13.”แหวกเมฆหมอก” ค้นพบ “สิ่งที่มีอยู่แล้ว”

ตอนที่ 1 สงบนิ่งภายใน…มันมีอยู่แล้ว

รู้ลมเนี่ย…พี่ต้องรู้ว่า ตอนที่พี่ไปรู้ลม คือหมายความว่าพี่เข้าไปหลบอยู่ พี่เข้าไป…ไม่เอาอะไรแล้ว จะเอาความสงบ พี่ต้องรู้ว่า ตอนนี้พี่กำลังทำสมถะอยู่ พี่ต้องรู้แบบนั้นว่า โอเค กำลังทำสิ่งๆนี้อยู่

พอมันสงบลง มันสบายขึ้น ต้องออกมา…ออกมารู้สึกตัว รู้สึกการเคลื่อนไหว ให้มันตื่นตัวไว้ ให้นั่งลืมตา ไม่ต้องหลับตา ให้ขยับมือไว้ พลิกมืออะไรก็ได้ พลิกเอาไว้

เพราะว่าสมาธิที่ผมจะบอกให้ทุกคนทำคือ สมาธิที่มันตื่นรู้ สมาธิที่มันตื่นตัว ไม่ใช่สมาธิหลบอยู่ ไม่ใช่สมาธิเคลิ้ม ไม่ใช่สมาธิหลับ แต่ต้องเป็น สมาธิที่มันตื่นตัว ตื่นรู้อยู่

มันจะไม่ใช่คำว่านิ่ง ไม่ใช่แบบนั้น

ความนิ่ง มันอยู่ภายใน อย่างที่ผมบอกว่าความเป็นปกติ ที่ผมจะพูดตลอดว่า เวลานั่งแล้วเห็นมั๊ยว่ามันปกติอยู่? ความรู้สึกปกติแล้ว ความเป็นปกตินี้แหละคือ ความสงบที่แท้จริง มันมีอยู่แล้ว เราไม่ได้ไปทำมันขึ้นมา

แต่การที่…พี่มาถึงก็นั่งจะเอาสงบเลย นี่เรากำลังทำความสงบขึ้นมาแล้ว…มันไม่ใช่

ความสงบที่เราทำขึ้นมา มันไม่ Long lasting มันอยู่ไม่นาน พอเราเลิกทำ มันก็หายไป

แต่ความสงบที่ผมบอก มันคือความเป็นปกติ มันเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว

 

ตอนที่ 2 กระทบแล้วไม่กระเทือน

ผมบอกว่าการปฎิบัติธรรมคือ การเห็นสิ่งที่มีอยู่แล้วนี้ เห็นให้มันบ่อยๆ เห็นให้มันต่อเนื่อง เห็นให้มันจนเป็นนิสัย

แล้วสุดท้ายความเป็นปกติ มันจะเป็นพื้นฐานของจิตของใจเรา

เป็นพื้นฐานที่ทำให้จิตใจเต็มไปด้วยความหนักแน่น

หนักแน่นอันนี้ไม่มีน้ำหนัก

หนักแน่นอันนี้เป็นหนักแน่นแต่เบาสบาย

หนักแน่นอันนี้เป็นหนักแน่นที่ไม่ใช่หนักอึ้ง

มันหนักแน่นแล้วก็ตื่นรู้ และก็เบาสบาย

แล้วเมื่อไหร่เรามีพื้นฐานของจิตแบบนั้น เราอยู่ในโลก เรากระทบ มันก็ไม่กระเพื่อมหวั่นไหว หรือมันจะกระเพื่อมมันก็นิดหน่อย แล้วเราก็รู้แล้ว พอจิตมันรู้ทันว่ามันกระเพื่อมแล้ว มันก็ฉลาดที่จะไม่ไปคิดปรุงแต่งต่อ ด้วยการที่เราฝึกให้มันอยู่กับความเป็นปกติ ไม่ตามความคิดไปอยู่เรื่อยๆ

