19.นอกเหตุเหนือผล

 

ตอนที่ 1 เป็นผู้รู้ หมูกระดาษ

ผมเคยบอกหลายคนว่า พอรู้อะไรดีๆแล้วก็เริ่มชอบสอน…พอชอบสอน มันก็มีคนชอบถาม พอเราชอบสอนเค้าชอบถาม เราเลยกลายเป็นคนที่ต้องรู้เรื่องเยอะโดยปริยาย

พอเราเป็นคนที่ต้องรู้เรื่องเยอะ เราจะไม่ยอมที่จะไม่รู้เรื่องแล้ว เราเลยต้องกลายเป็นบุคคลคนหนึ่งขึ้นมาอีกอย่างนึง คือเราต้องเป็นผู้รู้ขึ้นมา เราก็ลำบากแล้วทีนี้ สงสัยอะไร เราต้องหาคำตอบให้ได้ เราก็เลยเข้าไปอยู่ในโลกของความคิด เราก็เลยกลายเป็น “หมูกระดาษ” ตัวใหม่ในชีวิตเราคือ เราเป็นผู้รู้ สุดท้ายมันลำบากตัวเราเอง…

ผมจะบอกบ่อยๆว่าการปฎิบัติธรรมคืออะไร? คือเราต้องปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั่งสิ่งนั้นจะเป็นความรู้ด้วยก็ตาม

เพราะในที่สุดเราปฏิบัติธรรม ไม่ใช่เพื่อจะได้อะไรเลย เพื่อจะปล่อยทุกสิ่ง ปล่อยวางทุกสิ่ง ทิ้งลงไป เราก็เป็นอิสระ

ถ้าเราไม่ปล่อย เราก็จะคิดว่าอยากได้นี่ อยากได้นั่น ต้องรู้ตรงนี้ ต้องรู้ตรงนั้น เป็นความรู้อะไรอย่างนี้ มันจะหนักสำหรับเรา

 

ตอนที่ 2 พ้นการปรุงแต่ง

เราเคยได้ยินคำว่า “จิตนี้พ้นจากสภาพปรุงแต่งทั้งปวง” เราเคยได้ยินแบบนี้ใช่มั๊ย?

จิตที่พ้นไปจากสภาวะปรุงแต่งทั้งปวง มันจะเกิดกิเลสได้อีกมั๊ย?

สมมุติว่า เราเจอเหตุการณ์อย่างนี้ มันต้องโกรธแน่ๆ ไม่มีทางที่จะไม่โกรธ ต้องโกรธแน่ๆ เหตุการณ์แบบนี้ เหตุปัจจัยทุกอย่างที่จะทำให้เราโกรธ มันมาพร้อมเลย ถ้าเป็นเมื่อก่อนนี้ ก็ปรี๊ดทันทีเลยว่าง่ายๆ

แต่นี่เกิดไม่ได้…มันไม่เกิดเอง คือต่อให้เราพยายามจะไปคิดว่า เฮ้ย! ทำแบบนี้ไม่สมเหตุสมผลนะ มันทำไมทำแบบนี้ ไม่ควรจะทำแบบนี้นะ อะไรอย่างนี้ ตามที่เราเคยคิดสมัยก่อนที่เราเคยโกรธ

มันก็รู้เหตุรู้ผล รู้ทุกอย่างนั่นแหละ แต่มันไม่ปรุงไปโกรธ อันนี้แหละเค้าเรียกว่า จิตที่อยู่ในสภาพที่พ้นไปจากภาวะความปรุงแต่งทั้งปวง

เพราะฉะนั้น มันมีกิเลสไม่ได้ เพราะว่ามันไม่มีอะไรที่จะปรุงแต่งจิตอันนี้ได้อีกแล้ว นี่แหละเค้าเรียกว่า มันพ้นจากสภาพปรุงแต่งทั้งปวง คือไม่มีอะไร ไม่มีเหตุปัจจัยอะไรปรุงแต่ง ให้มันหลงผิดได้อีกแล้ว ถ้ามันยังโกรธได้อยู่ แปลว่ามันยังหลงผิดอยู่ ไอ้จิตดวงเนี้ย !! แล้วมันจะเป็นพระอรหันต์ได้อย่างไร?

 

ตอนที่ 3 นอกเหตุเหนือผล

เราจะคิดธรรมะ คิดอะไรก็ได้ แต่ให้เรารู้ว่า อย่าเพิ่งปักใจเชื่อ เพราะสุดท้าย สิ่งที่เราเจอมันจะไม่เหมือนที่เราตีความเอาเอง

เหมือนคำพูดที่ผมบอก จิตที่พ้นจากภาวะปรุงแต่งทั้งปวง เราก็ตีความไปอย่างนึงใช่มั๊ย?

