11.ความเชื่อ…ความจริง

 

ตอนที่ 1 เปิดเส้นทางอริยมรรค

บุญบารมีอะไรเหล่านี้ เป็นปัญหาใหญ่ของนักปฏิบัติเหมือนกัน ชอบคิดว่าตัวเองบุญไม่พอ บารมีไม่พอ…

“บุญบารมีสร้างกันตอนนี้” ถ้ารู้สึกเอง คิดเอง เออเอง ว่าไม่พอ ถ้ารู้อย่างนี้ก็รีบสร้าง

วิธีการสร้าง คืออะไร?

ก็คือ รู้สึกตัว พ้นออกจากโลกของความคิด ไม่ตามความคิดไป และก็เห็นความเป็นปกตินี้อยู่บ่อยๆ อันนี้แหละคือกำลังสร้างบารมี กำลังสร้างบุญ สร้างบารมี สร้างทางแห่งอริยมรรคอยู่

ถ้าเรามัวแต่ตัดพ้อว่าเรามีบุญบารมีน้อย เราอะไรๆ…อย่างนี้ มันไม่มีประโยชน์อะไร นอกจากตัดกำลังใจตัวเอง

ความเชื่อในแบบที่คนจะคิดว่า ตัวเองคงไม่ถึง(นิพพาน)หรอกในชาตินี้ บุญบารมีไม่พอ ต้องอีกหลายชาติ ต้องเกิดอีกหลายชาติ ผมอยากจะบอกว่านี่เป็นแค่ความเชื่อ เราไม่ต้องเชื่อแบบนั้น คนเค้าบอกว่าต้องเกิดอีกหลายชาติ เป็นกัปป์ๆอะไรพวกนี้ กว่าจะบรรลุได้อะไรแบบนี้

คือผมจะยกตัวอย่างว่า ภพชาติของเรานี้ มันไม่ใช่ภพชาติที่เราเกิดมาแล้วตายจากภพมนุษย์…ไม่ใช่แบบนั้น  ภพชาติ หมายความว่า จิตนี้เกิดดับ วงจรปฏิจจสมุปบาทหมุนไม่รู้กี่ครั้งแล้วในหนึ่งวินาที อวิชชาปรุง สังขารปรุง วิญญาณปรุงไปจนครบรอบของมัน…จนทุกข์

เราทุกข์มา เราเสียน้ำตามาตั้งแต่เด็กจนโต เราไม่รู้ว่าวงจรปฏิจจสมุปบาทหมุนไปไม่รู้กี่ล้านๆชาติแล้ว อันนี้แหละชาติที่แท้จริง แต่คนๆนึงจะบรรลุธรรมขึ้นมาได้ ธรรมชาติมันไม่โหดร้ายกับเราขนาดนั้น

วงจรปฏิจจสมุปบาทหมุนมาไม่รู้กี่ล้านๆชาติแล้ว แต่ถ้าในภพภูมิที่เราเกิดมาแล้วนี้ในภพภูมิที่สมบูรณ์ที่สุด คือความเป็นมนุษย์  “เรา(มีหน้าที่)ฝึกจิตฝึกใจ เปิดเส้นทางใหม่ คือเส้นทางของอริยมรรค”

 

ตอนที่ 2 แหวกให้ต่อเนื่อง

เปรียบเทียบเหมือนกับว่า เรามีถุงน่อง อาจจะดูเป็นเหมือนโจรนิดนึงนะ เรามีถุงน่องสีดำที่โจรมันชอบเอามาคลุมหัวเวลาไปปล้นแบงค์ใช่มั๊ย ปล้นธนาคารใช่มั๊ย? แล้วเราก็เอามือแหวกถุงน่องนี้ออก เราจะฉีกให้มันขาดนะ…นึกออกมั๊ย?  เราค่อยๆฉีกมัน ฉีกมัน ฉีกมัน

สมมุติว่าเราฉีกไป มันขาดนิดนึงแล้ว แล้วเราก็หยุดฉีก ถุงน่องนี้มันก็จะยืดหยุ่นใช่มั๊ยFlexibleใช่มั๊ย? มันก็กลับมาคลุมหัวได้เหมือนเดิมใช่มั๊ย?

อันนี้เค้าเรียกว่า สังโยชน์มันไม่ขาดสะบั้น…มันยังไม่ขาดหมด มันเลยยังมาคลุมได้อยู่ มันยังเหลือส่วนที่มัน Flexible มาคลุมเราได้อยู่

แต่พอวันนึงที่เราฉีกๆๆๆๆ จนมัน..เรียกว่าขาดสะบั้นใช่มั๊ย? พอมันขาดสะบั้น มันแหวกออกแล้ว ถามว่าถุงน่องนั้นจะกลับคืนมาคลุมหัวเราเหมือนเดิมได้มั๊ย?…ไม่ได้แล้ว

คือเรามีหน้าที่ฉีกมัน คือแหวกๆๆๆๆ “เรามีหน้าที่เปิดทางใหม่นี้ออกมา เปิดทางแห่งอริยมรรคนี้ออกมา เปิดทางที่จะออกจากสังสารวัฏนี้” เค้าเรียกว่า Keep going Keep walking ใช่มั๊ย?

