18.ความคิด…ความประมาท

ตอนที่ 1 ให้รู้จักสิ่งที่ดีกว่า

อันนี้แหละที่ผมเรียกว่าจิตมันฉลาดแล้ว ผมบอกว่าให้รู้จักความเป็นปกติเอาไว้ เมื่อไหร่ที่จิตรู้จักสิ่งที่ดีกว่า มันจะไม่เอาสิ่งที่แย่กว่าเอง

มันเหมือนมีคนให้บ้านคฤหาสน์เราอยู่ ให้ลองไปอยู่สิ เมื่อก่อนเราชอบกระต๊อบ เราก็ไม่ยอมไปอยู่คฤหาสน์ เราก็จะอยู่กระต๊อบของเราอย่างนี้ แต่เค้าบอกว่าลองดูหน่อยนะ…ลองดู รับรองสบายกว่า เราก็ไปแบบเสียไม่ได้ ไม่รู้ว่าคฤหาสน์คืออะไร?

สมมุติว่ามันไม่มีในหัวเราเลยว่าคฤหาสน์คืออะไร? เราก็ไปกับเค้า ไปนอนซักคืน 2คืน เราก็…อ้าว…เตียงก็ดี…เตียงหลุยส์ ห้องน้ำมีน้ำอุ่น ห้องน้ำแยกส่วนเปียกส่วนแห้งอะไรแบบนี้ มีแอร์ด้วย กระต๊อบเรามีแต่กองฟางสมมุติ พอเรารู้จักคฤหาสน์แล้ว เราจะเอามั๊ยกระต๊อบ?…เราไม่เอาแล้ว

จิตใจเหมือนกัน พอเราพามารู้จักสิ่งที่ดีกว่าแล้ว มันไม่เอาเอง มันไม่ต้องไปบังคับมันเลยว่า เฮ้ย…อย่าเอาน่า อย่าเอา…มันไม่มี เหมือนกับจะมีใครมาบังคับเราไปกระต๊อบได้มั๊ย? หรือว่ามีใครบังคับให้เราอยู่คฤหาสน์ได้มั๊ย?…ไม่มี…เราอยากไปเองคฤหาสน์เนี่ย

ตอนนี้เรารู้แล้วหนิ…เรารู้จักแล้วนี่คฤหัสถ์คืออะไร เราไปเอง ไม่ต้องมาเรียก แล้วก็ไม่มีความรู้สึกว่า อู้ย…อยากอยู่กระต๊อบเหมือนเดิม…ไม่มีแล้ว มันหมดเองเลย หมดอัตโนมัติ

นี่แหละเค้าเรียกว่า “ความเป็นเอง” เกิดจากอะไร? เกิดจากว่าเราพาจิตให้รู้จักสิ่งที่ดีกว่า…ก็แค่นั้นเอง

อันนี้เป็นธรรมชาติง่ายๆ ที่คนเรามองข้ามไป นึกว่าปฎิบัติธรรมไปทำอะไรยากๆ…ไม่ใช่แบบนั้น

 

ตอนที่ 2 เดินถูกทางไม่มีหลง

เค้าเรียกว่า “จิตนี้ มันไม่มีภาระ” มันไม่มีภาระ มันก็ไม่ทุกข์ มันไม่ทุกข์ มันก็เบาสบาย เค้าเรียกว่า จิตนี้อ่อนเป็น
ลหุตา” อ่อนควรค่าแก่การงาน นี่แหละเค้าเรียกว่าเบา…แบบนั้น ไม่ใช่เบาล่องลอย

เบาควรค่าแก่การงานคืออะไร? มันเป็นปกติ พอปกติ มันเป็นอะไร? มันมีสมาธิ พอมันมีสมาธิ มันทำอะไรๆ มันก็ทำไปด้วยความเป็นปกติ ไม่ได้มีตัณหา ไม่มีว่าอยากรีบให้เสร็จ ไม่มีว่าอยากไม่อยากอะไร มันไม่มี พอมันไม่มีอย่างนั้นก็ราบรื่นอย่างเดียว นี่แหละเค้าเรียกว่า ลหุตา ควรค่าแก่การงาน

เพราะฉะนั้น ทั้งหมดทั้งสิ้นมันเกิดจากอะไร? เกิดจาก “ความเป็นปกติ” อันนี้จะก่อสร้างทุกสิ่งทุกอย่างให้

