21.เหนือธรรมดา

ตอนที่ 1 อริยสัจ 4

คนอื่นเค้าคิดว่าได้ความสุขจากร่างกายนี้ เอาร่างกายนี้ไปหาความสุข เอาจิตใจนี้ไปทำตามความอยากก็ได้ความสุข เค้าเข้าใจว่ากายใจนี้มันเป็นสุข

แต่พระพุทธเจ้าบอกให้รู้ก่อนนะว่า กายใจนี้เป็นทุกข์ คือให้ “รู้ทุกข์” ให้รู้ว่าอะไรที่เป็นทุกข์

พอรู้แล้ว ก็ให้ “ละสมุทัย” ก็ให้รู้ว่าสมุทัยคืออะไร พอรู้ว่าสมุทัยคืออะไร ก็ละมันซะ แต่การละคือให้ไปรู้จักสภาพที่มันไม่ทุกข์ สภาพที่มันพ้นจากความปรุงแต่งไป เพราะความปรุงแต่งนี้แหละที่ทำให้เกิดทุกข์ มันเป็นเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ขึ้นมา

พอเรารู้จักสภาพที่พ้นจากความปรุงแต่ง ก็เท่ากับว่าเราก็ละสมุทัยเรียบร้อย “นิโรธ” ก็เลยเกิดขึ้น นิโรธคือความพ้นทุกข์ มันก็เลยเกิดขึ้นทันที

ในขณะนั้นเราก็รู้แล้ว อ๋อ…ต้องทำแบบนี้ มรรคถึงจะเกิด เรียกว่า “เจริญมรรค

ทางปฎิบัติธรรมนี้เป็นเหมือนเส้นด้ายเส้นเล็กๆ เพียงแต่เรารู้จักสภาพที่มันไม่ทุกข์ สภาพที่มันพ้นจากความปรุงแต่งทั้งปวง มันก็ละสมุทัย แจ้งนิโรธ เจริญมรรคเลยทันที

 

ตอนที่ 2 ปัจจัยสู่การพ้นทุกข์

ปัจจัยที่จะนำไปสู่การพ้นทุกข์ได้ ก็คือ รู้สึกตัว พ้นจากโลกของความคิด ไม่ตามความคิดไป และก็รู้จักความเป็นปกตินี้ไว้ แค่นั้นเอง

พอเราเข้าใจ เราจะไปเทียบเคียงกับหนังสือได้ ถ้าเรายังไม่เข้าใจ เราไปเทียบเคียงยังไงก็จะไปตามความคิดตลอด เพราะเราไม่มีหลักของตัวเอง

แต่พอเรามีผลของการปฎิบัติ เราจะมีหลัก แล้วเราจะเทียบเคียงกับหนังสือได้ถูกต้อง เราจะรู้อะไรผิดอะไรถูก เพราะเราเจอมาเองแล้ว

หลวงพ่อเทียนให้ “รู้สึกตัว เวลามันลักคิด ให้รู้ทัน” คำว่ารู้ทันก็คือ ไม่ตามมันไป ก็คือพ้นจากโลกของความคิดนั่นแหละ

ความรู้สึกตัวนี้แหละ มันพาให้เราออกจากโลกของความคิด มันก็อัตโนมัติเหมือนกัน เป็นผลทันทีที่เราพ้นจากโลกของความคิด ในขณะนั้นเราปกติอยู่มั๊ย? เราก็ปกติอยู่ คือมันครบหมดเลย สิ่งที่หลวงพ่อเทียนให้ทุกคนทำ

สภาพปกตินี้มีมั๊ยกิเลส?…มันไม่มี เพราะฉะนั้น กิเลสมันเหมือนผี มันไม่มีจริง มันมีตอนเราเผลอไปคิด ตอนเราหลงผิด ถ้าของจริงต้องมีอยู่ตลอด แต่นี่เดี๋ยวมันมี เดี๋ยวมันไม่มี แปลว่ามันไม่ใช่ของจริง

 

ตอนที่ 3 อย่าไปทำ อย่าไปสร้าง อย่าไปปกปิด

ความว่างนี้เราต้องเข้าใจก่อนว่า มันคือสภาพเดิมแท้ สภาพของจิตที่พ้นออกจากเมฆหมอก พ้นออกจากความปรุงแต่งทั้งปวง มันถึงจะเข้าถึงสภาพเดิมแท้ หรือสภาพของจิตประภัสสรนี้ได้

จิตใจที่มีอวิชชานี้เหมือนกับเมฆหมอกสีดำ แต่คนที่ไปทำสมาธิขึ้นมา ด้วยความตั้งใจจะทำสมาธิขึ้นมาซักอย่างนึง มันกำลังสร้างเมฆหมอกสีขาวอีกอันนึงขึ้นมา มันสร้างอีกสิ่งนึงมาปิดบังสภาพเดิมแท้นี้เอาไว้ มันเห็นก็เหมือนไม่เห็น