ที่ผมบอก “ให้มันต่อเนื่อง แหวกให้มันต่อเนื่องเรื่อยๆๆๆๆๆ จนวันนึงมันขาดสะบั้นออกจากกัน มันก็จบ สังสารวัฏก็พังทลายลง” ก็เหมือนกับถุงน่องที่ไม่Flexible แล้ว  มันกลับมาคืนรูปเดิมไม่ได้แล้ว…เรามีหน้าที่แบบนั้น

เพราะฉะนั้นมันไม่ได้เกี่ยวกับบุญบารมีในชาติก่อน ที่เราเชื่อกันว่าต้องมีบุญบารมีเยอะอะไรแบบนี้

บุญบารมีก็คือการแหวกมันนี่แหละ ให้มันต่อเนื่อง รีบๆ ไม่ขี้เกียจ มีฉันทะ ทำให้มันต่อเนื่อง นี่แหละบุญบารมีที่จะแหวกทำลายอาสวะกิเลสได้  ไม่ใช่เรื่องของบุญบารมีที่ตัวเองเคยสั่งสมมาตั้งแต่ชาติก่อน เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรื่องจริงหรือเปล่าที่เค้าพูดแบบนั้น

แต่สิ่งที่เป็นจริง คือตอนนี้ คือเราแหวกมันตั้งแต่ตอนนี้ นี่คือเรื่องจริง นี่คือสิ่งที่เราเห็นได้จริงว่า “ถ้าเราแหวกตั้งแต่วินาทีนี้ เราไม่ทุกข์แล้ว”

แต่เรามัวแต่ไปเชื่อเรื่องความเชื่อ เราไปเชื่อคำที่เค้าพูดๆกัน ซึ่งเราไม่รู้ด้วยว่ามันจริงหรือไม่จริง ถ้าเราไม่รู้ว่ามันจริงหรือไม่จริง…เราไม่ต้องเชื่อ

 

ตอนที่ 3 เชื่อจากประสบการณ์ตรง

พระโสดาบันไม่เชื่ออะไรก็ตามที่ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์…ไม่เชื่อแล้ว พระโสดาบันจะเห็นสัจธรรมแล้ว จะเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างว่าความจริงคืออะไร

ความเชื่อทั้งหลายทั้งปวงที่เคยเชื่อมันหมดแล้ว มันไม่มีแล้ว มันไม่มีหลงเชื่ออะไร หรือว่าติดกับความเชื่ออะไร ที่เราเคยติดอยู่…มันไม่มี

มันจะไม่เชื่ออะไรที่มันเหมือนไสยศาสตร์…มันไม่เชื่อ เพราะมันเห็นความจริงแล้วว่าความจริงคืออะไร  มันจะไม่กลัวความเชื่อที่เค้าว่า…ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ อะไรอย่างนี้…ไม่มีแบบนั้น

เพราะฉะนั้น “ศาสนาพุทธเป็นศาสนาของปัญญา ไม่ใช่ศาสนาของความเชื่อ” ที่ผมเคยพูดบ่อยๆว่า “พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สอนให้เราเชื่อ พระพุทธเจ้าสอนให้เราลงมือทำ”

แล้วประสบการณ์ที่ตัวเองได้พบนั่นแหละ จะเป็นตัวยืนยันว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าพูดว่ามันจริงหรือไม่ เราจะเชื่อจากการที่เราได้ลงมือทำ และก็ประสบการณ์ตรงกับตัวเอง…แค่นั้น  เราไม่ได้เชื่อเพราะว่าเราฟังเค้ามา

 

ตอนที่ 4 รู้จักความไม่เกิดไม่ดับ

เราต้องเข้าใจว่า เรากำลังจะเข้าถึงสุดท้ายของสิ่งที่เรียกว่าเหนือโลก สิ่งที่เหนือโลกคือเหนืออะไร? เหนือสิ่งเกิดดับ

เรากำลังไปสู่สิ่งที่เหนือโลก ก็คือเหนือสิ่งพวกนี้ มันเหนือการเกิดดับ มันก็คือการไม่เกิดไม่ดับ

“เรามีหน้าที่ที่จะรู้จักความไม่เกิดไม่ดับ ไม่ใช่ไปรู้จักสิ่งที่มันเกิดดับ” สิ่งที่มันเกิดดับเป็นสิ่งในโลก ผมเปรียบเทียบใช่มั๊ยว่าสิ่งในโลกคือความมืด

สมมุติผมบอกว่า ผมจะอธิบายสิ่งในโลกทั้งหมดว่ามันเป็นยังไง? มันเป็นปฏิจจสมุปบาทนะรู้มั๊ย? พวกเราทุกข์ทุกวันนี้เพราะเรามีอวิชชา แล้วก็มีสังขาร แล้วก็ไล่ปึ๊บๆๆๆๆไปแบบนี้นะ เราเลยต้องทุกข์ รู้มั๊ย?

