16.เบื่อ

 

ตอนที่ 1 กำจัดความเบื่ออย่างถาวร

นั่งสมาธิ เดินจงกรม ทำแค่นั้นแล้วไม่เบื่อเหรอ? ไม่เบื่อ ไม่เหงา ไม่เซ็งเหรอ? …อะไรอย่างนี้

สิ่งที่ผมตอบไปก็คือว่า ความเบื่อนี้เป็นสิ่งที่นักปฎิบัติจะต้องเรียนรู้ ถ้ามันไม่มี ผมไม่ต้องปฎิบัติธรรมแล้ว

ความเบื่อนี้เป็นเหมือนยาชูกำลัง เป็นเหมือนคู่ต่อสู้ เป็นเหมือนสิ่งที่ทำให้เรารู้ว่า…เรายังต้องปฎิบัติธรรม

เราเบื่อ เราก็ทุกข์ใช่มั๊ย? ไม่ใช่ว่า…เรานั่ง เราเดิน แล้วเราเบื่ออย่างเดียว เราทำงาน…เราก็เบื่อเหมือนกันถูกมั๊ย?

เรามีชีวิตอยู่ในโลกที่เหมือนทุกคนทำอยู่ เราก็เบื่อเหมือนกันใช่มั๊ย? ทุกคนก็เบื่อ แต่ทำไมทุกคนคิดว่ามันไม่เบื่อเหรอ?

ไปถามใครๆ ในโลกนี้ทุกคน ถามว่าเบื่อมั๊ยชีวิตทุกวันนี้? ทุกคนก็ตอบ…เบื่อเหมือนกันแหละ

แต่ทุกคนก็หาทางจะแก้เบื่อใช่มั๊ย? ไปทำนี่ ไปทำโน่น ไปช็อปปิ้ง ไปเที่ยว ไปหาอะไรกิน ของมันเลยขายได้ก็เพราะอย่างนี้…เพราะคนเบื่อ !

เพียงแต่ว่าเรารู้ทางแล้วว่าวิธีที่จะจัดการความเบื่อที่แท้จริงคือ “การปฎิบัติธรรม

เราจะรักษาโรคนี้ให้หายได้อย่างถาวรโดยที่เราไม่ต้องดิ้นรนจะหนีมัน หาอะไรมาทดแทนความเบื่อ เพื่อจะได้ไม่เจอตัวความเบื่อนี้

เราไม่ได้ทำเหมือนคนในโลกทำแค่นั้นเอง แต่จริงๆเราทำเหมือนสิ่งเดียวกับที่เค้าทำคือ เรากำลังจัดการกับความเบื่อเหมือนกัน แต่วิธีของเรามันกำจัดได้อย่างถาวร แต่ของพวกเค้ามันแค่ชั่วคราว

เรากำลังทำสิ่งเดียวกัน เพียงแต่ว่าเรามีทางของพระพุทธเจ้าเป็นผู้นำทาง ส่วนเค้ามีทางของความคิดเป็นผู้นำทาง…ไม่เหมือนกัน เราไม่เหมือนกันแค่วิธีการจัดการความเบื่อ…แค่นั้นเอง

 

ตอนที่ 2 เบื่อมันอยู่คู่กับเราอยู่แล้ว

เหมือนเค้าถามผมว่า เดินจงกรมไม่เบื่อเหรอ? ผมบอกผมเคยคิดเหมือนกันว่าให้ผมไปเดินพารากอนกับเดินจงกรมอยู่ที่บ้าน ผมรู้สึกเลยว่า 2อย่างก็น่าเบื่อทั้งคู่

แต่ผมคิดว่าถ้าผมจะทำเรื่องน่าเบื่อที่เหมือนกัน ผมก็เลือกทำสิ่งน่าเบื่อที่เป็นทางของพระพุทธเจ้าดีกว่า ผมเลือกทำสิ่งที่น่าเบื่อที่เป็นทางของศาสดาเอกของโลก ไม่ใช่ทางของความคิด ไม่ใช่ทางของการตามกิเลส ตามตัณหา ผมว่ามีประโยชน์กว่า ไหนๆจะทำสิ่งที่น่าเบื่อทั้งคู่แล้ว ก็เลือกสิ่งที่มันดีหน่อย