แล้วพอจิตนี้มันถูกพัฒนา มันก็จะมีกำลังที่จะอยู่ในโลกได้ โดยที่กระทบแล้วก็ไม่กระเทือน เราก็ไม่ต้องทุกข์

 

ตอนที่ 3 นั่งสบายๆ แหวกเมฆหมอก

ที่ผมพูดว่า ความสงบที่แท้จริงไม่ใช่สิ่งที่ไปสร้างขึ้นมา ความสงบที่แท้จริง มันมีอยู่แล้ว เรามีหน้าที่แหวกเมฆหมอกที่มันปิดบังมันอยู่ และก็รู้จักมัน แค่นั้นเอง

พอเรารู้จักความเป็นปกติอันนี้ที่มันมีอยู่แล้ว เรารู้จักมันบ่อยเข้าบ่อยเข้าบ่อยเข้า จนวันนึงมันกับเราก็เป็นหนึ่งเดียวกัน

สมมุติเราไปทำงานยุ่งๆกลับมา และเราก็เลิกงาน เราก็กลับมาบ้าน เราก็นั่งอยู่คนเดียวของเรา นั่งสบายๆ จะรู้สึกมั๊ยว่าความเครียด ความกังวล ความฟุ้งซ่านในงาน มันค่อยๆจางคลายไป

จิตใจมันค่อยๆสบายขึ้น มันค่อยๆสบายขึ้น มันค่อยๆสงบระงับลง เหมือนมันกลับมาที่เนื้อที่ตัว และมันก็เบาๆสบายๆ มันไม่มีความรู้สึกดีไม่ดี มันเฉยๆ มันรู้สึกเป็นปกติอยู่ ไม่มีอะไร

ถ้าเมื่อไรรู้สึกแบบนั้น อันนั้นแหละเป็นความเป็นปกติที่มีอยู่แล้ว เราไม่ได้ทำอะไรมัน เพียงแต่ว่าเราสร้างสิ่งแวดล้อมที่จะเห็นมันได้เฉยๆ ก็คือการที่เรานั่งสบายๆ นั่งเฉยๆ แล้วเราก็สังเกตมัน

พอเมฆหมอกของความฟุ้งซ่าน เมฆหมอกของความกังวล เมฆหมอกของการงานที่เราเพิ่งผ่านมา และเรามาอยู่ในที่ที่สงบๆ สบายๆ ที่ที่มีสิ่งแวดล้อมดีๆ แล้วสิ่งเหล่านั้นมันก็จางคลายไป

สิ่งเหล่านั้นจางคลายไป เหมือนกับเราอยู่ในที่ที่มีเมฆหมอก พอแสงแดดพาดผ่านมา เมฆหมอกจางหายไป เราก็เห็นอะไรๆ เห็นตึกรามบ้านช่องได้ชัดขึ้น…ก็แบบนั้น  มันเห็นเอง

ถามว่าตึกรามบ้านช่อง มันมีอยู่แล้วมั๊ย? มันมีอยู่แล้ว เราไม่ได้ไปก่อสร้างมันขึ้นมา แต่พอดีว่าเมฆหมอกนี้มันหายไป พอมันหายไปเราก็เห็นมันชัดๆว่า อ้อ มันมีตึกนี้ตึกนั้น

 

ตอนที่ 4 แหวกเมฆหมอก เห็นจิตประภัสสร

เหมือนกัน…ความเป็นปกตินี้ หรือที่เค้าเรียกว่า “จิตประภัสสร” มันมีอยู่แล้ว

จิตนี้มันประภัสสรอยู่แล้ว แต่มันโดนกิเลสจรมาใช่มั๊ย มาบดบังเอาไว้

เหมือนดวงจันทร์ที่มีก้อนเมฆมาบดบังเอาไว้ เราก็ไม่เห็นดวงจันทร์ แต่เมื่อก้อนเมฆมันผ่านไป เราก็เห็นดวงจันทร์ ดวงจันทร์ไม่เคยหายไปไหน มันมีอยู่แล้วของมันอย่างนั้น