ผมอธิบายว่าทุกสิ่งนี้อย่าไปหลงมันเลย  เพราะทุกสิ่งอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์  มันผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ทนอยู่ในสภาวะเดิมไม่ได้ ควบคุมบังคับไม่ได้ มันไม่มีตัวตน ไม่มีคน ไม่มีใคร ให้เข้าใจแบบนี้ จะได้ปล่อยวางใช้ชีวิตอย่างเป็นสุขได้ในโลก

คนเราฟังแล้วก็เข้าใจ เออใช่ๆ…ความทุกข์เป็นแบบนี้…ใช่มันเกิดขึ้นเพราะอวิชชา สังขารจนเป็นทุกข์ พอผมจบคำสอนแค่นี้ ผมถามว่ายังทุกข์อยู่มั๊ย?  ทุกคนก็ยังทุกข์เหมือนเดิมถูกมั๊ย?

แต่ถ้าวันนึง ไม่ต้องพูดเรื่องพวกนี้เลย ผมไม่ต้องพูดเรื่องของความมืดเลย แต่ผมบอกว่าโอเค… “ไปรู้จักสิ่งที่ไม่เกิดไม่ดับ สิ่งที่มีอยู่แล้ว สิ่งนั้นคือความเป็นปกติ สิ่งนั้นเป็นนิพพานชิมลอง”

ถ้าเปรียบเทียบคือ ผมบอกว่าห้องนี้นะ ถ้าเข้าไปจะมองอะไรไม่เห็นนะ แต่เดี๋ยวพอเปิดประตูปุ๊บ คลำมือไปตามกำแพงนะ ด้านซ้ายจะเจออะไรนูนๆขึ้นมา ให้กดมันลงไปเดี๋ยวห้องจะสว่างขึ้นเลย

ผมถามว่าถ้าคนทำตามอย่างนี้ จิตใจของเค้าก็สว่างขึ้นมาเลยใช่มั๊ย? เค้าสามารถเข้าไปอยู่ในห้องได้ มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้โดยชัดเจนใช่มั๊ย?

แล้วผมถามว่าต้องไปอธิบายมั๊ยว่าความมืดคืออะไร? เค้าไม่ต้องรู้เลยว่าความมืดคืออะไร เพราะจิตใจเค้าเต็มไปด้วยความสว่างแล้ว ความมืดมันไม่มีแล้ว  ไม่รู้จะไปอธิบายทำไมให้เมื่อย จะอธิบายทำไมให้เค้าปวดหัว ในเมื่อวันใดวันนึงเค้ามีความสว่างบริบูรณ์100%แล้ว โอกาสของความมืดมันไม่มีอีกแล้ว ถึงเค้าจะเข้าใจก็ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะมันไม่มีอีกแล้ว จะเข้าใจสิ่งที่ไม่มีทำไม

มันจำเป็นสำหรับอธิบายให้คนที่ไม่ยอมที่จะเดินมาทางนี้ อธิบายให้เค้าเห็นภาพ ว่าเค้ากำลังทุกข์อยู่นะ อธิบายให้เค้าเห็นภาพว่าควรจะมาทางนี้เพราะอะไร? เพราะว่าเค้ายังอยู่ในความมืดอยู่ เราเลยต้องใช้ความมืดอธิบายให้เค้าฟังเค้าถึงจะเข้าใจ

 

ตอนที่ 5 มุ่งเปิดไฟ แต่ก็เข้าใจความมืด

แต่ถ้าในความเป็นจริงแล้ว สมมุติว่าคนที่มีศรัทธามหาศาลเจอคนที่ยอมเชื่อเลย จะทำตามทุกอย่าง … ไม่ต้องไปเล่าเรื่องความมืดเลย จะบอกให้เดินไปเปิดไฟทุกอย่างจะจบ

นี่แหละเซน เซนนี้มีคำอธิบายน้อยมาก ไม่ได้มีคำสอนมากมายเยิ่นเย้อ ลูกศิษย์ก็โอเค คนนี้เป็นครูบาอาจารย์สั่งอะไรจะทำหมด ครูบาอาจารย์ก็สั่งเปิดไฟอย่างเดียว ทุกคนก็โพล่งๆๆๆ ในขณะที่โพล่ง ถามว่าจริงๆแล้วเข้าใจความมืดมั๊ย? เข้าใจ…ทำไมจะไม่เข้าใจ ก็ยังอาศัยอยู่ในโลก เห็นตัวอย่างเยอะแยะ