เพราะฉะนั้น ถ้าเราจะออกมาเราไม่ต้องกลัวเบื่อ เพราะเบื่อมันอยู่คู่กับคนทุกคน กับมนุษย์ทุกคนอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเค้านึกว่าเค้าทำงานแล้วเค้าไม่เบื่อ…เค้าไปทำงานเพราะเค้าเบื่อนั่นแหละ ถูกมั๊ย?

นักเรียน เวลาปิดเทอมมันอยากเปิดเทอม ทำไม? เพราะมันเบื่ออยู่บ้าน มันอยากเจอเพื่อน พอมันเปิดเทอม ปุ๊บ มันอยากหยุดวันเสาร์-อาทิตย์ ทำไม? เพราะมันเบื่อเรียน มันอยากไปเที่ยว

มันก็เบื่อกันตั้งแต่เด็กจนโตนั่นแหละ แล้วมันก็หนีความเบื่อตั้งแต่เด็กจนโต แต่มันไม่รู้…ว่าตัวเองเบื่ออยู่

แต่ทีนี้พอเราจะออกมาปฎิบัติธรรม เพื่อจะได้พบความสุขที่แท้จริง เพราะจะได้พ้นทุกข์อย่างถาวร…พ้นทุกข์อย่างถาวรนี่ก็พ้นความเบื่อนั่นแหละ แล้วเรากำลังจะมาทำสิ่งนี้ แล้วจะมีคนมาบอกเราว่า ออกไปแล้วเดี๋ยวมันจะเบื่อ จะกลัวทำไมถ้าอย่างนั้น?

ก็ในเมื่อชีวิตประจำวันเราก็เบื่ออยู่แล้ว ชีวิตปัจจุบันของเรามันน่าเบื่อจะตาย ไม่อย่างนั้นเราไม่ต้องเปลี่ยนไปทำนี่ ทำโน่น ทำนั่นตลอดเวลาหรอก มันอยู่กับเราอยู่แล้ว เราจะกลัวมันทำไม เราออกมานี่แหละเพื่อจะเรียนรู้มันจนในที่สุดเราพ้นมันไป

 

 ตอนที่ 3 ยาชูกำลัง

ความเบื่อนี้เป็นยาชูกำลัง ความเบื่อนี้เป็นซับเซตของความทุกข์นั่นแหละ

ความทุกข์มันจะทำให้เรารู้ว่า ที่เราปฏิบัติอยู่นี่มันยังไม่พอ ที่เรากำลังพากเพียร ที่จะเดินตามทางแห่งอริยมรรค เดินตามทางของพระพุทธเจ้า…เรายังเดินไม่พอ เรายังต้องทำอีก เรายังต้องพากเพียรพยายามให้มันมากกว่านี้ ให้มันต่อเนื่อง ให้มันเป็นนิสัย ให้มันถึงจุดที่เราจะพ้นความเบื่อได้อย่างแท้จริง หรือพ้นความทุกข์ได้อย่างแท้จริง

ถ้ามันยังเหลือ แปลว่าเรายังต้องเดินอีก มันยังไม่ถึงจุดหมาย ยังไม่ถึงจุดเส้นชัย

มันเป็นตัวเตือนเราต่างหาก มันไม่ใช่ตัวที่จะทำให้เรารู้สึกว่า…แย่ รู้สึกว่า…ออกมาทำไมเจอแต่อย่างนี้…ไม่ใช่แบบนั้น ถ้าคิดอย่างนั้น…ไม่ต้องออกมา

แต่สิ่งเหล่านี้สำหรับนักปฎิบัติธรรม สำหรับนักเดินทางที่จะไปถึงจุดหมาย อันนี้คือ “ยาชูกำลัง” อันนี้คือ หลักกิโล อันนี้คือสิ่งที่จะบอกเรา ที่จะเตือนเราว่าเรายังประมาทไม่ได้ สิ่งที่เรากำลังทำอยู่ ทางที่เรากำลังเดินอยู่ มันยังไปไม่ถึง เรายังต้องเดินต่อ