เราใช้ความคิด เราก็เลยรู้ว่าความคิดนี้มันหลอกเราตลอด เพราะอะไร? เราคิดจากประสบการณ์เก่าๆของตัวเอง ว่า อ๋อ…มันน่าจะเป็นแบบนี้ เป็นแบบนั้น จับไอ้นี่ประติดประต่อ อะไรแบบนี้

แต่ว่าภาวะธรรมที่เรียกว่า จิตใจที่มันเข้าใจธรรมะ จิตใจที่มันมีความเข้าใจความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ มันเป็นสิ่งที่เราจะรู้สึกว่า “มันอัศจรรย์ มันนอกเหตุเหนือผล” ต้องใช้คำๆนี้ เหมือนที่หลวงพ่อชาเคยใช้

นอกเหตุเหนือผล มันคิดเอาไม่ได้ จินตนาการเอาไม่ได้ มันต้องเจอเอง แล้วมันก็ โอ้…ทำไมธรรมะเค้าถึงบอกว่าอัศจรรย์ มันอัศจรรย์เพราะมันคิดไม่ได้ มันคิดไม่ถึงว่ามันจะเป็นแบบนี้ได้อย่างไร?

เราเคยคิดมั๊ยหละว่า เรื่องที่เราโกรธตะบี้ตะบันทุกครั้ง แต่เราไม่โกรธได้ เป็นไปได้อย่างไร? มันไม่น่าเชื่อใช่มั๊ย?

เราไปฟังมาว่า มีโกรธแต่ไม่ยึด…ถ้าอย่างนั้นเราก็กำลังเถียงพระไตรปิฎกเหมือนกันว่า พระอนาคามีนี้ละกามและปฎิฆะได้แล้ว…

ปฎิฆะคืออะไร? คือ ความขุ่นเคืองเล็กๆน้อยๆ ยังไม่ถึงโกรธเลยยังไม่มีเลย แล้วเราจะบอกว่าพระอรหันต์มีโกรธ ถ้าอย่างนั้นพระอนาคามีจะเป็นอะไร?…ไม่มีโกรธแล้วกลายเป็นมีโกรธใหม่ มันก็ขัดกันเอง

เราก็เอาไว้ไปเจอเอง แล้วจะรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด

 

ตอนที่ 4 ขันธ์ ๕ ที่บริสุทธิ์

อย่างเมื่อก่อนเราไปอ้างว่า ขันธ์ ๕ มันทำงานของมันตามธรรมชาติ แต่เรายังไม่เข้าใจว่า ขันธ์ ๕ นี้ทำงานตามธรรมชาติจริงๆ แต่ขันธ์ ๕ นี่มันบริสุทธิ์แล้ว หมายความว่า สัญญาที่อยู่ในขันธ์ ๕ นี้มันไม่วิปลาสแล้ว

เมื่อก่อนเรามีอวิชชา สัญญามันวิปลาส…จิตใจที่เต็มไปด้วยอวิชชา ก็ต้องใช้สัญญาที่วิปลาสนี้ตัดสินลงความเห็น ดี ชั่ว ถูก ผิด…พอมันตัดสินลงความเห็น ดี ชั่ว ถูก ผิด มันก็เกิดตัณหา เกิดอุปทาน ก็ยึด ก็เกิดเป็นความทุกข์ขึ้นมาในที่สุด

เพราะว่าไปยึดเอาสิ่งที่ตัดสินนั้น มาเป็นของเรา มาเป็นตัวเรา มันก็เลยเกิดกิเลส เกิดโทสะ เกิดโลภะ เกิดโมหะ ตามมา มันก็เป็นวงจรแบบนั้น

แต่ถ้าเราไม่มีอวิชชา จิตใจนี้บริสุทธิ์ไม่มีอวิชชา ขันธ์ ๕ ทำงานอย่างบริสุทธิ์แล้ว สัญญาไม่วิปลาสแล้ว เวลามันเห็น มันเห็นเฉยๆ มันไม่ตัดสิน มันไม่ลงความเห็น มันจะเห็นเป็นสภาพของ “ตถตา เป็นเช่นนั้นเอง” มันเห็น มันเป็นเช่นนั้นเอง เป็นตถตา เป็นธรรมะขั้นนั้นไปเลย มันก็จบ

