มันเป็นอุตสาหกรรม มันไม่ใช่ชีวิต

ทั้งหมดที่เราเคยฟังครูบาอาจารย์พูดหรือแม้กระทั่งผมพูด ที่นอกเหนือจากความไม่มีเรา มันเป็นเหมือนความรู้ที่น่าสนใจ เป็นเหมือนสิ่งที่เรารู้สึกว่าจะเป็นเป้าหมายได้ ถ้าเรานั่ง หรือว่าถ้าเราได้เจอสภาวะแบบที่ครูบาอาจารย์บอก

เพราะฉะนั้น ตรงนี้เป็นจุดที่เหมือนจะมีประโยชน์ แต่ไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไหร่

เพราะว่าโดยธรรมชาติของอัตตาของเราทุกคนนั้น มันจะรับข้อมูลต่างๆเข้าไป และหนีไม่พ้นเราจะอยากได้ เราจะอยากเป็นอย่างนั้น หรือเราจะเทียบเคียงกับคำพูดนั้นว่าที่เราเป็น มันเหมือนกันไหม มันใช่ไหม

ที่ผมบอกว่าบรรยากาศของนักปฏิบัติธรรมเรา มันไปในทางที่เราสนใจสภาวธรรมมาก เราให้ความสำคัญกับสภาวะที่เกิดขึ้นในชีวิตการปฏิบัติธรรมของเรามาก

และถ้ามันเหมือน หรือมันใกล้เคียงหรือมันใช่แบบที่เราเคยได้ยินครูบาอาจารย์พูด เราก็สัมทับกับตัวเองว่าเนี่ยเรากำลังปฏิบัติถูก เรากำลังปฏิบัติไปได้ดี

ผมอยากให้เข้าใจว่าบรรยากาศของความรู้ทั้งหมดที่ถูกสื่อสารออกมาเป็นธรรมะ…สิ่งที่เรียกว่าธรรมะ

จริงไหมว่าสิ่งเหล่านั้นมันกลับมาหลอกเรา

สิ่งเหล่านั้นมันเหมือนจะเป็นสิ่งที่เรารู้สึกว่ามีประโยชน์ แต่สุดท้าย ท้ายที่สุดเลยมันหลอกเรา

มันหลอกให้เราเปรียบเทียบ
มันหลอกให้เราคอยประเมินว่าเราทำถูกหรือยัง
มันหลอกให้ความเป็นเราปรากฏขึ้น

ผมอยากให้เราเข้าใจโครงสร้างของชีวิตของการปฏิบัติธรรมของเราในตอนนี้
โครงสร้างของการถ่ายทอดธรรมะ โครงสร้างของความเชื่อในกระบวนการทั้งหมดที่เรียกว่า #อุตสาหกรรมการปฏิบัติธรรม

ทุกวันนี้มันเป็นอุตสาหกรรม

มันไม่ใช่ชีวิต

เราแต่ละคนจะต้องมีปัญญาพอที่จะพิจารณาลงไปอย่างลึกซึ้งเหมือนที่ผมพูดเมื่อวานนี้ว่า อะไรๆที่เราให้คุณค่าได้ว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุด สิ่งที่บริสุทธิ์ที่สุด…จริงไหม? มันมีอะไรที่มันเป็นเหรียญด้านเดียวเลยไหม?

พระพุทธเจ้าถึงได้สอนคำสอนที่สำคัญมากที่ท่านบอกว่า ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่น เพราะท่านรู้แล้ว

โลกนี้ไม่ได้มีด้านเดียว ทุกอย่างที่เราเชื่อว่าดีบริสุทธิ์ มันไม่ได้มีอย่างเดียว มันส่งผลในทุกๆด้าน ผมถึงบอกว่าธรรมะนั้นเป็นเรื่องที่สอนยาก

เพราะว่าจริงๆ แล้วตัวธรรมะที่แท้จริงเป็นสิ่งที่สอนไม่ได้ บอกกล่าวไม่ได้ คำอธิบายทั้งหมดยังไม่ใช่ธรรมะ

แต่

มันคือกระบวนการค้นพบชีวิตนี้ด้วยตัวเราเอง

เราต้องใช้ทั้งชีวิต

ที่ผมบอกว่าเราต้องไปอยู่ในกระบวนการของเจ้าชายสิทธัตถะ อยู่ในกระบวนการของครูบาอาจารย์ ก่อนที่คำสอนของท่านจะเกิดขึ้น ไม่ใช่เข้าไปอยู่ในคำสอนของท่านตามการแปลความหมายของคำสอนเหล่านั้นตามความคิด อคติของเราเอง

เราต้องอยู่ในกระบวนการก่อนที่คำสอนนั้นจะเกิดขึ้นต่างหาก เราจึงจะเข้าใจแก่นคำสอนทั้งหมดได้ว่าทำไมท่านจึงสอนแบบนี้

ที่ผมเคยบอกว่า วิธีปฏิบัตินั้นมันคลอดออกมาจากการใช้ชีวิต จนเข้าใจชีวิตนี้ เข้าใจทุกข์ อริยสัจ4