ขอให้เราเดินให้ถูกทางแค่นั้นแหละ ถ้าเราเดินถูกทาง ธรรมชาติของจิตใจที่มันจะเปลี่ยนแปลงไปตามทางของมันนี้ มันเหมือนเป็นท่อ…ท่อแป๊บน้ำ ถ้าเราเริ่มก้าวเดินก้าวแรกเข้าไปในท่อนี้ มันไปทางอื่นไม่ได้…มันจะไปทางอื่นไม่ได้เลย มันจะไปทางนี้อย่างเดียว มันหลงทางไม่ได้เลย มันอยากจะหลงก็หลงไม่ได้

ถ้าไปถูกทางตั้งแต่แรก…ไม่มีสิทธิ์หลงเลย มันจะไปอย่างเดียว เพราะฉะนั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่นิพพาน

 

ตอนที่ 3 อย่าประมาท หาเรื่องใส่ตัว

อันนี้เป็นตัววัดง่ายๆ ความคิดเราน้อยลง ความฟุ้งซ่านเราน้อยลง พอความฟุ้งซ่านน้อยลง เราสบายขึ้นมั๊ย? สบายจะตาย มันเบาโล่ง เหมือนกับไม่มีอะไรต้องคิด

บางทีเราต้องไปหาเรื่องว่า เอ๊ะ…เราต้องคิดอะไรรึเปล่า? นี่…หาเรื่องใส่ตัวอีก!!

มันไม่มีความฟุ้งซ่านเหมือนเดิม มันไม่มีอะไร มันก็ว่างๆ ปกติๆนะ

บางทีคนเราพอมันว่างปกติไม่ได้ ไปหาเรื่องว่าควรจะคิดอะไรหน่อยมั๊ย? อย่าไปทำแบบนั้น คล้ายๆว่า “อย่าประมาทเด็ดขาด

ว่างๆ ก็..เอ…อยากจะคิดเรื่องนั้นแต่มันไม่จำเป็นต้องคิด ถ้าอยากจะคิดเรื่องนั้นแล้วไปคิด อันนี้หาเรื่องใส่ตัว เดี๋ยวจะทุกข์แล้ว เพราะว่าเรื่องที่อยากจะคิดส่วนใหญ่ ไม่ใช่เรื่องดีหรอก เรื่องไม่ค่อยดีทั้งนั้น

เรื่องที่ดีที่สุดคือ “ไม่ต้องคิด อยู่กับความเป็นปกติเอาไว้

สมมุติเรากำลังจะก่อสร้างวิมานของเรา ความปกตินี่แหละจะก่อสร้างให้ แต่ถ้าเราไม่ปกติจะเหมือนกับคนงานประท้วง เลิกทำงาน สุดท้ายเราก็ไม่ได้งาน ไม่ได้ผลงาน ไม่ได้อะไรเลย อันนี้เป็นการเปรียบเปรยนะ

ถ้าพูดเป็นตรงๆ ก็คือ ความเป็นปกตินี่แหละจะเป็นตัวที่ทำให้เกิดสัมมาสติ สัมมาสมาธิ สิ่งต่างๆเหล่านี้ก็จะพาให้เกิดปัญญา เกิดอริยมรรคในที่สุด

แต่ถ้าเราหลุดออกจากความเป็นปกตินี้ เราก็ไม่ได้อะไร ได้แต่อกุศลอย่างเดียว เราคิดแล้วได้อะไร? ได้ความหลงงัย ได้โมหะ เราเอาทองไปถูกระเบื้องเหมือนเดิม

 

ตอนที่ 4 ถ้าประมาท จะทุกข์ จะช้า

สมัยก่อนผมเคยพูดบ่อยว่า บางคนที่ความทุกข์น้อยลงแล้ว หรือว่าความคิดน้อยลงแล้ว หรือแม้กระทั่งคนที่บรรลุธรรมขั้นต้นแล้ว คนพวกนี้ก็ความทุกข์น้อยลงเยอะแล้ว แต่ประมาท พอทุกข์น้อยลงก็ไปคิดฟุ้งซ่าน คิดโน่นคิดนี่ก็ไม่ค่อยทุกข์หนิ คิดโน่นคิดนี่ก็ไม่ทุกข์ อะไรอย่างนี้

แต่สุดท้ายมันจะทุกข์ และสิ่งที่เกิดขึ้นแน่นอนก็คือ มันจะช้าลง แทนที่จะใช้เวลากับความเป็นปกติ กับความว่าง  กับความที่ไม่มีอะไร

หลวงปู่ดูลย์พูดบอกว่า “ให้เจริญจิตอยู่บนความไม่มีอะไร” แต่ก็เอาความเจริญจิตไปในความคิดแทน…นี่เป็นความประมาท