สภาพของสมาธิที่มาจากการ “ทำ” ขึ้นมา มันก็สร้างให้จิตนี้มีสภาวะอันนึงขึ้นมา สภาวะอันนี้มันก็คลุม…มันคลุมอีกทีนึง

ถ้าเปรียบเทียบ เรากำลังทำก้อนเมฆสีขาวขึ้นมาปิดบังดวงจันทร์ไว้อีกชั้นนึง เมื่อก่อนเรามีสีดำอยู่ เราก็พยายามจะทำยังไงไม่ให้ทุกข์ เราก็เอาสีขาวมาปิดเอาไว้ มันสวยดี เท่ากับเราปิดมัน 2 ชั้น

คนที่มีสมาธิมีฌาน เค้าไม่เห็นสภาพที่มีอยู่แล้วนั้น เพราะไป “สร้างจิตนี้ให้มันเหนือธรรมดา” ก็คือมีฌานรองรับ จิตที่เหนือธรรมดาจะเห็นสภาพธรรมดาไม่ได้ มันไปปิดเอาไว้ ไปปกไปปิดเอาไว้

 

ตอนที่ 4 ความมืดสีขาว

สภาพที่มีฌาน เค้าเรียกว่าสภาพเหนือจิตปกติ มันผิดปกติเหมือนกัน!! ถึงแม้มันจะดีก็ตามแต่มันผิดปกติ มันไม่ได้ใช้จิตเดิมๆ จิตธรรมดานี่แหละในการปฎิบัติธรรม มันไปใช้จิตผิดปกติ แต่เป็นผิดปกติไปในทางลอยขึ้น ทางสีขาว ทางสูงขึ้น เหนือธรรมดา มันก็เลยเห็นปกติไม่ได้

เหมือนเวลาเรามีความสุขมีความสบายจากการทำสมถะ ความสุขความสบายนี้ก็ดูเบา โปร่ง โล่งดีใช่มั๊ย? แต่รู้สึกมั๊ยว่าความเบา โปร่ง โล่งนี้ พอหมดกำลังสมถะ พอมันหายไป มันก็จะเป็นความรู้สึกเดิมๆอีกอย่างนึงของเรา ที่มันไม่สบายขนาดนั้น

สภาพเบา โปร่ง โล่งที่มันมีสมาธิเคลือบอยู่อีกชั้นนึง เลยเหมือนกับว่ามันคลุมสภาพเดิมๆที่เป็นสภาพเดิมแท้ มันคลุมเอาไว้อยู่

พอมันหายไป เราถึงจะรู้สึกถึงสภาพเดิมของเราได้ นี่แหละความมืดสีขาวถึงอันตราย

 

ตอนที่ 5 สมาธิที่มีอยู่แล้ว

ณานที่แท้จริงจะต้องเกิดเอง ณานที่ทำขึ้นมานี้เป็นเรื่องของศาสนาพราหมณ์ เป็นเรื่องของสมัยอุทกดาบส อาฬารดาบสทำแบบนั้น พระพุทธเจ้าไปทำแล้ว แต่ไปไหนไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องไปหาทางใหม่ ทรมานตัวเองจนสุดท้ายเจอทาง เจอทางก็คือ ทางที่เป็นสมาธิที่เกิดขึ้นเอง “สมาธิที่มีอยู่แล้ว ไม่ใช่ไปทำขึ้นมา

วันนึงที่บอกว่า ดีดพิณ ต้องเอาทางสายกลาง ก็เริ่มฉันอาหาร ฉันอาหารแล้วก็นั่งสมาธิ แล้วก็ไปนึกขึ้นได้ว่าสมัยเด็กๆเราเคยมีความสุขกับการนั่งสมาธิแบบนั้น แบบนั้นที่ไม่ใช่แบบที่อาฬารดาบสสอน อุทกดาบสสอน  พระพุทธเจ้าถึงเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมาได้

มันต้องเป็นสมาธิแบบที่ไม่ใช่ทำขึ้นมา ไม่ใช่สร้างขึ้นมา ไม่ใช่ไปเข้าณาน แต่ณานนี้จะมีขึ้นเอง มีขึ้นเองจากสิ่งที่มีอยู่แล้ว เหมือนที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า เราเปิดของคว่ำให้หงายขึ้น แค่นั้น

เหมือนกับบอกให้เรารู้ว่า จิตนี้มันประภัสสรอยู่แล้ว จิตเดิมแท้นี้มันสะอาด สว่าง สงบอยู่แล้ว เราเพียงแต่แหวกเมฆหมอกออกไป เราจะได้เห็น ดวงจันทร์ที่มันมีอยู่แล้ว สว่างไสวอยู่แล้ว เราแค่ชี้ให้เห็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว แล้วทุกคนก็แค่เห็นตามที่เราบอก แค่นั้น

เราไม่ได้ไปบอกให้ไปสร้างอะไรขึ้นมา ไม่ได้ให้ไปทำอะไรขึ้นมา เราเห็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว แล้วก็เข้าใจสิ่งที่มีอยู่แล้ว จนเข้าใจแจ่มแจ้ง ก็จบทางพ้นทุกข์ แค่นั้นเอง

 

ตอนที่ 6 “ทำ”ฌานไม่ใช่ทาง

คำสอนที่บอกว่าต้องไปเข้าณานก่อน ต้องไปฝึกณานให้ได้ก่อน ไม่ใช่ทางของพระพุทธเจ้า ถ้าใช่ทาง พระพุทธเจ้าทรงมีบุญบารมีขนาดนั้นต้องบรรลุไปแล้ว จะไปอดอาหารทำไม?