พอมันเห็นเป็นเช่นนั้นเอง มันจะมีอะไร…มันก็ไม่มีอะไร ก็เข้าใจธรรมชาติ ทำไมมันจิตนี้ถึงจะพ้นจากสภาพปรุงแต่งทั้งปวงได้? ก็เพราะว่ามันเข้าใจธรรมชาติของสรรพสิ่งไปแล้ว จิตนี้เข้าใจธรรมชาติไปแล้ว มันถึงไม่โง่ไปลงความเห็น ไปตัดสิน จนเกิดกิเลส เกิดโกรธ เกิดโลภ เกิดหลง มันเลยไม่ทำแบบนั้น

มันกลายเป็นเข้าใจในเหตุปัจจัยว่า อ๋อ…มันเป็นแบบนี้เพราะอย่างงี้ มันอัตโนมัติเลย เพราะจิตมันฉลาดแล้ว

 

ตอนที่ 5 ดับทุกข์โดยสิ้นเชิง

จิตใจที่มันฉลาด มันรู้รอบ รู้หมด มันรู้อะไรเป็นอะไร มันเห็นเหตุเห็นปัจจัยหมด ในขณะเดียวนั่นแหละ มันเลยไม่มีขณะของความโง่ที่มันไปปรุงแต่ง กิเลสมันเลยเกิดไม่ได้ อัศจรรย์มั๊ย?

หลวงพ่อเทียนเคยพูดว่า ให้ผู้หญิงมานอนข้างๆเอาเส้นด้ายสีแดงกั้นเอาไว้แค่นั้น ก็ไม่รู้สึกอะไรเลย

มีคนถามพระพุทธเจ้าว่า พระพุทธเจ้ายังมีกามราคะมั๊ย? พระพุทธเจ้าก็ตอบว่า เราไม่มี เพราะเราไม่มีกามวิตก วิตกก็คือคิด คือเราไม่เข้าไปคิดปรุงแต่งกับสิ่งที่มันเกิดขึ้นกับเราตรงนั้น พอมันไม่คิดปรุงแต่งมันก็ไม่มีปัญหา มันก็มาสรุปอีกคำนึงได้ว่า เห็นก็เห็นเฉยๆ ได้ยินก็ได้ยินเฉยๆ ก็ไม่มีเรื่อง

แต่ทุกวันนี้มันมีเรื่อง เพราะมันเห็นเฉยๆไม่ได้ ได้ยินเฉยๆไม่ได้ ได้ยินปุ๊บปรุงเลย คนส่วนใหญ่ก็ไม่เห็นหรอกว่าปรุง ได้ยินปุ๊บก็โกรธเลย มันไม่รู้ด้วยว่ามันปรุง คือมันเร็วมาก

ความทุกข์มันเกิดขึ้นรวดเร็วจนไม่น่าเชื่อว่า ในความเป็นจริงแล้ว โอ้โห มันถูกปรุงไปตั้งเยอะแล้ว กว่ามันจะโกรธ แต่พอเรามาปฎิบัติธรรมก็ไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่า เราจะไม่โกรธก็ได้ ในเรื่องที่เราเคยโกรธ

มันถึงพ้นจากทุกข์ทั้งปวง หรือดับทุกข์โดยสิ้นเชิง ถ้ายังมีอะไรเกิด ยังมีอะไรดับอยู่ แล้วจะดับทุกข์โดยสิ้นเชิงได้อย่างไร มันก็ขัดกันอีก

 

ตอนที่ 6 ความว่างชะล้าง ขัดเกลา

ความว่าง มันเหมือนเรากำลังโม่แป้ง ในระหว่างที่เราเดินหมุนในเครื่องโม่แป้งไปเรื่อยๆ เหมือนคนจีนสมัยก่อนเค้าก็หมุนไปเรื่อยๆอย่างนี้ แป้งมันยังไม่ออกมาให้เราเห็น แต่ถามว่า กำลังทำงานอยู่มั๊ย ข้างในนั้นกำลังทำงานอยู่ใช่มั๊ย? มันกำลังบด กำลังเบียด กำลัง…อะไรก็ตามที ให้มันเล็กละเอียดอะไรอย่างนี้…จนมันครบรอบมัน มันก็ออกมาได้

เหมือนกันจิตใจที่คุ้นเคย แล้วก็สัมผัส แล้วก็รู้จักความเป็นปกตินี้บ่อยๆ มันก็เหมือนกับมันกำลังถูกความว่างนี้ชะล้าง ขัดเกลา เปรียบเสมือนก้อนหินที่ผมเคยบอก ก้อนหินที่เหลี่ยมๆ มีเหลี่ยม มีคม แล้วเวลากระแสน้ำพัดพา กระแสลมพัดพาให้หินนี้กลิ้งไปกลิ้งมา กลิ้งไปกลิ้งมา จนในที่สุดมันก็กลมมนสวยงาม…ก็อย่างงั้น

