17.เพราะไม่เข้าใจ…จึงไม่ถึงใจ

 

ตอนที่ 1 จุดเริ่มต้นของการเดินทาง

เริ่มแรกเลย ส่วนใหญ่คนที่จะรับฟังคำสอนได้ คนนั้นต้องเริ่มรู้จักพิจารณาชีวิตอย่างลึกซึ้งแล้วว่าชีวิตเรามันเป็นอย่างไรกันแน่ เกิดมาแล้ว เอ๊ะ…ทำไมมันทำเหมือนเดิมๆทุกวัน? จะทำอย่างนี้ไปจนตาย แล้วก็ทำใหม่เหรอ?…อะไรอย่างนี้

มันก็มีอีกมุมนึง บางคนก็รู้สึกว่ามีทุกอย่างแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกว่าความสุขนี้มันไม่ใช่แค่นี้นะ เราน่าจะมีศักยภาพที่จะมีความสุขในชีวิตมากกว่านี้ได้ และก็ค้นหา…ค้นหาว่าจะทำอย่างไรให้มันมีความสุขมากกว่านี้?

มีเงิน มีรถ มีบ้าน มีผู้หญิง มีผู้ชาย มีลูก มีอะไรครบทุกอย่างสมบูรณ์ มีความสุขดี แต่รู้สึกว่ายังสุขได้มากกว่านี้ ยังต้องมีทางมากกว่านี้อีก คนอย่างนี้เรียกว่า คนมีปัญญา เค้าก็หาทาง

ทีนี้มาเจอคำสอนพระพุทธเจ้า เจอครูบาอาจารย์ที่ช่วยแนะนำได้ ทีนี้ศรัทธาต้องมา เพราะว่าสิ่งที่ครูบาอาจารย์จะบอกให้ไปทำ ให้ไปลองเริ่มทำดู มันต้องฝืนกิเลสตัวเอง มันต้องฝืนความเชื่อที่เคยโง่ๆของตัวเองมาก่อน

ครูบาอาจารย์พูด บางทีไม่เชื่อ เพราะเราไม่ได้คิดแบบนั้น…ก็ใช่ เพราะใช้คิดเอา เพราะฉะนั้นต้องอาศัยศรัทธาก่อน ที่จะลองทำดู แล้วถ้ามีศรัทธา มันถึงจะไปลองทำดูได้ พอไปลองทำดู ปุ๊ป…มันจะเห็นผล พอมันเห็นผลด้วยตัวเอง มันจะเดินต่อได้ มีกำลังใจที่จะเดินต่อได้ เอ้อ…จริงด้วย อะไรอย่างนี้ เพราะฉะนั้นมันต้องอาศัยหลายอย่าง

 

ตอนที่ 2 ความเข้าใจผิดอันแรกของนักปฏิบัติธรรม

จริงๆเรื่องของสมาธิเป็นเรื่องที่ซับซ้อน มันละเอียดมาก

สมาธิเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเอง เราไม่ได้ไปทำมันขึ้นมา แต่ว่านักปฎิบัติส่วนใหญ่เข้าใจว่าเราต้องมีสมาธิ เราถึงจะเจริญในทางธรรมได้ พอเข้าใจคำพูดแบบนั้น ปุ๊ป ทุกคนพยายามจะทำสมาธิ

สังเกตุมั๊ยว่าเราทุกคน พอสนใจปฎิบัติธรรม หรือว่าเค้าพูดถึงว่าจะปฎิบัติธรรม ทุกคนก็คิดถึงเลย…นั่งขัดสมาธิ หลับตา ปุ๊ป นิ่งเปรี๊ยะ ห้ามขยับ ทุกคนก็คิดแบบนั้นเลยทันที ไม่น่าเชื่อว่าเป็นแบบนั้นทุกคน อาจจะเพราะว่าเมื่อก่อนดูหนังจักรๆวงศ์ๆมาเยอะ เห็นฤาษีนั่งสมาธิ ก็เลยคิดว่านั่นปฎิบัติธรรม

แต่พระพุทธเจ้านี้ไม่เคยพูดเลยว่า ต้องนั่งหลับตาอะไรแบบนี้ พระพุทธเจ้าจะพูดถึงอิริยาบทใหญ่ ยืน เดิน นั่ง นอน ไม่เคยพูดเลยว่า นั่งเฉยๆ นั่งนิ่งๆ นั่งหลับตา ไม่เคยพูดแบบนั้น แต่พูดถึงอิริยาบทใหญ่ ยืน เดิน นั่ง นอน เราก็รู้อยู่ แม้กระทั่งนอนยังปฎิบัติธรรมได้เลย ไม่ใช่เรื่องของการไปนั่งนิ่งๆ นั่งหลับตาแบบนั้น