ความประมาทเป็นคำเตือนสำหรับคนทุกกลุ่ม ตั้งแต่คนที่ยังไม่ได้อะไรเลย จนไปถึงคนที่ได้แล้วแต่ยังไม่ถึงกับพระอรหันต์  อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ต้องเตือนตนเองตลอดว่า “อย่าประมาท

ให้อยู่กับความเป็นปกตินี้ไว้ แล้วถ้ามันมีความคิดใด อย่าไปหาความคิดมาคิด ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม

 

ตอนที่ 5 ปัญญาพาชีวิตไป

ถ้าชีวิตของเรา มันจะต้องทำอะไร ให้ปัญญาเป็นตัวบอกเอง ไม่ใช่เราไปคิดว่าเราจะทำอะไรดี

ปัญญานี้มันจะผุดขึ้นมาเองจากที่ๆ ปกตินี้แหละ เดี๋ยวมันจะบอกเองว่า ต้องไปทำนี่ ต้องไปอย่างนี้ มันจะบอกเอง เราไม่ต้องไปรีบคิดว่า เอ…เดี๋ยวจะต้องทำอะไรดี ไม่ต้องรีบคิดแบบนั้น ยกเว้นเรื่องนั้นเป็นเรื่องที่เราต้องวางแผนจะทำ เป็นแผนในชีวิตเรา เช่น จะไปจองตั๋วเครื่องบิน จะไปทำอะไร อันนี้ต้องคิด

แต่เรื่องบางอย่างที่เรายังไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี ก็ไม่ต้องคิด ไม่ต้องไปหาว่าจะทำอะไรดี ไม่ต้องทำแบบนั้น ถึงเวลาถ้ามีเรื่องต้องทำ เดี๋ยวมันรู้เอง…ไม่ต้องทำอะไร แต่ถ้าจะซื้อของกินเข้าบ้านต้องคิดนะ จะทำกับข้าวอะไรต้องคิด ไม่งั้นเดี๋ยวไม่มีกิน

อย่าหาเรื่องมาคิด…หาเรื่องมาคิดก็จะเป็นหาเรื่องทุกข์ใส่ตัว บางทีเราจะคิดว่าทำไมเป็นอย่างนี้? ทำไมทำอย่างนั้น?  เค้าเรียกว่าหาเรื่องอดีตมาคิด หรือบางทีก็อยู่ปกติดี ไม่ค่อยมีความคิดอะไร เดี๋ยวกลับไปคิดถึงอดีตแล้ว อย่างนี้…ไม่เอาแบบนั้น

 

ตอนที่ 6 อยู่ให้ถูกที่

อดีตนี้ผ่านไปแล้วไม่ต้องตามไปคิดแล้ว เมื่อไหร่ที่เราไม่กลับไปอดีต เราจะไม่ไปอนาคต แล้วเราจะอยู่กับปัจจุบันเอง

แต่เพราะคนเรานี้มันชอบไปอดีต หรือมันชอบไปอนาคต เพราะฉะนั้นมันก็วิ่งอยู่ที่ 2 ที่ เพราะ 2 ที่นี้มันเชื่อมกัน มันเป็นความคิดเหมือนกัน พอมันอยู่กับความคิด มันก็เลยอยู่กับอดีตอยู่กับอนาคตตลอดเวลา มันเป็นเหมือนท่อ 2 ท่อมันเชื่อมกัน จริงๆมันก็คือท่อเดียวกันนั่นแหละ แต่มันถอยหลังกับเดินหน้าเท่านั้นเอง

ถ้าเราเลิกอยู่กับอดีต เลิกไปอนาคต มันจะอยู่ถูกที่เลยทีนี้

อย่าใช้เวลาไปกับอดีต อย่าใช้เวลาไปกับอนาคต ก็คือ “อย่าใช้เวลาไปในความคิด” ใช้เวลาอยู่กับของจริงนี้อยู่กับปรมัถต์ นี่คือ “ความรู้สึกตัว

แล้วก็เรียนรู้…เรียนรู้บนความรู้สึกตัวนี้ เรียนรู้สิ่งต่างๆบนความรู้สึกตัวนี้ เดี๋ยวก็จะมีอะไร ต้องผ่านมาผ่านไปให้เราเห็น อะไรอย่างนี้ เพราะจิตเรายังมีอวิชาอยู่ มันก็มีความมืดโผล่แว๊บมาบ้าง แว๊บมาบ้าง ให้เราเรียนรู้