อันนี้เป็นสิ่งที่จะบอกเรา จะเตือนเรา ให้เราไม่หยุด ให้เราไม่เลิก ให้เราพร้อมที่จะเดินต่อไป โดยที่เราไม่ยอมใช้เวลาไปในความประมาท ใช้เวลาใปในทางไร้สาระ เพราะชีวิตเรามันไม่แน่ มันจะเตือนเราหลายอย่างมาก…ความทุกข์นี่

พระอริยะทั้งหลายที่ยังไม่ถึงพระอรหันต์ ท่านยังต้องคอยหมั่นตรวจตราตัวเอง ว่าท่านยังเหลืออะไร? ยังเหลือกิเลสส่วนไหน? ยังเหลืออะไรที่…ยังเหลืออยู่? จบรึยัง? ท่านต้องคอยตรวจตราอยู่ตลอดเวลา

ถ้ามันยังเหลืออยู่ ไม่ใช่ท่านเสียใจ ท่านดีใจต่างหากว่า อ้อ..เจอแล้ว แปลว่ายังเหลือนี่อยู่ ยังไม่จบ ยังมีงานต้องทำอยู่ นี่แบบนี้

เพราะฉะนั้น ผมถึงบอกความเบื่อ ความทุกข์ อันนี้เป็นยาชูกำลัง เป็นตัวเตือนเราให้เราไม่ประมาท ให้เราไม่ชะล่าใจ ให้เราไม่เลินเล่อ ให้เราไม่ได้ใจว่า…พอแล้ว ไม่ต้องทำอะไรแล้ว

 

ตอนที่ 4 คำสอนที่ครอบคลุมทุกหมู่เหล่า

พุทธโอวาทก่อนปรินิพพาน “จงยังชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท” เป็นสิ่งที่ครอบคลุมตั้งแต่ปุถุชนยันอริยะชนเลย ถ้ายังไม่ถึงพระอรหันต์ประมาทไม่ได้ ทุกระดับจะต้องคอยพากเพียรต่อไป ประมาทไม่ได้ ถ้าประมาทก็ติดอยู่ ถ้าประมาทก็ช้า เลินเล่อ

เพราะฉะนั้น ผมถึงบอกว่าพระพุทธเจ้าก่อนจะปรินิพพานพูดประโยคนี้เป็นประโยคที่ครอบคลุมจริงๆ ครอบคลุมให้กับคนทุกหมู่ ทุกเหล่า ทุกระดับเลย แล้วถ้าเราเชื่อตามพระพุทธเจ้าบอก ชีวิตเราก็มีแต่เจริญขึ้น

คนเราไม่ประมาทเราก็ไม่ไปทำอะไรไร้สาระ คนเราไม่ประมาทเราก็ไม่ไปที่อโคจรใช่มั๊ย? คนเราไม่ประมาทเราก็ไม่ไปสถานที่ที่มันเปลี่ยว อันตราย หรือว่าล่อแหลม นี่…มันใช้ได้กับทุกคน ทุกกลุ่มเลย

เพราะฉะนั้น คำสอนนี้เป็นคำสอนที่ดีมาก ครอบคลุมหมด แม้กระทั่งพระอริยะที่ยังไม่ถึงพระอรหันต์ก็ไม่ประมาทเหมือนกัน เพราะยังมีทางต้องเดิน ยังมีทางที่จะต้องเดินต่อ…เดินไป

 

ตอนที่ 5 เก็บเล็กผสมน้อยในชีวิตประจำวัน

เราต้องไปทำงาน เรายังต้องเลี้ยงชีพอยู่อะไรอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเวลาทำงาน มีความจำเป็นที่จะต้องฝึกที่จะรู้สึกตัวในชีวิตประจำวันให้ได้

คือหมายความว่าขับรถ เริ่มออกจากห้อง ออกจากบ้านเพื่อจะไปทำงานก็ต้องคอยระลึกอยู่ กลับมาเช็คอารมณ์เป็นยังไง?