เพราะฉะนั้น สมาธิมันเลยเป็นสมาธิบนความตื่นตัว บนความตื่นรู้ที่มันถูกต้อง แต่สมาธิบนความตื่นตัว บนความรู้นี้ ทำขึ้นมารึเปล่า? ก็ไม่ได้ทำเหมือนกัน เพราะเราไม่ได้ทำอะไร เราแค่รู้สึกตัว ไม่ตามความคิดไป มันก็ตื่นตัวอยู่แล้ว ถ้าเราไม่หลงไปในความคิด มันก็ตื่นตัวอัตโนมัติเลย

เราไปเข้าใจว่าการปฎิบัติธรรมคือ การต้องทำสมาธิ อันนี้เป็นความเข้าใจผิดอันแรกของนักปฎิบัติ

 

ตอนที่ 3 การปฏิบัติธรรมคืออะไร ?

จริงๆแล้วการปฎิบัติธรรมคือ “การเข้าใจความจริงของสรรพสิ่งว่ามันเป็นอย่างไร

การที่เรากำลังเรียนรู้ความจริง ไม่ใช่การที่เราจะไปทำอะไรขึ้นมา เพื่อที่จะได้อะไรขึ้นมา เพราะการที่เราจะไปทำอะไรขึ้นมาเพื่อจะได้อะไรขึ้นมา นั่นเรากำลังมีตัวตนตลอด ตั้งแต่เริ่ม เรากะว่า หวังว่า เราทำสมาธิแล้วเราจะได้ปัญญา เราทำสมาธิแล้วจะเดินอยู่บนอริยมรรค ได้มรรค ได้ผล มันมีแต่หวังอย่างเดียว มันมีแต่โลภ มันมีแต่ความจะเอา อยากจะได้ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ที่จะถึง เพราะตั้งแต่เริ่ม มันก็มืดแล้ว

แต่การปฎิบัติธรรมที่แท้จริงคือ “การที่เราได้เรียนรู้ความเป็นจริง” ที่เราไม่เคยรู้มาก่อนว่า อ๋อ…ความเป็นจริงมันเป็นแบบนี้ ความเป็นจริงพระจันทร์มันมีนะ ไม่ใช่ไม่มี แต่เพราะเมื่อก่อนเรามีเมฆหมอกบังตลอด จนวันนึงก็มีคนมาสอนเราบอกว่า รู้รึเปล่าว่าจริงๆแล้ว มันไม่มีตัวตนบุคคลเราเขานะ ทุกอย่างมันทำงานเอง

พอเข้าใจว่าจริงๆโลกมันก็เป็นแบบนี้นะ มันตกอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทุกสิ่งมันก็เปลี่ยนไปตามเหตุปัจจัย อันนี้เป็นอย่างนั้นเอง ไม่ใช่มีใคร คนใด หรือมีพระเจ้าองค์ไหนจะมาสั่งการบังคับควบคุมอะไรได้ ทุกอย่างก็เป็นไปตามกรรม ตามเหตุปัจจัย

 

ตอนที่ 4 เห็นสภาพพ้นกิเลส ที่มีอยู่แล้ว

พอเราฟังอย่างนี้ ปุ๊ป…โอเค แล้วเราจะพ้นจากความเห็นผิดแบบนี้อย่างไร?

ก็มีคนบอกเราว่า เราก็ต้องรู้ว่าความเข้าใจแห่งความจริงอีกอย่างนึงที่เราไม่เคยรู้มาก่อนเลยก็คือ “สภาพที่มันพ้นไปจากโมหะ สภาพที่มันพ้นไปจากกิเลส” มันมีอยู่ตลอดชีวิตเรา

เราโตขึ้นมา เราก็รู้สึกว่ามีเราตลอด…นี่เรา แล้วก็มีสภาพของ “ความดิ้นรน” ตลอด ก็คือ โลภ อยากได้นั่น อยากได้นี่ อยากได้ความสุข อยากหนีความทุกข์ตลอดเวลา

เราไม่เคยมีสภาพอีกสภาพนึงเลย ที่มันมีอยู่แล้ว เราไม่เคยมีมันเลย วันนึงก็มีคนบอกเราว่า ลองดูสภาพนี้มันมีอยู่แล้ว และพอวันนึงเราได้เห็นมัน ก็คือ “สภาพแห่งความเป็นปกติ” นี่แหละ

เราพอเห็นมันแล้วก็ อ้อ…มันมีอยู่แล้ว เราก็เริ่มเข้าใจมัน พอเราเริ่มเข้าใจมัน จริงๆก็ไม่ใช่เราเข้าใจมันหรอก จิตนี่มันเริ่มเข้าใจว่า อ๋อ…มันมีสภาพความจริงแบบนี้อยู่ด้วยที่ถูกปิดบังมานาน