เหมือนกับหลวงพ่อชา มีคนเคยพูดกับหลวงพ่อชาว่า หลวงพ่อไม่เข้าใจหรอกว่า ความสุขในโลก เช่นเรื่องกาม เรื่องSex เป็นอย่างไร หลวงพ่อไม่เข้าใจหรอก หลวงพ่อบวชตั้งแต่เด็ก ไม่เคยมีประสบการณ์แบบนั้น หลวงพ่อไม่รู้หรอกว่าในโลกมีความสุขขนาดไหน หลวงพ่อไม่รู้หรอก

ถ้าจะเปรียบเทียบ เค้ากำลังจะบอกว่าหลวงพ่อชาไม่รู้จักความมืดหรอกว่ามันดีขนาดไหน ว่ามันน่าหลงใหล น่าติด น่าเอาขนาดไหน เพราะตัวเองไม่เคยลอง จะรู้ได้อย่างไร

หลวงพ่อชาบอก อืม…หลวงพ่อก็ไม่เคยลองหรอก แต่หลวงพ่อเห็นไอ้ด่าง 2ตัวนั้นบ่อยๆก็เข้าใจได้ว่ามันเป็นยังไง ลักษณะไม่ต้องลองเอง ก็รู้ว่าไอ้ที่ชอบๆกันอยู่ ไม่ต่างจากหมา2ตัวนั้น ถามว่าหลวงพ่อชาไม่เคยต้องไปคลุกคลีกับความมืด แต่ถามว่าเข้าใจมั๊ย? เข้าใจ…ทำไมจะไม่เข้าใจ อันนี้ง่ายๆ มีตัวอย่างให้ดูก็เข้าใจแล้ว

 

ตอนที่ 6 ฝึกที่จะตื่น ไม่ใช่ฝึกที่จะสู้

ถ้าง่วง ต้องฝึกที่จะต้องลุกขึ้น ไปเดิน ไปขยับเนื้อ ขยับตัว ล้างหน้า หรืออะไรก็ได้ ให้มันตื่นขึ้นมา อย่าไปทนง่วง อย่าไปทนอะไร

เปลี่ยนอิริยาบถให้มันตื่นตัวขึ้นมา เพราะเรากำลังฝึกธรรมชาติของจิตให้รู้จักความตื่นตัว ไม่ใช่ฝึกธรรมชาติของจิตให้อดทนต่อความหลง หรือว่าอดทนต่อนิวรณ์…ไม่ใช่แบบนั้น

เมื่อไรที่จิตมันตื่นตัวขึ้นมาได้ นิวรณ์มันไม่มี

เราไม่ต้องไปสู้มัน อย่างที่ผมบอก เมื่อกี้ที่ผมอธิบายเรื่องความมืดใช่มั๊ย? เมื่อไรที่มันสว่างขึ้นมา มันไม่มีอะไรให้เราสู้

เราสู้วันนี้ก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไร เพราะในที่สุดมันไม่มีให้เราสู้ เราจะฝึกสู้มันทำไม? ที่จะต้องฝึกคือ “ฝึกให้มันตื่นขึ้นมา ไม่ได้ฝึกจะสู้กับมัน

การตื่นอย่างสมบูรณ์นั้นไม่มีอะไรให้สู้ เราจะซ้อมสู้กับมันทำไม?…ไม่ต้องซ้อม

ใช้ประสบการณ์ตรงของตัวเอง รู้จักเอง พอมันรู้จักเองเราจะตอบตัวเองได้ว่า อ๋อ…มันเป็นแบบนี้ เราเห็นเองนี่ ใช่มั๊ย? เราไม่ต้องเชื่อใคร ไม่ต้องฟังใคร…ดีแล้ว

 

Camouflage

25 – Dec – 15

 

ถอดไฟล์เสียงจาก YouTube : https://youtu.be/BZ9AZg50uhc

คลิปเสียงธรรมะทั้งหมดของคุณ Camouflage : https://goo.gl/RDZFMI

======================

5 ช่องทางการอ่านและฟังธรรม

1) Facebook : สุขกาย สุขใจ SookGuySookJai
http://www.facebook.com/sookguysookjai

2) Line : @camouflage.talk
https://line.me/R/ti/p/%40camouflage.talk

3) YouTube : สุขกาย สุขใจ SookGuySookJai
https://goo.gl/in9S5v

4) Website: https://camouflagetalk.com

5) Podcast : Camouflage – Dhamma Talk
https://itun.es/th/t6Mzdb.c