เดินอยู่นี่…เราเดินจงกรมเราก็เดินธรรมชาติ ถูกมั๊ย? เราเดินไปทำงาน เราก็เดินธรรมชาติเหมือนกัน เพราะฉะนั้นก็เหมือนเดินจงกรมนั่นแหละ เราก็ทำให้มันเหมือนเป็นการเดินจงกรมไปเลย อืม..เราก็เดินธรรมชาติ แล้วเราก็รู้สึกถึงอาการการเคลื่อนไหวของร่างกาย

จิตหลงไปคิด ก็รู้ทันไปคิดแล้ว แล้วก็กลับมาอยู่กับความรู้สึกตัว เดินไปเดินไปอยู่กับความรู้สึกตัว ไม่ได้คิดอะไร ก็กลับมาเช็คอารมณ์หน่อยเป็นยังไง ปกติมั๊ย?

เราไปถึงรถ เราขับรถ สตาร์ทรถ เรานั่งนี่…เรานั่งบนรถ เราไม่ได้เป็นหุ่นยนต์ซะหน่อยใช่มั๊ย? เดี๋ยวเราก็มองกระจกซ้าย เดี๋ยวเราก็มองกระจกขวา เราก็มองกระจกหลังใช่มั๊ย? มือเราจับพวงมาลัยหมุนไปหมุนมา ขยับเกียร์เหยียบเบรค หลังเราเอี้ยวนิด ตัวเราเอี้ยวหน่อย ตาเรากระพริบ เรารู้ได้หมดทุกอย่าง

ค่อยๆรู้ ให้มันเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้น อย่าไปทิ้งเวลาพวกนี้ เอาเวลาพวกนี้มารู้สึกตัวให้มันบ่อยๆ ให้มันเนืองๆ แล้วเดี๋ยวมันจะรู้ได้ถี่ขึ้น รู้ได้บ่อยขึ้น จนมันอยู่กับเนื้อกับตัว แม้กระทั่งในชีวิตประจำวัน

เราไปถึงที่ทำงานใช่มั๊ย? เรานั่งโต๊ะคอมพิวเตอร์ เราเลื่อนเมาส์ เรานั่งเดี๋ยวเราก็เลื่อนเก้าอี้ใช่มั๊ย? เราหันซ้ายหันขวาใช่มั๊ย? หยิบเอกสารอะไร เราก็รู้สึกได้หมด

เราไปกินข้าวเราก็เดินเหมือนกันใช่มั๊ย?…เดินเหมือนเดินจงกรม เราก็รู้สึกได้

จนพัฒนาไปถึงขนาดว่าเราคุยกับคนอื่น…เวลาเราคุย เราไม่ได้คุยเป็นหุ่นยนต์ถูกมั๊ย? เราก็ออกท่าออกทางใช่มั๊ย? ออกรสออกชาติ มือเราก็ขยับเขยื้อน เราก็รู้สึกได้ ตัวเราขยับเขยื้อน เอี้ยวไปหน่อย เอี้ยวไปนิด เราก็รู้สึกได้

เพราะฉะนั้นเวลาการคุยกับคนอื่น แม้ว่าเราจะพูดไป แต่เราก็กลับมารู้สึกตัวด้วย มันจะเป็นการรู้สึกตัวที่หลวงพ่อเทียนพูดว่า เวลาเรามีปฏิสัมพันธ์กับใคร…อย่าไปหมด ให้มันอยู่กับตัวเองซัก 60 ไปซัก 40 อะไรแบบนี้

เราต้องมีอายคอนเทคกับคนที่เราคุยด้วย อย่างนี้เรียกว่าไป ระหว่างที่เราพูด เรากำลังทำมือทำไม้ เรากำลังอ้าปากง้าบๆๆๆ เรากำลังพูดอยูนี่ เดี๋ยวเราก็กลับมารู้สึกได้ว่ามือกำลังเขยื้อน ตัวกำลังเอี้ยว ตากำลังกระพริบใช่มั๊ย?

