10.นาทีทองของนักปฏิบัติ

 

ตอนที่ 1 ขยายฐานความปกติ

พอมันมีความปกติเป็นพื้นฐานความคิดมันจะน้อยลงคล้ายๆว่าเมฆหมอกที่มันรุมสุมทุมเราตลอดเวลามันก็เริ่มคลี่คลายออกมันเริ่มจางคลายออกมันก็เลยเห็นอะไรชัดเจนขึ้นเพราะว่าก่อนหน้านี้ได้ฝึกที่จะอยู่กับความเป็นปกติแล้วฝึกการเดินจงกรมการขยับมือการรู้จักที่จะหยุดสัมผัสความเป็นปกตินั้นบ่อยๆจิตมันรู้จัก…มันรู้จักปุ๊บมันก็เริ่มขยายฐานขยายฐานออกไป

พอมันขยายฐานออกไปเรื่อยๆจิตนี้มันก็มีความเป็นปกติมากกว่าจิตเดิมที่มันเคยมีโมหะ

ทีนี้เคยมืด100%อันนี้เริ่มมีสีเทาๆแสงสว่างเล็ดลอดเข้ามาบ้างมันก็เลยรู้สึกถึงความแตกต่างว่าเออ…มันก็นั่งเฉยๆมันก็ปกติได้นะความคิดมันก็ไม่ค่อยมีนะพอมันมาก็เห็นได้ว่ามันมาและก็ไม่ตามไปด้วย

แต่ทีนี้ว่า…ถ้าเรายังไม่มีฐานอะไรเลยเราไม่มีฐานของความเป็นปกติเลยเราจะนั่งเฉยๆ(แล้ว)เราจะว่างเป็นไปไม่ได้

แต่ถ้าเราหันมาดูบ่อยๆหันมาดูบ่อยๆคล้ายๆว่านิสัยจิตจะกลับมา…กลับมาอยู่กับจิตใจกลับมาอยู่กับร่างกายกลับมาเช็คมันมันจะมีนิสัยเปลี่ยนนิสัยใหม่

แทนที่จะหลงไปกับความคิดก็เข้ามาอยู่กับกายกับใจนี้วนเวียนอยู่ในนี้มันก็เลยเปลี่ยนธรรมชาติของมันไปเรื่อยๆๆๆๆๆจนในที่สุดมันก็ว่างได้อย่างสมบูรณ์และก็เป็นปกติได้อย่างสมบูรณ์

 

ตอนที่ 2 ความเป็นปกติรักษาเรา

เพราะฉะนั้นผมเลยบอกว่าเวลาของความเป็นปกติเวลาที่จิตมันเป็นปกติมันสงบระงับเวลาที่จิตไม่มีความคิดฟุ้งซ่านปรุงแต่งอะไรนี้เป็นนาทีทอง…เป็น“นาทีทองของการปฏิบัติธรรม”ที่เราจะได้รู้ได้เห็นจิตพาจิตใจนี้ได้สัมผัสสิ่งที่มีอยู่แล้วสิ่งๆนั้นบ่อยๆ

ที่ผมบอกว่าเหมือนกับเรามีทองคำเราอย่าเอาไปถูกระเบื้องเล่น…มันเสียดายของ

ถ้าเรามีความเป็นปกติอยู่แล้วเราอย่าเอาความเป็นปกตินั้นเอาไปหลงเพลินกับโลกอย่าเอาความเป็นปกตินั้นเอาไปทำอะไรไร้สาระ

เราต้องรู้จักมันสัมผัสมันให้เราได้อยู่กับมันนานๆให้เราได้อยู่กับมันอย่างต่อเนื่องและความเป็นปกตินี้แหละมันรักษาใจเราเอาไว้

