่มอีกนิดนึงเท่านั้นเอง เราไม่ได้เปลี่ยนเยอะ

 

ตอนที่ 4 กินพื้นที่ความไม่ปกติ

เราเห็นสิ่งที่มันมีอยู่แล้ว เราต้องการเห็นสิ่งที่เรามีอยู่แล้ว มันมีอยู่แต่ว่าเราไม่เห็นมัน เราละเลย เราไม่สนใจสิ่งที่มีคุณค่า

ผมแค่บอกให้เราอย่าละเลย อย่าละเลยประตูสำคัญ อย่าละเลยมันแค่นั้นเอง แต่รู้ว่าอันนี้แหละที่จะไปเป็นทางลัดที่สุด

คล้ายๆว่าเมื่อก่อนนี้ เรามีความไม่ปกติอยู่ ทุกคนในโลกมีความไม่ปกติอยู่ตลอดทั้งชีวิต แต่เราจะกินพื้นที่ความไม่ปกตินี้ เราจะต้องทำอย่างไร เราก็ต้องเห็นความปกตินี้

เมื่อก่อนเราไม่เคยเห็นมันเลย พอเราเริ่มเห็นมัน ความปกตินี้แหละจะค่อยๆเข้ามากินพื้นที่ความไม่ปกติ “พอมันกินจนเต็มก็คือ จบ” ไม่มีความไม่ปกติเหลืออยู่แล้ว

พอมันไม่มีความไม่ปกติเหลืออยู่แล้ว มันก็ไม่มีเกิด ไม่มีดับ ไม่มีเกิด ไม่มีดับนั่นแหละก็คือเป็นพระอรหันต์ ไม่ต้องไปเกิดแล้ว เพราะมันไม่รู้ว่าจะเอาอะไรไปเกิด มันหมดเชื้อแล้ว

 

Camouflage

19 –May-15

 

ถอดไฟล์เสียงจาก YouTube : https://youtu.be/GrZJJXBIfxU

คลิปเสียงธรรมะทั้งหมดของคุณ Camouflage : https://goo.gl/RDZFMI

======================

5 ช่องทางการอ่านและฟังธรรม

1) Facebook : สุขกาย สุขใจ SookGuySookJai
http://www.facebook.com/sookguysookjai

2) Line : @camouflage.talk
https://line.me/R/ti/p/%40camouflage.talk

3) YouTube : สุขกาย สุขใจ SookGuySookJai
https://goo.gl/in9S5v

4) Website: https://camouflagetalk.com

5) Podcast : Camouflage – Dhamma Talk
https://itun.es/th/t6Mzdb.c