ไม่อยู่ที่ไหนเลย

เราจะต้องเข้าใจคำว่า #ไม่อยู่ที่ไหนเลย

ความไม่อยู่ที่ไหนเลย คือความเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาตินี้

ความไม่อยู่ที่ไหนเลย คือความอยู่ทุกที่ ความซึมซาบเอิบอาบเข้าไปในทุกที่ ทั้งข้างนอกทั้งข้างใน…ทั้งหมด

เมื่อถึงตรงนั้น ก็ถึงจุดสิ้นสุดของความเป็นผู้สังเกต และสิ่งที่ถูกสังเกต ทั้งหมดรวมกันเป็นหนึ่ง

และนี่คือความหมายของชีวิต
นี่คือความดำรงอยู่
นี่คือทั้งหมดของชีวิต
นี่คือสัจจะ

นี่คือสิ่งที่ท่านฮวงโปบอกว่าเป็นสิ่งที่เร้นลับ ลึกลับเหนือคำพูด…สิ่งนั้นคือสัจจะ

มันไม่ใช่กระบวนการปฏิบัติ
มันเป็นแค่การหาให้เจอ ค้นให้พบ
แต่ก็ไม่ใช่การหา และไม่ใช่การค้น

ที่นี่…เป็นที่ที่พัฒนาไม่ได้
ที่นี่…ก้าวหน้าไม่ได้
ที่นี่…ถอยหลังไม่ได้
ที่นี่…ไม่มีระยะทาง

ความเป็นเช่นนี้ เราหาจุดเริ่มต้นไม่ได้ และแน่นอนถ้าไม่มีจุดเริ่มต้น เราก็หาจุดสิ้นสุดมันไม่ได้

ที่นี่…ที่ความเป็นหนึ่งนี้
ที่ที่ไม่มีความแบ่งแยกอะไรเลย
ที่ที่ไม่มีรอยแตกแยกของความคิด
ที่ที่สังสารวัฏเกิดขึ้นไม่ได้
เป็นที่ที่มีความปลอดภัยสูงสุด
เป็นที่ที่ไม่มีความทุกข์
เพราะมันไม่เคยเปลี่ยน
มันไม่เคยทำให้เราผิดหวังเพราะมันไม่เคยเปลี่ยน
นี่คือสิ่งที่เราไว้ใจได้

ความไม่อยู่ที่ไหนเลย
ไม่มีที่ตั้ง
เป็นอิสระสูงสุด
จบสิ้นการพันธนาการ
สิ้นสุดทุกความคิด
ใช้ชีวิตอย่างสมบูรณ์

ความอยู่กับที่ไหนซักที่หนึ่ง คือการเพ่ง

ทุกการอยู่ ไม่ว่าจะเบาแค่ไหนก็คือการเพ่ง คือเป้าหมาย คือตัณหา คือความโลภ คือตัวตน

เมื่อเราไม่อยู่ที่ไหน เราจะอยู่ทุกที่
ในและนอกประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน
สิ้นสุดการแบ่งแยก
สิ้นสุดการกระทำ
ปัจจุบันที่แท้จริงอยู่ตรงนั้น ตรงที่ไม่เหลืออดีตและอนาคตอย่างสิ้นเชิง

ทั้งหมดที่ผมพูดคือจุดเริ่มต้นในการปฏิบัติธรรม

การภาวนาจะเกิดขึ้นได้ เมื่อเราไม่อยู่ที่ไหนเลย เป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตการภาวนา

แต่ไม่ใช่จุดเริ่มต้นของสิ่งที่เราได้พบเจอ เพราะสิ่งนั้นไม่มีจุดเริ่มต้น

และจุดเริ่มต้นของชีวิตการภาวนาคือจุดเดียวกันกับจุดสิ้นสุด เพราะมันเปลี่ยนแปลงไม่ได้ มันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นได้

คำว่าภาวนาคือการค้นพบ ไม่ใช่กระบวนการปฏิบัติ กระบวนการทางความคิดแบบนั้นไว้ใช้ในโลก ไว้ใช้ในวิถีของอัตตา วิถีแห่งความเป็นเหตุเป็นผล วิถีแห่งความคิด วิถีแห่งความคับแคบ

.

 

คำว่า รู้แล้วผ่านเลย รู้โดยที่ไม่รู้อะไร นั่นคือสัญลักษณ์ของการบ่งบอกว่าผู้สังเกตและสิ่งที่ถูกสังเกตจะค่อยๆเลือนหายไป

จนเมื่อไหร่ที่ถึงจุดสิ้นสุดของทั้งสองสิ่งนั้น ของความแบ่งแยกนั้น เราจะเป็นเนื้อเดียวกัน

ความสิ้นสุดการแบ่งแยกเท่านั้น คือสันติภาพ

สันติภาพที่โลกนี้อยากได้ สันติภาพในใจที่เราทุกคนอยากมี มันเกิดจากการสิ้นสุดทุกการแบ่งแยก

ความแบ่งแยกนั้นรังแต่จะทำให้ตัวเราเด่นขึ้น ชัดขึ้น อัตตาเราใหญ่ขึ้น

แต่ความเป็นเนื้อเดียวกัน เป็นความกลมกลืนและเป็นความเท่าเทียมที่แท้จริง เพราะเราหายไป

การปฏิบัติธรรมไม่ใช่การคอยปรับปรุงตัวเองให้เป็นคนดีขึ้น

กระบวนการแบบนั้นเต็มไปด้วยเป้าหมาย เต็มไปด้วยอัตตา เต็มไปด้วยการได้รับ

ถ้าเราคิดว่าเรามาปฏิบัติธรรมเพื่อเราจะเป็นคนดีขึ้น เราคิดผิด เราตั้งจุดมุ่งหมายของการภาวนาไว้ผิดตั้งแต่แรก

ภาวนาเสร็จแล้วเราจะเป็นคนดีขึ้นไหมเป็นผลลัพธ์ และเราต้องพิสูจน์เอง แต่อย่าเริ่มด้วยเป้าหมายแบบนั้น

ถ้าเราอยู่ในระบบของการประเมินตัวเองว่าเราดีขึ้นหรือยัง ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ผิด ชีวิตการภาวนานั้นจะเต็มไปด้วยความทุกข์ เต็มไปด้วยความเศร้า เต็มไปด้วยความท้อแท้ และอยู่ในกรอบอันจำกัดของเป้าหมายนั้น

.

การภาวนาไม่ใช่การเปลี่ยนแปลง ปรับปรุงอะไร

การภาวนาคือชีวิตที่เป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่ง ชีวิตที่ไม่มีเรา…นี่คือการภาวนา

Camouflage
14-03-2564

บางส่วนจากคลิป 247.ไม่อยู่ที่ไหน