เวลาเราพูดกับคนอื่น เราคิดนิดเดียวเอง พี่ลองไปสังเกต เราคิดแค่นิดเดียว แต่เราต้องใช้เวลาพูดประมาณ 2นาที 1นาที 3นาที ระหว่างนั้นเราก็รู้สึกตัวได้

เพราะฉะนั้น ในชีวิตประจำวันเราก็จะสะสมความรู้สึกตัวเล็กๆน้อยๆ เรียกว่าเก็บเล็กผสมน้อย

เราไปห้องน้ำ เราก็เดินไป เราก็รู้สึกตัวได้ถูกมั๊ย? โดยเฉพาะถ้าเราไปห้องน้ำหญิง สมมุติออฟฟิศเราคนน้อย เราไปคนเดียว พี่จะรู้ถึงความเงียบสงัดในห้องน้ำ จากเราวุ่นวายอยู่ข้างนอกเมื่อกี้นี้

เราเดินเข้าห้องน้ำ ค่อยๆเดินไป แค่เริ่มคิดจะไปเข้าห้องน้ำ เราก็ผ่อนคลายแล้ว เราก็เดินไป…เดินไปเสร็จปุ๊ป เข้าห้องน้ำเงียบๆ นั่ง…อันนี้ก็ปกติ เช็คอารมณ์ปกติ นี่จะปกติทันทีเลย เพราะมันเงียบ…สบาย เค้าเรียกห้องอะไร? เค้าเรียกห้องสุขา สุขาแปลว่าอะไร?…สุข

ความสุขของเราคืออะไร? คือความเป็นปกติ เราก็ปกติแล้ว เรามีกำลังขึ้นมาแล้ว จิตมีกำลังขึ้นมาแล้วที่จะไปทำงานต่อได้ เราจัดการธุระตัวเองเรียบร้อยเสร็จ ปุ๊ป เราก็ยิ่งผ่อนคลายเลยใช่มั๊ย? สบายกว่าเดิม

ทุกข์ทางร่างกายก็น้อยลง เราก็สบายขึ้น ความเป็นปกติก็มากขึ้นอีก เราก็เดินกลับมา เราก็รู้สึกตัวได้ นั่งชงกาแฟ เติมน้ำ เรารู้สึกได้ทุกอย่างเลย เราทำทุกอิริยาบทนี่ เราจะรู้สึกตัวใช่มั๊ย?

เราก็จะรู้สึกว่าเราไม่หลงไปในความคิด แต่ถึงแม้ว่าเราจะไปคิด เราก็รู้ทันว่าไปคิดแล้ว เราก็กลับมารู้สึกตัว

 

ตอนที่ 6 ทำสิ่งที่มีคุณค่าที่สุดในชีวิต

พอเรารู้สึกตัวอยู่อย่างต่อเนื่องหรือบ่อยๆ เราก็กลับมาเช็คอารมณ์ตัวเองว่าเป็นอย่างไร? เหมือนเราไม่แน่ใจว่าเราปกติอยู่มั๊ย? เราก็กลับมาเช็คซะหน่อย ปกติหรือว่าหลง อะไรแบบนี้  อ้อ…ปกติอยู่ไม่มีอะไร ที่เมื่อกี้สงสัยว่าหลงไปมั๊ย หรือว่ามีขุ่นเคือง หรือมีอารมณ์อะไรที่เป็นฝ้าเบลอๆรึเปล่า? พอเรากลับมาเช็ค อ้าว…ปกติอยู่ไม่มีอะไร…แค่นั้น

แล้วเดี๋ยวจิตมันก็รู้จักความเป็นปกติบ่อยเข้าบ่อยเข้าจากในชีวิตประจำวันนี่แหละ แล้วเดี๋ยวพอเรากลับไปเดินจงกรมในรูปแบบของเรานี่ก็สะสมอีกสะสมอีก