ที่เค้าบอกว่า“เราไม่ใช่รักษาศีลศีลต่างหากรักษาเรา”ก็คือ“ความเป็นปกตินี้แหละมันรักษาเรา”มันจะรักษาเราเอาไว้รักษาเราจนในที่สุดมันรักษาเราตลอดชีวิตโดยที่เราไม่ต้องถือมันมันนั่นแหละเป็นตัวรักษาเรา…แบบนั้น

เรามีหน้าที่ที่จะต้องหาทางที่มันลัดสั้นถูกตรงและก็เป็นทางที่เราไปได้จริงแล้วเราก็ลุยเลยและมันจะได้เจอผลลัพธ์เดียวกันหมด

 

ตอนที่ 3 Momentum(ความสืบเนื่องของกำลัง)ตก เหมือนตกหน้าผา

เมื่อไรก็ตามที่การทำในรูปแบบกับการอยู่ในชีวิตประจำวันมันไม่ต่างกัน…ถึงวันนั้นไม่ต้องทำ

แต่ถ้าทำในรูปแบบกับในชีวิตประจำวันมันยังต่างกันอยู่มันรู้สึกว่าเออทำแล้วมันได้กำลังดีกว่ามันรู้สึกว่า…เออมัน…แหม่…มันช่วยอะไรอย่างนี้แปลว่ายังทำไม่พอต้องทำอีกยังต้องทำเหมือนเดิมอย่าชะล่าใจ

เพราะถ้าเกิดเราคิดว่าเราโอเคแล้วเราไม่ต้องทำแล้วเรานั่งเฉยๆหรือว่า…เออ…มันก็ไม่มีอะไรบางทีโดนโมหะกลืนค่อยๆกลืนโดยไม่รู้ตัว

ผมไม่อยากให้(ความสืบเนื่องของกำลัง)ที่เรียกว่า Momentum(จากการ)ที่เรามีวินัยทำมาทำมาแล้วเดี๋ยวเราคิดว่า…เออ…ไปอ่าน(อะไรมาแล้ว)ไม่ต้องทำไม่ต้องเดินจงกรมไม่ต้องนั่งสมาธิเราก็เลิกทำไปอย่างนั้น

เดี๋ยวตอน Momentumนี้ที่มันมีสืบเนื่องอยู่ให้เราสักอาทิตย์นึงแล้วมันเริ่มตกเริ่มตกเนี่ยตอนนั้นเราจะยุ่ง

แล้วทีนี้เราจะเริ่ม อ้าว…ซวยแล้ว ทำไมไม่เหมือนเดิมแล้ว

พอMomentumมันตกคล้ายๆเหมือนเราปีนหน้าผาเวลามันตกมันตกมันไม่ใช่ค่อยๆตกเหมือนตอนเราค่อยๆขึ้นมามันตกพรวดเลยพอมันตกพรวดเลยนี่เสียกำลังใจทันที…เกิดอะไรขึ้น

พอมันพรวดนี่มันฟุ้งซ่านมันลำบากแล้วที่ผมบอกอวิชชามันครอบแล้วเสร็จเลยทีนี้กว่าฝุ่นควันจะจางไปอีกครั้งนึงนี่เหนื่อยเลย

 

ตอนที่ 4 กระตุ้นความตื่นตัวโดยการปฏิบัติในรูปแบบ

ลองคิดกลับไปในอดีตเมื่อก่อนนี้ที่เรายังไม่ได้ทำรูปแบบเราสนใจธรรมะแต่เราก็ยังไม่ปฏิบัติอะไรมากถามว่ากลับมาชำเลืองได้มั๊ยวันๆนึงแทบจะไม่ค่อยได้ เออ…มันไม่ได้เลยใช่มั๊ย?