แต่ด้วยความที่…จิตเราวันๆ มันไม่เคยเป็นปกติเลย วันๆเราตื่นเช้ามาก็คิดเรื่องงาน ไปทำงานเราก็คิดเรื่องคนงาน เราก็คิดเรื่องงานและก็คิดเรื่องลูกค้า และก็คิดเรื่องตารางงานที่นัดคนโน้น ส่งของอันนี้ ออเดอร์เท่าไหร่ เรามีแต่ความคิดที่มันปิดบัง เมฆหมอกที่มันปิดบังดวงจันทร์นี้เอาไว้ทั้งวัน

พอมากลางคืนแทนที่เราจะนั่งสบายๆ แหวกเมฆหมอกนี้ออกไป เราก็คิดเรื่องอื่นต่ออีก เช่น เราก็คิดว่า เราจะไปทำอะไรต่อดีพรุ่งนี้ และงานพรุ่งนี้มันคืออะไร เราจะต้องวางแผนอะไรยังไง

เพราะฉะนั้นเราอยู่ภายใต้ความดิ้นรน ภายใต้ความคิด ภายใต้กิเลส ภายใต้โมหะ ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้ มันก็บดบังจิตประภัสสร หรือความเป็นปกติที่มีอยู่แล้วนี้เอาไว้ เราก็เลยไม่เคยเป็นปกติเลย ชีวิตเราเลยต้องทุกข์ทั้งชีวิต

 

ตอนที่ 5 ความปกตินำหน้าโมหะ

ทำในรูปแบบ ฝึกที่จะหยุดเพื่อที่จะตื่นขึ้นมา โมหะนี้มันจะค่อยๆจางคลายไป พอโมหะมันจางคลายไป ความคิดมันไม่ค่อยมีหรอก มันจะน้อยลง เราจะคิดแต่ในเรื่องที่จำเป็นต้องคิด แต่ไอ้เรื่องที่เรียกว่าเรื่องบ้าๆบอๆ เรื่องไม่มีสาระมันไม่ค่อยมาหรอก

เพราะว่าความคิดที่มันฟุ้งซ่านเหล่านั้น มันมาได้เพราะโมหะมันครอบจิตครอบใจ ครอบชีวิตเราอยู่ทั้งชีวิต เราไม่เคยแหวกมันออก เราไม่เคยเปิดให้ “ความเป็นปกตินำหน้าโมหะ เราปล่อยให้โมหะนำหน้าชีวิตเราตลอด ชีวิตเราเลยมีแต่ความทุกข์

บางคนบอกว่า คิดก็รู้ แต่มันรู้เหมือนอยู่ในน้ำ

สมมุติว่าผมอยู่บนบกและพี่อยู่ในน้ำ แล้วอะไรที่ลอยในน้ำ พี่ก็เห็นใช่มั๊ย? และผมก็เห็นเหมือนกันใช่มั๊ย? แต่ตัวผมไม่เลอะ ตัวผมไม่เปียกไปด้วย แต่พี่เปียกและเลอะแล้วก็เห็นด้วย มันไม่เหมือนกัน มันต้องเห็นแบบอยู่บนบก ไม่ใช่เห็นแบบอยู่ในน้ำ

เพราะฉะนั้นพื้นฐานที่สำคัญที่สุด ก่อนที่เราจะไปปฎิบัติ จะไปดู จะไปเห็นโน่นเห็นนี่ ที่เราว่าเห็นความคิดหรือว่าจะเห็นกิเลส เห็นอะไรเนี่ย ก่อนหน้าที่จะไปเห็นพวกเหล่านั้น พื้นฐานความเป็นปกติในจิตนี้ต้องมีก่อน ถ้าไม่มีตรงนี้อย่าเพิ่งไปไหน