เราไม่ได้เสียเวลาเปล่ากับการที่เราไปอยู่กับความเป็นปกติ หรือรู้จักความว่างนี้เอาไว้ ทุกขณะที่เรารู้จักมัน จิตใจมันเป็นปกติอยู่นี่ มันกำลังทำงาน ธรรมชาตินี้กำลังทำงาน เราแค่รอเวลาที่มันทำงานจนสมบูรณ์

เราอย่าไปคิดว่า ถ้าเราอยู่ปกติ อยู่เฉยๆ มันไร้ค่า ไม่ใช่ไร้ค่า…มันมีค่ามหาศาล

 

ตอนที่ 7 ทำเป็นหน้าที่

เราปกติแต่เราไม่ขี้เกียจ เราปกติ เราทำอะไรได้หมดทุกอย่างเลย เราทำการทำงาน งานบ้าน ล้างจาน ซักผ้า ถูบ้าน ไปตลาด ทำได้หมดทุกอย่างเลย และทำได้อย่างมีความสุขด้วย เพราะว่า “จิตมันฉลาด ทำเป็นหน้าที่เฉยๆ

อย่างที่บอกว่า “การปฎิบัติธรรมเป็นหน้าที่” นี่คือแบบนี้ นี่เป็นหน้าที่ ที่สมบูรณ์ก็คือว่า “อยู่บนความว่าง บนความเป็นปกติ

เพียงแต่ว่าพวกเราเนี่ย ความเป็นปกติมันยังไม่แน่นหนา ก็อย่าเพิ่งไปอยู่ในที่ที่จะสูญเสียความเป็นปกติง่ายๆ

เราต้องซ้อมก่อน ฝึกให้มันดีก่อน แล้วทำงานทำการที่จำเป็นของตัวเองก็ทำไป ก็คืองานส่วนตัวนี่แหละ กิจวัตรประจำวัน ดูแลบ้านช่อง ห้องน้ำ ห้องนอน ให้สะอาดสะอ้าน นี่เป็นหน้าที่ของเราให้เป็นระเบียบ เรียบร้อย

เราจะทำได้แบบไม่ขี้เกียจ ไม่เหนื่อย ไม่อะไรด้วย เพราะเราทำอยู่บนความรู้สึกตัว แต่ถ้าเราทำอยู่บนความคิด ทำหน่อยก็เหนื่อย ทำหน่อยก็ไม่ไหวแล้ว ทำหน่อยก็เพลีย อันนี้เป็นอยู่บนความคิดตลอด ยกเว้นว่าร่างกายไม่ไหว ก็อีกเรื่องนึงนะ สมมุติว่าร่างกายป่วย ไม่สบายก็อีกเรื่องนึง

แต่หมายถึงว่าคนส่วนใหญ่ก็ใช้ความคิดงัย ทำๆหน่อยเดี๋ยวคิดถึงไอ้นั่นแล้ว ไอ้นั่นไม่เห็นทำ เราทำอยู่คนเดียว มันเป็นแบบนั้นละ

คือเราต้องรู้หน้าที่เรา เหมือนพระ…พระก็มีหน้าที่ใช่มั๊ย? ต้องดูแลเสนาสนะ นี่เป็นหน้าที่ของพระ เราก็ทำตัวเหมือนพระ เราก็ดูแลเสนาสนะของเราเหมือนกัน อันนี้เป็นหน้าที่เรา ถือเป็นวินัยเลยด้วยซ้ำ

เหมือนเราต้องเดินจงกรม พระก็ต้องปฎิบัติธรรมเหมือนกัน เราทำหน้าที่ไม่ต่างจากพระหรอก แค่เราไม่ได้โกนหัวแค่นั้นเอง แต่เราแค่ไม่มีกิจนิมนต์เหมือนพระ เราก็โชคดีหน่อย เราก็ใช้เวลาได้เต็มที่ อะไรอย่างนี้

 

Camouflage

17-Apr-2016

 

ถอดไฟล์เสียงจาก YouTube : https://youtu.be/Trf_M0ppx2o

คลิปเสียงธรรมะทั้งหมดของคุณ Camouflage : https://goo.gl/RDZFMI

======================

5 ช่องทางการอ่านและฟังธรรม

1) Facebook : สุขกาย สุขใจ SookGuySookJai
http://www.facebook.com/sookguysookjai

2) Line : @camouflage.talk
https://line.me/R/ti/p/%40camouflage.talk

3) YouTube : สุขกาย สุขใจ SookGuySookJai
https://goo.gl/in9S5v

4) Website: https://camouflagetalk.com

5) Podcast : Camouflage – Dhamma Talk
https://itun.es/th/t6Mzdb.c