พอเริ่มเข้าใจความจริงแบบนี้เข้าแบบนี้เข้า จิตที่มันเคยมีแต่เมฆหมอกปกคลุม ซึ่งเป็นผลให้เกิดอะไร?เกิดปฏิจจสมุปบาทขึ้นตลอดเวลา ก็คือ มันมีอวิชชา มันก็มีสังขาร มีวิญญาณ ไปจนทุกข์ทั้งชีวิตของเราที่ผ่านมา

แต่พอเราได้รู้จักความจริงที่มันมีอยู่แล้ว ที่เราไม่เคยรู้จักเลย …กลายเป็นวงจรปฏิจจสมุปบาทเกิดต่อไม่ได้ เพราะว่าสภาพนี้ “มันเป็นสภาพไร้ราคะ ไร้โทสะ ไร้โมหะ” สภาพแบบนี้เป็นสภาพของความบริสุทธิ์ ของความปกติ หรือว่าที่เรียกว่า “นิพพานชิมลอง

 

ตอนที่ 5 ธรรมชาติขัดเกลา

เพราะจิตใจมันรู้จักสภาพแบบนี้บ่อยๆเข้า ตัวสติที่เราถูกสอนมาว่า มันต้องมี มันมีเอง สมาธิที่เราถูกสอนมาว่าต้องมี ที่เป็นสัมมาสมาธิ มันก็มีเองจากการที่ได้เห็น ได้รู้จัก…ให้เห็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว ให้มันต่อเนื่อง ให้มันบ่อยๆ

คำว่าต่อเนื่องคือไร? บ่อยๆ ไม่ใช่ไปจ้องมันเอาไว้ แต่เราเห็นมันบ่อยๆ มันก็เป็นสมาธิขึ้นมา

พอสติ สมาธิอันนี้ มันแก่รอบแก่รอบมากขึ้น ด้วยธรรมชาติของมัน มันก็ทำให้ปัญญาเกิด อริยมรรคเกิด อริยผลเกิดได้

มันเหมือนก้อนหินอย่างที่ผมเคยบอก เมื่อก่อนก้อนหิน มันเคยเป็นก้อนเหลี่ยมๆ เป็นก้อนเหลี่ยมมุม มีเหลี่ยมมีมุม พอมันตกอยู่ในน้ำ สายน้ำก็พัดมันกลิ้งไป กลิ้งไป กลิ้งไป กลิ้งไป  ไปไกลเรื่อยๆ จนวันนึงมันก็กลายเป็นก้อนกรวดมน สวยงามเอามาใส่ในตู้ปลา นั่นก็คืออะไร? นั่นแหละธรรมชาติ ธรรมชาติมันขัดเกลา

เหมือนกัน…จิตของเราที่รู้จักความเป็นปกติ พ้นออกจากสภาพของการที่มีแต่กิเลสปกคลุมอยู่ สภาพนี้แหละ มันขัดเกลาจิตเรา มันค่อยๆขัดเกลาจิตเรา ขัดเกลาจนวันนึง มันสะอาด มันบริสุทธิ์ และมันก็หมดกิเลส มันก็ไม่มีกิเลสมันก็พ้นจากสภาพการปรุงแต่งใดๆ ที่เค้าเรียกว่า ถึงวันนึงจิตเราก็จะพ้นจากสภาพความปรุงแต่งทั้งปวง ไม่มีอะไรสามารถปรุงแต่งจิตได้อีกต่อไป มันก็ไม่ต้องทุกข์ นี่แหละมันธรรมชาติทั้งหมด มันเป็นเองหมด มันเป็นเองตั้งแต่เริ่ม

 

ตอนที่ 6 เข้าใจหรือเข้าสมอง ?

การปฎิบัติธรรมคือการเรียนรู้…รู้จักความจริงที่มันมีอยู่แล้ว

การที่เรารู้จักความจริงที่มันมีอยู่แล้ว มันทำให้เรารู้จักความจริงอีกอย่างคืออะไร? ความจริงของโลกใบนี้ว่ามันตกอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์ พอเรารู้จักความจริงแห่งความเป็นปกติ หรือสภาพความจริง สภาพที่มีอยู่แล้ว ที่มันไม่เคยเกิด มันไม่เคยดับ มันมีอยู่แล้ว มีอยู่ตั้งแต่เราไม่รู้ว่ามันมีตั้งแต่เมื่อไหร่

พอเรารู้เห็นสภาพนี้แล้ว เราจะได้สมาธิที่เรียกว่า สัมมาสมาธิ เราจะได้สมาธิที่เรียกว่า สมาธิที่มันตื่นรู้ เราจะเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