เมื่อกี้ที่นั่งภาวนา ผมถึงถามพวกเราว่า เราแอบมีแบบว่า ตอนนี้นั่งดีแล้ว อย่าหายใจผิดนะ เดี๋ยวเพี้ยน นึกออกมั้ย เดี๋ยวถ้าลึกไปนี่จะแน่นแน่เลย…ใจเย็นๆ ประคองไว้ๆ นิ่มๆไว้ มันแอบมีนึกออกไหม

ทำไม? เพราะเราชอบ…เราชอบตอนนี้มันกำลังสงบดี มันนิ่งดี สบายดี

ผมถึงบอกว่ามันไม่ใช่เรื่องของสภาวะ

มันเป็นเรื่องของว่า”เรา”เกิดขึ้นแล้ว และอะไรอีกหลายอย่างก็เกิดขึ้นตามมา เราเข้าใจกระบวนการเหล่านี้ของชีวิตมั้ย

เพราะฉะนั้น เราต้องเข้าใจว่าทั้งหมดของศาสนาพุทธนั้นคือความไม่มีเรา

แต่อุตสาหกรรมของการปฏิบัติธรรม มันทำให้เราหลุดออกจากความไม่มีเรา

ข้อมูลทั้งหมดในอุตสาหกรรมนี้เหมือนจะบอกเราว่าไม่มีเรา

แต่เอาเข้าจริง มันส่งเสริมเราตลอดทางว่ามีเรา ต้องมีอะไร ต้องเป็นยังไง ต้องได้อะไร

เราต้องเข้าใจเรื่องนี้ให้ลึกซึ้ง

ที่ผมเคยบอกว่าแค่บรรยากาศของการทำถูกทำผิดเนี่ย มันก็ส่งเสริมความมีเราอย่างเงียบๆ และแนบเนียนที่สุด แต่นักปฏิบัติธรรมเราไม่เข้าใจ เราคิดเลยว่าถ้าเราปฏิบัติไม่ถูก แล้วเราจะหลุดพ้นเหรอ

อ้าว…เราจะหลุดพ้นอีกแล้ว
เราไม่เห็นตัวเองที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา

เห็นมั้ยว่า ทุกวันนี้การปฏิบัติธรรมมันเป็นอุตสาหกรรม คือเราจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ดี สมบูรณ์แบบในอนาคต

ไอเดียแบบนี้ มันไม่ใช่ชีวิต
มันไม่ใช่ตัวแท้ๆของชีวิต
มันเป็นอุตสาหกรรม

เราเข้าใจผิด แม้กระทั่งการเข้าคอร์สจะทำให้เราเข้าใจชีวิตได้ ซึ่งมันผิดจากเจ้าชายสิทธัตถะ มันผิดจากครูบาอาจารย์ที่ออกไปธุดงค์ วิเวก เรียนรู้ความหวาดกลัว เรียนรู้ความตื่นเต้น เรียนรู้ความตาย เรียนรู้ชีวิตจริงๆในป่า แต่เราลืมวิถีเหล่านี้หมด

เราลืมการมีชีวิตที่แท้จริง
เรามีแต่ว่าเราจะฝึกอย่างนี้ จะได้เป็นอย่างนั้น

กระบวนการทั้งหมดที่ผมเรียกว่าการปฏิบัติธรรม ถ้าเรายังไม่เข้าใจว่ามันคือกระบวนการของชีวิต ของความไม่มีเรา เราเข้าใจการปฏิบัติธรรมไม่ได้

ถ้าเรายังคงเข้าใจอยู่ว่ามันเป็นแค่วิธีปฏิบัติธรรมที่เราจะเอาไปทำ

ถ้าเราเข้าใจว่ามันเป็นแค่สภาวธรรมดีๆที่จะเกิดขึ้น

ถ้าเราเข้าใจว่ามันเป็นแค่การปฏิบัติที่ถูก เราอยู่ห่างไกลจากการปฏิบัติธรรมมาก…มากเหลือเกิน

ทุกวันนี้เราปฏิบัติธรรมเหมือนเราเข้าไปเรียนหนังสือในโรงเรียน แล้วเราก็รับการบ้านมาทำ เสร็จก็ไปส่งคุณครู คุณครูก็ให้คะแนน สภาวะดีมาก ถูกแล้ว เราดีใจ รอทำการบ้านวันถัดไป นี่เราทำกันแบบนี้ และเรามีภาพชัดเจนจากคุณครูว่า วันนึงข้างหน้า เราต้องได้รับปริญญาแน่นอน และเราก็ได้รับจริงๆ แต่พอเราออกมาทำงาน เราจะรู้ว่า อ่าว มันไม่ใช่ชีวิตที่ใช้มาทั้งหมดในโรงเรียนนี่หว่า

เราไม่เคยใช้ชีวิตเลย เราเข้าใจไหมนี่คือสิ่งที่แตกต่างกันมาก และสิ่งที่เราเป็นอยู่กันทุกวันนี้คือแบบนี้ เราปฏิบัติธรรมเหมือนเข้าเรียนในโรงเรียน

บรรยากาศเหล่านี้เป็นภาพใหญ่ เป็นโครงสร้างใหญ่ที่เราต้องรู้จัก ไม่งั้นชีวิตที่เป็นการปฏิบัติธรรมก็ยังไม่มีโอกาสเกิดขึ้นสักที

Camouflage

11-07-2564