เรานอนไป ตื่นมาแปรงฟัน…ที่ผมบอกว่าเวลาแปรงฟันตอนเช้า ปกติเราจะล่องลอยไปคิดโน่นคิดนี่ คิดเรื่องงาน คิดเรื่องโน้นนี้ เราก็…เอ้ย..เตือนตัวเอง อยู่กับรู้ อยู่กับรู้…ก็รู้สึกตัวนั่นแหละ ก็รู้การแปรงฟันไป รู้อาการเคลื่อน อาการเคลื่อนของร่างกายไป เราก็รู้ไปเรื่อยๆ

เตือนตัวเองทุกเช้าว่าเราต้องอยู่กับอาการรู้ อยู่กับอาการเคลื่อนไหว อยู่กับปรมัถต์ มันเตือนตัวเอง ปุ๊ป…มันจะเข้าโหมด…จิตมันถูกสอนแล้วว่าต้องอยู่กับอาการการเคลื่อนไหวของร่างกาย อยู่กับความรู้สึกตัว

เดี๋ยวซักพักนึงมันลืมไป เตือนตัวเองใหม่อีกรอบนึง มันจะเริ่มเป็นอัตโนมัติ มันจะเริ่มเป็นนิสัย มันจะเริ่มเปลี่ยนอุปนิสัยจากการหลงไป จิตมันก็จะกลับมารู้สึกตัวเอง มันก็จะรู้สึกตัวได้บ่อยขึ้น บ่อยขึ้น สะสมมากขึ้น มากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ

แล้วเราก็จะเริ่มเข้าที่ เราจะเริ่มมีกำลัง แต่ว่า…บางทีงานยุ่ง โอเค ทำไม่ได้ อันนั้นก็ไม่เป็นไร เราต้องคิดงาน บางทีอารมณ์เข้ามาครอบงำ เพราะงานมันยุ่ง งานมันเยอะ เราเซ็ง เราเบื่อ เราอะไรอย่างนี้  อันนี้ตอนนั้นสู้ไม่ได้ เราก็ โอเค ต้องรับก่อน รับทุกข์ เพราะว่าจิตยังฝึกไม่ดีพอ

ที่ผมบอก…พอเรารู้ว่าทุกข์ ก็แปลว่าอะไร? ก็แปลว่าเรายังทำไม่พอ !

ถ้ามีเวลาที่ปกติ เราต้องรีบที่จะศึกษา ที่จะสัมผัสมัน อยู่กับมัน ไม่ใช่เอาเวลาปกติ เอาเวลาแข็งแรงไปหลงโลกอีก

ความทุกข์ก็เลยจะคอยเตือนเราว่า อ้า..ถ้าปกติแล้วอย่าเอาไปหลงโลก เอามาฝึกปฎิบัติธรรม แล้วมันก็จะแข็งแรงขึ้น แข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ

ถ้าเราเลือกทางที่เราจะเดิน ถ้าเราทำให้มันเต็มที่ เราทำเต็มที่ตามที่เราทำได้ มันจะกี่เดือนกี่ปีก็ได้ แต่เราทำเต็มที่…พอแล้ว…แค่นั้น

เรากำลังได้ทำสิ่งที่ดีที่สุด เรากำลังได้ให้สิ่งที่มีคุณค่าที่สุดให้กับชีวิตที่เราได้เกิดมาแล้ว

 

Camouflage

22-Feb-2016

 

ถอดไฟล์เสียงจาก YouTube : https://youtu.be/ruUUk0VWbY0

คลิปเสียงธรรมะทั้งหมดของคุณ Camouflage : https://goo.gl/RDZFMI

======================

5 ช่องทางการอ่านและฟังธรรม

1) Facebook : สุขกาย สุขใจ SookGuySookJai
http://www.facebook.com/sookguysookjai

2) Line : @camouflage.talk
https://line.me/R/ti/p/%40camouflage.talk

3) YouTube : สุขกาย สุขใจ SookGuySookJai
https://goo.gl/in9S5v

4) Website: https://camouflagetalk.com

5) Podcast : Camouflage – Dhamma Talk
https://itun.es/th/t6Mzdb.c