เพราะฉะนั้น ในขณะที่เรารู้ ตื่น เบิกบานนี้ เราก็เห็นสภาพทุกอย่างในโลกนี้มันเป็นไตรลักษณ์ มันเป็นอิทัปปัจจยตา มันเป็นปฏิจจสมุปบาท เราจะเข้าใจทุกอย่างเลย ในโลกนี้

แต่ถ้าเราไม่มีสภาพของความเป็นปกติอันนี้อยู่เลย ไม่มีสภาพของสัมมาสมาธินี้อยู่เลย ต่อให้เราเข้าใจไตรลักษณ์ ต่อให้เราเข้าใจอิทัปปัจจยตา เข้าใจสิ่งเกิดดับทั้งหลาย เข้าใจบนความคิด ถึงแม้จะเห็น มันก็มีตัวตนเข้าไปเห็น

เพราะฉะนั้น การเห็นนั้น เค้าถึงเรียกว่า มันเห็นแต่เห็นไม่จริง นี่แหละมันเป็นความละเอียดอ่อนของการที่เราจะเห็นสิ่งใดสิ่งนึง…เห็นจริงรึเปล่า? ถ้าเราเห็น แต่มันเห็นไม่จริง ความเข้าใจที่มันเกิดเข้าไปในใจนี้มันเกิดไม่ได้ มันเข้าไปในสมองอย่างเดียว

 

ตอนที่ 7 ขาดความเข้าใจอีกสิ่งหนึ่ง

อย่างที่ผมบอก…เมื่อก่อนนี้เราอ่านหนังสือกัน…เวิ้นเว้อใช่มั๊ย?…ยืดยาว…หนังสือธรรมะทั้งหลาย อ่านก็เข้าใจหมด ไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่มีตัวกู ของกู โลกมันว่าง อะไรต่างๆ แต่พอเราโดนด่า เราก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟเหมือนเดิม

ผมเคยแปลกใจเหมือนกันว่า ทำไมเป็นแบบนั้น? เราอ่านเข้าใจแต่ทำไมเราทำไม่ได้

เพราะฉะนั้น ความจริงมันไม่ใช่เรื่องของการทำ มันเป็นเรื่องของการขาดความเข้าใจอีกสิ่งนึง ก็คือ สภาพสภาวะที่มันไร้ราคะ โทสะ ไร้โมหะ สภาพสภาวะที่มันปกติอยู่…เราขาด เราไม่ได้เรียนรู้ความจริงอันนี้อีกอย่างนึงด้วย

แต่พอเราเรียนรู้ความจริงอีกอันนึง ปุ๊ป ความรู้ ความจริงทั้งหมดก็เริ่มครบ ก็เริ่มประกอบกัน มันก็เริ่มเปลี่ยนแปลง มันก็เริ่มเป็นสติ ที่เป็นสัมมาสติจริงๆ และก็เริ่มเป็นสมาธิ ที่เป็นสัมมาสมาธิจริงๆ และนั่นแหละทุกอย่างก็เกิด…เกิดเอง

สภาพของจิตที่ไม่มีอะไรสามารถปรุงแต่งได้อีกต่อไป มันก็เป็นสภาวะที่มันเกิดเองอีกเหมือนกัน แม้กระทั่งว่าจะมีเหตุปัจจัยทั้งหลายทั้งแหล่ที่มันมารวมกันแล้ว สภาพแบบนี้นะ ปัจจัยแบบนี้นะ เราต้องโกรธแน่ โกรธแน่ๆ แต่มันปรุงไม่ได้…นี่แหละคือเค้าเรียกว่าสภาพที่ไม่มีอะไรปรุงแต่งจิตได้อีกต่อไป คือมันปรุงไม่ได้ อันนี้เป็นความอัศจรรย์ของศาสนาพุทธ

 

Camouflage

10-Mar-2016

 

ถอดไฟล์เสียงจาก YouTube : https://youtu.be/y6gE2bf7X7I

คลิปเสียงธรรมะทั้งหมดของคุณ Camouflage : https://goo.gl/RDZFMI

======================

5 ช่องทางการอ่านและฟังธรรม

1) Facebook : สุขกาย สุขใจ SookGuySookJai
http://www.facebook.com/sookguysookjai

2) Line : @camouflage.talk
https://line.me/R/ti/p/%40camouflage.talk

3) YouTube : สุขกาย สุขใจ SookGuySookJai
https://goo.gl/in9S5v

4) Website: https://camouflagetalk.com

5) Podcast : Camouflage – Dhamma Talk
https://itun.es/th/t6Mzdb.c