เพราะฉะนั้น โอกาสที่เราจะกลับมาชำเลืองได้โดยที่เราไม่ทำในรูปแบบเลยสมมุติผมให้มีสักหน่อยนึงความมีฉันทะรู้ว่าต้องรู้กายรู้ใจนี้ฉันทะคือความพอใจที่จะรับรู้กลับมารู้สึกตัว…กลับมา เพราะฉะนั้นมันต้องมีบ้างแหละ10%บนพื้นฐานของฉันทะ…มันต้องมี

แต่ถ้าเกิดต้องการให้มันเร็วต้องการให้18ชั่วโมงต่อวันที่เราอยู่ลืมตาอยู่นี้เราจะใช้ให้มันเกิดประโยชน์มากที่สุดเราจะทำยังไงดี???

เราก็ต้องกระตุ้น“กระตุ้นความตื่นตัวขึ้นมา”

เดิมเรามีแต่หลงถ้าเราไม่ทำอะไรเลยเราก็หลงเหมือนเดิม

ฉันทะนี้กำลังมันไม่พอที่จะเรียกเรากลับมารู้สึกตัวเพราะฉะนั้นเราก็เลยต้องกระตุ้นความตื่นตัวด้านอื่นด้วยอะไร?

มันก็เลยมีวิธีการคือ“ปฏิบัติในรูปแบบ”ซึ่งมันจะกระตุ้นจิตใจให้มันตื่นตัวขึ้นมามารู้จักความเป็นปกติมาอยู่กับกายกับใจนี้บ่อยๆ

เพราะฉะนั้น Efficiency ประสิทธิภาพในการที่จะกลับมารู้กายรู้ใจของเรามันเลยมากขึ้น 18ชั่วโมงเคยรู้10%ก็กลายเป็น20%ทำเรื่อยๆทำมากเข้ามากเข้าก็เพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้นอัตโนมัติค่อยๆไปเพราะอะไร?

เพราะมันเป็นธรรมชาติธรรมชาติของจิตมันเปลี่ยน“มันเปลี่ยนจากความหลงเป็นความรู้สึกตัวเป็นความตื่นขึ้นมา”

พอจิตมันเปลี่ยนจากธรรมชาติความหลงเป็นความตื่น…สภาพตื่นนี้มันพาเราพาจิตนี้กลับมารู้สึกตัวกลับมารู้ทันกายกลับมาเห็นจิตที่เป็นปกติทุกอย่างมันก็เลยเจริญได้แบบมีประสิทธิภาพไม่สูญเสียเวลาหนึ่งวันไปโดยเปล่าประโยชน์ทั้งที่จริงๆเรามีประสิทธิภาพที่จะเจริญได้มากกว่า10%

“พอความตื่นตัวมันเกิดขึ้นความหลงมันก็โดนกินเรียบ”…หมดเลยทันที

 

ตอนที่ 5 ให้ตื่นตัวไว้ ไม่ต้องแชร์ให้โมหะ

คือผมจะเน้นย้ำเรื่องความตื่นตัวการนั่งหลับตา…พอเราเริ่มหลับตาแรกๆมันตื่นตัวดี เพิ่งเริ่มหลับตามันรู้สึก100%ของความตื่นตัวแต่หลับไปได้10-15นาที…เริ่มเคลิ้มแล้วเคลิ้มแต่ว่ายังรู้สึกตัวอยู่นะ

เค้าเลยคิดว่าเค้ารู้สึกตัวอยู่เค้าไม่ได้เคลิ้มแต่จริงๆมันถูกเคลิ้มกินไปแล้ว20%สมมุติ  20%จะมีความรู้สึกตัวอยู่80% ถามว่าแล้วจะเอาทำไม?จะเอาโมหะ20%ทำไม?ไม่จำเป็น

ผมจะให้ทุกคนเป็น100%ของความตื่นตัวไม่ใช่เอา80% แล้วเดี๋ยวพอนั่งไปได้ครึ่งชั่วโมงเหลือ50%  ถามว่ารู้สึกตัวมั๊ย?รู้สึกเหมือนกันแต่เคลิ้มอีก50%ด้วย