แต่เราต้องไม่ตามมันไป เราต้องอยู่บนฝั่งเหมือนที่ผมบอกใช่มั๊ย? ต้องอยู่บนบก ไม่ใช่ไปอยู่ในน้ำ ถ้าเราตามไป เราไปอยู่ในน้ำแล้ว เดี๋ยวเราก็ทุกข์

เวลามันทุกข์ทีนึงมันลำบาก มันถอนตัวไม่ค่อยขึ้น ใช้เวลาเยอะ มันอินไปแล้วงัย ไม่รู้ตัว

แล้วเวลาเราผิดปกติ มันจะพาคนอื่นผิดปกติไปด้วย…คือคนที่เราคิดถึงนั่นแหละ บางทีเค้าปกติดีอยู่ เราก็พาเค้าผิดปกติไปด้วย มันไม่มีผลดีอะไรเลยงัย มันดีอย่างเดียวคือ มันได้ตามใจกิเลสตัวเอง แต่จริงๆมันไม่ดี

 

ตอนที่ 7 เนกขัมมะบารมีที่แท้จริง

เมื่อไหร่ก็ตามที่จิตมันเริ่มผิดปกติแล้ว อย่าตามไป ถ้าเราตามไปก่อร่างสร้างเรื่อง สร้างอะไรขึ้นมานี่ ลำบากแล้ว

เพราะฉะนั้น “พอรู้ว่ามันผิดปกติ ให้รีบกลับมารู้สึกตัว” แล้วมันจะอยากไปคิดอีก ต้องยึกยักกับมันหน่อย ต้องสู้กับมันหน่อยนะ ไม่ไป…ไม่ไปอะไรอย่างนี้

บางทีต้องเตือนตนเอง ไม่ไป ไม่เอา อะไรอย่างนี้ แล้วอดทนซักนิดนึงนาที 2นาที ไม่ต้องสนใจมัน อย่างที่ผมเคยบอกใช่มั๊ย? “มีอยู่…แต่ไม่สนใจมันนะ” เดี๋ยวมันจะคลายไปเอง จะสบายกว่าที่เราตามมันไป

พอยิ่งตามนี่ มันยิ่ง Deep down Deep down ไปเรื่อยๆ ยิ่งลงลึกๆๆ ไปเรื่อยๆ เราจะยิ่งเหมือนกับลงไปในหลุมดำ ลึกขึ้นๆๆ เวลาเราตามมันไป ลองไปสังเกตดู

แต่ถ้าเราพยายามที่จะไม่ตามไป เหมือนเรากำลังจะพบแสงสว่างมากขึ้นๆๆ จนสุดท้าย…หลุด ก็สบาย

การฝืนนี้เป็นบารมีอย่างหนึ่ง ถ้าจะพูดตามหนังสือ อยากให้มีบารมีใช่มั๊ย? นี่แหละบารมี นี่แหละ “เนกขัมมะบารมี” คือไม่ตามไป ถือว่าฝึกเนกขัมมะบารมี

ถ้าเราไม่มีความคิดฟุ้งซ่าน แล้วเราก็ปกติอยู่นี่…สบายขนาดไหน?…สบายมาก!! “มันเป็นชีวิตใหม่

พี่สังเกตตัวเองก็ได้ ยังไม่ต้องได้เป็นอริยบุคคล ก็รู้สึกเหมือนมีชีวิตใหม่แล้วใช่มั๊ย? ไม่เคยมีชีวิตแบบนี้ เป็นชีวิตที่สบาย ผ่อนคลาย ความคิดฟุ้งซ่านน้อยลง

คนในโลกนี้จะมีความคิดฟุ้งซ่านน้อยลงได้ยังงัย ถ้าไม่เคยเห็นความเป็นปกตินี้ มันเป็นไปไม่ได้ มันฟุ้งซ่านตลอด  ดิ้นรนตลอด

 

Camouflage

2-Apr-2016

 

ถอดไฟล์เสียงจาก YouTube : https://youtu.be/yU_IQxnHWrs

คลิปเสียงธรรมะทั้งหมดของคุณ Camouflage : https://goo.gl/RDZFMI

======================

5 ช่องทางการอ่านและฟังธรรม

1) Facebook : สุขกาย สุขใจ SookGuySookJai
http://www.facebook.com/sookguysookjai

2) Line : @camouflage.talk
https://line.me/R/ti/p/%40camouflage.talk

3) YouTube : สุขกาย สุขใจ SookGuySookJai
https://goo.gl/in9S5v

4) Website: https://camouflagetalk.com

5) Podcast : Camouflage – Dhamma Talk
https://itun.es/th/t6Mzdb.c