พระพุทธเจ้ามีบุญบารมีเยอะกว่าอุทกดาบส อาฬารดาบสเยอะ ไม่อย่างนั้นเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ ท่านต้องฉลาดมาก ทำไมถึงไม่พัฒนาทางนั้นต่อไปจนบรรลุ? เพราะมันไปไม่ได้ มันไปได้แค่นั้น

ทุกวันนี้มีคนเข้าใจผิดเยอะว่าทำณานแล้วจะบรรลุได้

ในขณะที่เรากำลังทำณานขึ้นมา “มีเราแล้ว” เรากำลังทำอะไรบางอย่างให้มันเกิดขึ้น จากการเพ่งอะไรก็ตาม

สมาธิแบบณานนี้ขึ้นๆลงๆ เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา “ต้องคอยทำขึ้น” คอยทำขึ้น ก็คือมีการกระทำ มีการทำสิ่งนี้เพื่อจะได้สิ่งนี้

แต่สมาธิที่เป็น “สัมมาสมาธิ” ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ทำขึ้นมา เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว เราแค่เข้าไปรู้ ไปเห็นมันเฉยๆ การเข้าไปรู้ไปเห็นมัน ไม่มีตัวเราเข้าไปทำ เราแค่มีการรู้การเห็นเฉยๆ

 

ตอนที่ 7 ค่อยๆ สะสมความว่าง ความปกติ

จิตใจนี้มันเหมือนกับว่า มืด100% แล้วผมก็บอกว่า ให้แหวกเมฆหมอกผ่านการทำในรูปแบบ ก็คือเดินนี่แหละ เดินไปเดินมาผ่านความรู้สึกตัวอีกทีนึง พอมันพ้นจากโลกของความคิด ความรู้สึกตัวมันแผ่ขยายมากขึ้น จิตใจนี้มันจะเป็นปกติได้

แต่เหมือนจิตนี้มืดดำ แล้วก็มีจุดสีขาวๆ หนึ่งจุดแค่นั้น แล้วพอ 1 ชั่วโมงที่เราทำในรูปแบบได้สีขาวมา 2-3จุดบนพื้นที่ขนาดใหญ่ที่เป็นสีดำ

พอเราไปในชีวิตประจำวันแล้วเราบอกว่า เราไม่เห็นความปกติเลย…ก็จะเห็นได้ยังไง!!

ต้องค่อยๆ สะสมไป ให้มัน ค่อยๆสัมผัส ให้เวลาความว่างนี้มันชะล้าง ความเป็นปกตินี้มันชะล้างจิตใจ เราต้องให้เวลามัน ที่ผมบอกให้ความตื่นตัว มันกินพื้นที่โมหะ เราต้องให้เวลามัน

เหมือนเราจะซักผ้า เราต้องค่อยๆซัก มันถึงจะค่อยๆชะล้างสีดำออกไปได้ ก็เหมือนกัน

ความเป็นปกติหรือความว่างที่เรารู้จักมัน เดี๋ยวมันจะค่อยๆเปิดเผย ค่อยๆชะล้างจิตใจ พอมันชะล้างคราบสกปรก ชะล้างกิเลสออกไป มันเปิดเผยตัวออกมา เราก็รู้จักเอง 84,000 พระธรรมขันธ์ก็ออกมาจากจิต ก็แบบนั่นแหละ

เหมือนเราดูหนัง อารดินขัดตะเกียงใช่มั๊ย? ขัดๆๆๆยักษ์ก็ออกมา…นี่แบบนี้

ความรู้ต่างๆ ก็ออกมาจากจิตใจที่มันถูกทำความสะอาดแล้ว บริสุทธิ์แล้ว

เรา “ทำหน้าที่” อย่างเดียว “ไม่ต้องคาดหวังอะไร

 

Camouflage

15-May-2016

 

ถอดไฟล์เสียงจาก YouTube : https://youtu.be/GjLgisTjpxg

คลิปเสียงธรรมะทั้งหมดของคุณ Camouflage : https://goo.gl/RDZFMI

======================

5 ช่องทางการอ่านและฟังธรรม

1) Facebook : สุขกาย สุขใจ SookGuySookJai
http://www.facebook.com/sookguysookjai

2) Line : @camouflage.talk
https://line.me/R/ti/p/%40camouflage.talk

3) YouTube : สุขกาย สุขใจ SookGuySookJai
https://goo.gl/in9S5v

4) Website: https://camouflagetalk.com

5) Podcast : Camouflage – Dhamma Talk
https://itun.es/th/t6Mzdb.c