 

ตอนที่ 6 ไม่กระเทือนเพราะจิตมีปัญญา

การที่มันกระทบแล้วจะไม่กระเทือน อันนี้หมายความว่าจิตนี้มีปัญญาแล้ว ปัญญาเข้าใจสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง ปัญญานี้เข้าใจเอง ผ่านการปฎิบัติธรรม ผ่านการพัฒนาศีล สมาธิ จนมีปัญญาเกิดขึ้น

ไม่ใช่เกิดจากการที่เราฟังธรรมะ แล้วเราก็เข้าใจว่ามันเป็นแค่สภาวธรรมและเราก็จำเอาไว้ แล้วก็พอกระทบเราก็พูดว่า อื้ม…มันเป็นแค่สภาวะธรรม เราไม่ควรจะเข้าไปกระเทือนกับมัน หรืออะไรแบบนี้ นี่เป็นการคิดหมดเลย

อันนี้เป็นเรื่องของความคิดทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องของปัญญา

มันไม่กระเทือนเพราะจิตนี้มีปัญญาแล้ว จิตนี้มีความเป็นปกติเป็นพื้นฐานแล้วอย่างหนาแน่น มันถึงไม่กระเทือน เพราะว่ามันไม่มีตัวตนแล้ว

แต่เรา !! …เรายังเต็มไปด้วยตัวตน แล้วเราจะหวังว่าไม่ให้มันกระเทือน มันเป็นไปไม่ได้ นั่นแปลว่าเรากำลังไปดักมันไว้ เราไปตั้งท่าไว้ ตั้งโล่เอาไว้ มันถึงไม่กระเทือน

มีตัวมีตนอยู่เต็มๆ มันต้องกระเทือน แต่เรารู้ทันว่ามันกระเทือน เราเห็นแล้วว่ามันกระเพื่อม และเราก็มีหน้าที่ที่จะไม่ไปปรุงแต่งต่อไปให้มันเกิดเป็นเรื่องเป็นราว ให้จนเกิดความทุกข์ขึ้นมา อันนั้นเรียกว่า คนในโลกเค้าทำแบบนั้น

พอกระเพื่อมปุ๊บ ก็คิดเป็นตัวเป็นตน คิดเป็นเรื่องเป็นราวจนเกิดความทุกข์ เกิดความดีใจ เกิดความเสียใจ เกิดความพอใจ เกิดความไม่พอใจ เกิดทุกข์ เกิดสุขขึ้นมา นั่นคนในโลกเค้าทำแบบนั้น

แต่นักปฎิบัติธรรมเรา มันกระทบปุ๊บ มันกระเทือนปุ๊บ มันกระเพื่อมปึ๊บ “รู้” อืม…ตอนนี้เป็นแบบนี้แล้ว พอรู้เป็นแบบนี้แล้ว โอเค ไม่ตามความคิดไป ไม่ตามไปปรุงต่อ ให้มันเป็นเรื่องเป็นราว จนเกิดทุกข์มากกว่านี้…เราทำได้แค่นั้น

 

ตอนที่ 7 ใช้ความมืดทำลายความมืด …ไปไหนไม่ได้

ไม่ใช่ว่าเราเริ่มปฎิบัติธรรมปุ๊บ เป็นพระอรหันต์เลย…ไม่ใช่แบบนั้น ที่ผมบอกตั้งแต่แรก เราไม่ได้เป็นพระอรหันต์เลย