ผมไม่ต้องการให้ทุกคนมีจิตแบบนั้นไม่ต้องแชร์ให้โมหะไม่จำเป็น“ไม่ต้องให้โมหะกินพื้นที่แบ่งกันกิน…ไม่ต้องจะกินคนเดียวด้วยความตื่นตัว”

เมื่อไหร่ที่จิตใจเราเป็นปกติเป็นฐาน…

มันจะเป็นความรู้สึกของความหนักแน่นแต่ไม่ใช่หนักอึ้ง

มันเป็นความรู้สึกของความหนักแน่นที่ไม่มีน้ำหนัก

มันเป็นความรู้สึกของความหนักแน่นแต่เบาสบาย…มันต้องเป็นแบบนั้น

อันนี้คือความเป็นปกติที่เป็นฐานแล้วจะรู้สึกแบบนั้น

 

ตอนที่ 6 ตั้งเป้าให้ถูก

ที่ผมเน้นก็คือ“ให้เห็นความเป็นปกติเราไม่ต้องไปเห็นความคิด”

เพราะว่าหน้าที่เราสะสมความเป็นปกติไว้เป็นฐานความคิดมันจางลงถูกมั๊ย? ทุกคนเห็นผลนี้ใช่มั๊ย?ความคิดมันจางลงมันน้อยลงใช่มั๊ย?

เพราะฉะนั้นถ้าเราไปตั้งเป้าว่าการปฏิบัติธรรมคือการไปเห็นความคิดไปดูความคิด…เป้ามันผิดแล้ว

เพราะพอไปเห็นความเป็นปกติความคิดมันน้อยลง อ้าว…แย่แล้วความคิดมันน้อยลงความคิดมันหายไปไหนจะดูมันซะหน่อยนึกออกมั๊ย?

ต้องฟังให้ดีนะเพราะว่าถ้าเราไปดูความคิดคนฟุ้งซ่านชนะเลิศเลยมีความคิดทั้งวันใช่มั๊ย?นึกว่าปฏิบัติธรรมอยู่…จริงๆไม่ใช่เพราะตัวเอง(มี)ฐานของจิตมีแต่โมหะยังไม่มีความเป็นปกติเลยมันเลยมีความคิดทั้งวันให้มันดูทั้งวันมันก็ดูภายใต้โมหะเห็นทั้งวันมันก็เห็นภายใต้โมหะเพราะมันยังไม่มีฐานของความเป็นปกตินี้อยู่เลย

แต่พอเรามีฐานความเป็นปกตินี้ยังมีความคิดอยู่เราก็โอเคก็เห็นว่ายังมีความคิดนี้อยู่…ก็แค่นั้น

เราจะไม่ตามไป เราจะไม่ไหลตามไปไม่เข้าไปปรุงไปแต่งไม่ไปจับความคิดนี้มาเป็นของตัวเรา

เพราะอะไร? เพราะเรามีฐานของความเป็นปกติฐานของความไม่มีตัวเราที่บอกจิตมันเลยมีกำลังหนักแน่น

เพราะฉะนั้น“การเห็นความเป็นปกติและอยู่กับมันใหัมันนานให้มันต่อเนื่องอันนี้คือทางเดิน”

 

Camouflage

21 –Dec – 15

 

ถอดไฟล์เสียงจาก YouTube : https://youtu.be/EwNNS8nXxvM

คลิปเสียงธรรมะทั้งหมดของคุณ Camouflage : https://goo.gl/RDZFMI

======================

5 ช่องทางการอ่านและฟังธรรม

1) Facebook : สุขกาย สุขใจ SookGuySookJai
http://www.facebook.com/sookguysookjai

2) Line : @camouflage.talk
https://line.me/R/ti/p/%40camouflage.talk

3) YouTube : สุขกาย สุขใจ SookGuySookJai
https://goo.gl/in9S5v

4) Website: https://camouflagetalk.com

5) Podcast : Camouflage – Dhamma Talk
https://itun.es/th/t6Mzdb.c