เรากำลังอยู่บนทาง…อยู่บนทางเดินที่จะถอดถอนความเห็นผิด ถอดถอนความเป็นตัวเป็นตน

เราไม่ได้มีหน้าที่ในการถอดถอน หรือว่าละความเห็นผิดด้วย

แต่ด้วยการที่เราพัฒนาสติ สมาธิ ปัญญาเกิดขึ้นนี่แหละ

ศีล สมาธิ ปัญญาเหล่านี้จะเป็นตัวถอดถอนเป็นตัวชะล้าง เป็นตัวทำลายอาสสวะกิเลสหรือตัวตนทั้งหลาย ทิ้งลงไปด้วยตัวมันเอง เราไม่มีหน้าที่ทำอะไร…เพราะในความเป็นจริงมันไม่มีเรา

ถ้าเราจะไปทำอะไรก็ผิดแล้ว เรากำลังมีตัวมีตนเข้าไปทำอะไร เราก็อยู่ในความมืด เราใช้ความมืดไปไล่ล่าความมืด ทำลายความมืด มันก็อยู่ในความมืดอยู่ดี ไปไหนไม่ได้

 

ตอนที่ 8 ศิลปะเฉพาะบุคคล

การปฎิบัติธรรมคือ เรากำลังเรียนรู้ชีวิตที่แท้จริง เรากำลังจะพัฒนาชีวิตที่แท้จริงขึ้นมา

ในขณะเดียวกัน แต่ละคนมีกรรมไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นการพัฒนาชีวิตจิตใจ หรือเข้าสู่การมีชีวิต การพบชีวิตที่แท้จริง มันถึงเป็นศิลปะเฉพาะบุคคล มันถึงมีคำว่า “โยนิโสมนสิการ เกิดขึ้น คือการพิจารณาอย่างแยบคาย

เพราะตอนนี้เราอยู่ในสถานะการณ์แบบไหน เราต้องทำอะไร เราต้องเลือกอะไร คุยกับใคร ปฎิบัติยังไง มันไม่มีสูตร1 2 3 เป๊ะๆ ว่าพี่ต้องทำอย่างนี้ ถ้าพี่ออกจากนี้ นี่เสร็จเลย ไม่ใช่แบบนั้น

มันเป็นศิลปะของการใช้ชีวิต ของการพัฒนาชีวิตที่เราต้องรู้ว่าอะไรเหมาะกับเรา อะไรที่มันไม่จำเป็น อะไรที่มันจำเป็น มันอาจจะไม่ใช่เรื่องจำเป็นของเค้า แต่มันจำเป็นของเรา

เรื่องของศิลปะเป็นเรื่องฟันธงไม่ได้ เป็นเรื่องว่าขณะนั้นควรจะทำอะไร นั่นแหละเรียกว่าศิลปะ

มันไม่มีถูก ไม่มีผิด มันเป็นศิลปะของการที่พี่จะรู้ว่า ถ้าพี่ทำตรงนี้แล้วพี่จะไปต่อได้ และพอไปถึงตรงนั้น พี่จะรู้ในสถานการณ์นั้นๆจะไปอย่างไรต่อ แล้วไปต่อได้อีก

แต่ศิลปะตรงนี้มันคือปัญญา ก็ต้องอาศัยครูบาอาจารย์ อาศัยผู้รู้ที่จะแนะนำพี่ได้ว่า ตอนนี้พี่ควรจะทำอะไร ควรจะทำอย่างไร

 

Camouflage

11 – Jan – 16

 

ถอดไฟล์เสียงจาก YouTube :  https://youtu.be/PlGyI6z2TUI

คลิปเสียงธรรมะทั้งหมดของคุณ Camouflage : https://goo.gl/RDZFMI

======================

5 ช่องทางการอ่านและฟังธรรม

1) Facebook : สุขกาย สุขใจ SookGuySookJai
http://www.facebook.com/sookguysookjai

2) Line : @camouflage.talk
https://line.me/R/ti/p/%40camouflage.talk

3) YouTube : สุขกาย สุขใจ SookGuySookJai
https://goo.gl/in9S5v

4) Website: https://camouflagetalk.com

5) Podcast : Camouflage – Dhamma Talk
https://itun.es/th/t6Mzdb.c